ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1804 แต่งตั้ง

บทที่ 1804 แต่งตั้ง

ฉินสือโอวตบไหล่เหมาเหว่ยหลงหลายทีอย่างจริงใจ ท่าทางเหมือนพรรคและองค์กรมอบหลายภาระหนักบนตัวแกอย่างนั้น จากนั้นส่งเขาออกเดินทาง ไปเก็บกวาดฮิวจ์คนน้องที่เป็นจักรวรรดินิยมผู้หยิ่งผยองนั่น

“ประเทศชาติและพลเมือง เฝ้าคอยการกลับมาพร้อมชัยชนะของแก!” ท่านชายฉินพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “ไปเถอะ เด็กดีของฉัน…”

“เฮ้ๆ มีเรื่องคุยกันดีๆ อย่ามาเอาเปรียบฉันสิ” เหมาเหว่ยหลงปัดแขนเขาลงจากไหล่อย่างไม่พอใจ

ท่านชายฉินเองก็ไม่พอใจด้วย บอกว่า “หมายความว่ายังไง พวกแกสมาชิกพรรคไม่ใช่เด็กดีของพลเมืองเหรอ? ตอนนี้แกเป็นสมาชิกพรรค ฉันเป็นพลเมือง แกเป็นเด็กดีของฉัน นี่มันมีปัญหาอะไร?”

เหมาเหว่ยหลงกลอกตามองบนสะบัดแขนเขาออก นั่งรถลากเลื่อนหิมะอัตโนมัติจากไป ท้ายรถลากเลื่อนหิมะพ่นลม ลมที่พ่นออกมาพัดหิมะขึ้น เป่าใส่ฉินสือโอวทั้งตัว

“แกระเบิดเหรอ แกเก่งขนาดนี้ทำไมไม่ขึ้นฟ้าไปล่ะ?” ฉินสือโอวด่าใหญ่ แต่เหมาเหว่ยหลังไม่ได้ยิน จากไปอย่างได้ใจ

สแตนลี่ย์ คาลเบิร์ต อมยิ้มรออยู่ข้างๆ หลังเหมาเหว่ยหลงจากไปเขาถึงได้ออกเสียงพูดว่า “บอส ตอนนี้พวกเราสามารถคุยเรื่องเปิดร้านอาหารได้แล้วหรือยัง?”

ฉินสือโอวพาเขาไปที่ห้องรับแขก สแตนลี่ย์ถูมือไปมา บอกว่าอากาศวันนี้หนาวจริงๆ เลยนะ จากนั้นพุ่งตรงไปยังเตาผิงแล้วผิงไฟ เขาเจรจาเรื่องการร่วมธุรกิจร้านอาหารกับครอบครัวฮิลตันที่นิวยอร์กมาตลอด รู้สึกว่าฤดูหนาวที่นิวยอร์กหนาวมากแล้ว แต่ก็ยังเทียบกับเกาะแฟร์เวลไม่ได้เลย

แต่ว่าเตาผิงเองก็ไม่ได้ดีอะไร เตาผิงไม่เหมือนกับเตาไฟ เปลวไฟของมันย่างคนโดยตรง เพียงระยะห่างไม่เหมือนกันนิดเดียวอุณหภูมิก็คงไม่เหมือนกันแน่

สมัยมหาวิทยาลัยฉินสือโอวดูซีรีส์อเมริกา เห็นว่าตอนที่คนอเมริกันนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตาผิง ชอบวางผ้าคลุมไว้บนขาผืนหนึ่ง ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจถึงเหตุผล แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร

นั่งอยู่หน้าเตาผิงควบคุมอุณหภูมิได้ยาก เขาใกล้นิดเดียวก็จะถูกย่างจนรู้สึกไม่ดี ระยะปานกลางขาจะร้อนตัวจะหนาว และถ้าอยู่ห่างไปไกลหน่อยก็จะหนาวทั้งตัว ดังนั้นจำเป็นจะต้องห่างระยะปานกลางแล้ววางผ้าคลุมไว้บนขาผืนหนึ่ง รอจนตัวหนาวแล้วจึงห่มบนตัว

ตอนนี้สแตนลี่ย์ก็เป็นอย่างนี้ เข้าใกล้แล้วก็รู้สึกถูกย่างจนรู้สึกไม่ดี เขาเตรียมจะเดินถอยหลังไป ปรากฏว่าสะดุดเข้ากับกะละมังของมาสเตอร์ ดังนั้นมาสเตอร์จึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างมืดมน ใช้ดวงตาเล็กจ้องเขม็งมาที่สแตนลี่ย์

เต่าอัลลิเกเตอร์เป็นถึงเจ้าแห่งน้ำจืด มันเกลียดที่มีคนล่วงล้ำอาณาเขตที่สุด แม้แต่หู่เป้าฉงหลัวก็ไม่ได้ แล้วนับประสากับสแตนลี่ย์? ดังนั้นสายตาจึงเต็มไปด้วยแรงอาฆาต

สแตนลี่ย์อึดอัดเลย เขาหัวเราะบอกว่าเต่าตัวนี้น่ารักมาก จากนั้นก็อยากจะไปลูบหัวมาสเตอร์เป็นการแสดงความใกล้ชิด ฉินสือโอวรีบคว้ามือเขากลับมา มาสเตอร์หุบปากด้วยความโกรธ แต่ฟันอันแหลมคมที่เผยออกมาก็เพียงพอที่ทำให้สแตนลี่ย์เหงื่อออกทั้งตัวแล้ว

“แบบนี้กลับอุ่นขึ้นมาเลย” ซูเปอร์เชฟหัวเราะเยาะตัวเอง

เห็นสุดยอดเชฟคนหนึ่งถูกมาสเตอร์ทำให้อายถึงขนาดนี้ ท่านชายฉินทำตัวไม่ถูกแล้ว จึงช่วยเชฟใหญ่ขู่มาสเตอร์ “หดหัวกลับไป รู้หรือเปล่าว่าคนที่อยู่ต่อหน้าแกเป็นใคร? เขามี 108 วิธีในการทำให้แกกลายเป็นอาหารรู้ไหม? ไม่อยากถูกตุ๋นเป็นซุปตะพาบก็ทำตัวดีๆ หน่อย”

มาสเตอร์จ้องซูเปอร์เชฟอีกครั้ง แล้วหดหัวกลับไปนอนในน้ำอุ่นๆ ต่อ

สแตนลี่ย์แปลกใจอย่างมาก บอกว่า “พระเจ้า เจ้านี่ฟังที่คุณพูดรู้เรื่อง?”

ฉินสือโอวหัวเราะ เขาไม่ได้คุยหัวข้อสนทนานี้ต่อ โบกมือว่า “ตามผมมา ผมจะหาสถานที่อบอุ่นให้คุณสักที่”

แน่นอนว่าสถานที่ที่เขาหาเป็นบ่อน้ำร้อน ฤดูหนาวที่ที่อบอุ่นที่สุดในฟาร์มปลาก็คือห้องบ่อน้ำร้อนแล้ว หลายวันมานี้หิมะตกหนัก เขา วินนี่ พ่อของฉินสือโอว และแม่ของฉินสือโอวมาแช่บ่อน้ำร้อนบ่อยครั้ง

ข้างนอกยิ่งหนาว ในบ่อน้ำร้อนยิ่งอุ่น ไอน้ำระเหยขึ้นช้าๆ พอเข้าไปแล้วไอร้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ฉินสือโอวและสแตนลี่ย์เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปนั่ง จากนั้นเบิร์ดก็เอากาแฟที่ต้มเสร็จมาส่ง

แช่อยู่ในน้ำอุ่น สแตนลี่ย์ส่งเสียง**ออกมาอย่างสบาย รอจนได้ดื่มกาแฟร้อนหอมกรุ่น ก็ยิ่งสบายขึ้นไปอีก เขาปิดตาแล้วบอกเสียงเบาว่า “ให้ตายสิ ผมกล้าพนันเลยว่าตอนนี้โลกนี้ไม่มีที่ไหนที่จะสบายเท่าที่นี่อีกแล้ว! อยากจะแช่อยู่ในน้ำนี้สักปีหนึ่ง อะไรก็ไม่ทำ แค่แช่อยู่ในน้ำร้อนปีหนึ่ง!”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาพูดเกินไปหน่อย แต่ว่าแช่บ่อน้ำร้อนในฤดูหนาวก็สะใจจริงนั่นแหละ น้ำในบ่อร้อนและใส บนหัวมีเถาวัลย์ต้นไม้แก่ รอบทิศเป็นกำแพงกระจกโปร่งใส มองออกไปข้างนอก เกลียวคลื่นน้ำเขียวใส หาดทรายยาวสิบไมล์…

เบิร์ดวางกาแฟลงเตรียมตัวออกไป ฉินสือโอวให้สัญญาณให้เขาอยู่แช่น้ำด้วยกัน เบิร์ดพยักหน้ารับแล้วลงน้ำ นั่งแช่บ่อน้ำร้อนเงียบๆ อยู่ข้างๆ ไม่พูดแทรกสักคำ

หลังสแตนลี่ย์หนำใจแล้วก็เริ่มพูดเรื่องหลัก เดือนธันวาคมเป็นเดือนสุดท้ายในการเตรียมร้านอาหารต้าฉิน จากนั้นตอนวันปีใหม่ก็จะเปิดทำการแล้ว ร้านอาหารโรงแรมในอเมริกาเหนือ 125 ร้านจะเปิดทำการพร้อมกัน!

ที่จริงตามความคิดของฉินสือโอวและสแตนลี่ย์ ทางที่ดีที่สุดคือเปิดทำการในวันคริสต์มาส นั่นเป็นเทศกาลใหญ่ของคนยุโรปและอเมริกัน สามารถใช้โอกาสนี้ในการทำกำไรแรกสร้างการเริ่มต้นที่ดี

แต่ว่าครอบครัวฮิลตันไม่ยอม พวกเขากังวลว่าร้านอาหารต้นฉินจะเกิดเรื่องอะไร ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของโรงแรมฮิลตัน โดยเฉพาะช่วงวันหยุดคริสต์มาส แต่ละโรงแรมต่างต่อสู้กัน ใครก็ไม่กล้าให้เกิดปัญหา

จากนั้นผ่านการเจรจา สแตนลี่ย์ถอยก้าวหนึ่ง เปิดทำการในวันปีใหม่ วันคริสต์มาสทำการโฆษณา ถ้าครั้งนี้การเปิดร้านอาหารโรงแรมในเขตอเมริกาเหนือประสบความสำเร็จ อย่างนั้นก้าวต่อไปพวกเขาก็สามารถไปสู่ทั่วโลกแล้ว

มุมมองของฉินสือโอวและสแตนลี่ย์อยู่ที่ทั่วโลก ต้องรู้ว่าฮิลตันมีโรงแรมฮิลตันทั่วโลกกว่า 261 แห่ง โรงแรมตลาดกลางอย่างโรงแรม ‘สแกนดิก’ 142 แห่ง และโรงแรม ‘คอนราด’ 18 แห่ง ถ้าหากร้านอาหารต้าฉินสามารถยืมพลังได้สำเร็จ นั่นจะสร้างปรากฏการณ์ในการยืดครองตลาดได้!

และนี่ยังเป็นเพียงสถานะเริ่มแรกของร้านอาหารต้าฉิน สถานะระดับกลางคือเข้าร่วมพันธมิตรธุรกิจกับโรงแรมระดับโลก พันธมิตรนี้ไม่เหมือนกับพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ เขาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจโรงแรมที่จริงจังระดับโลก

และที่มีความมั่นใจขนาดนี้ เป็นเพราะว่าโรงแรมฮิลตันมตำแหน่งสำคัญในพันธมิตรทางธุรกิจโรงแรมระดับโลก มันกำกับดูแลโรงแรมมากกว่า 400 แห่งโดยตรง และมันมีผลกระทบต่อโรงแรมมากกว่า 2700 แห่งอีกด้วย!

สำหรับสถานะสุดท้ายของร้านอาหารต้าฉิน นั่นก็ค่อนข้างร้ายกาจแล้ว อาศัยพันธมิตรธุรกิจโรงแรมระดับโลกในการยืนอย่างมั่นคงในขอบเขตระดับโลกแล้ว ฉินสือโอวจะค่อยๆ แยกส่วนร้านอาหารออกมา สุดท้ายก่อเป็นตั้งบริษัทที่อิสระโดยสมบูรณ์

สแตนลี่ย์เป็นผู้จัดการใหญ่ทั่วโลกของร้านอาหารต้นฉินที่เขาแต่งตั้ง แน่นอนว่าประธานเป็นตัวเขาเอง และที่เขาให้เบิร์ดอยู่ด้วย เป็นเพราะอนาคตเบิร์ดต้องรับผิดชอบร้านอาหารเขตอเมริกาเหนือ!

นี่เป็นการตัดสินใจที่เขาคิดแล้วคิดอีก เบิร์ดซื่อสัตย์พึ่งพาได้ แม้ว่าความสามารถในการกำกับดูแลจะธรรมดา แต่เขาไม่จำเป็นจะต้องมีความสามารถในการกำกับดูแลจริง แต่ทำการมอบหมายสั่งการ ช่วยฉินสือโอวตรวจตราตลาดอเมริกาเหนือก็พอ

อีกอย่างที่ให้เบิร์ดมารับผิดชอบเขตอเมริกาเหนือยังมีข้อดีอีกอย่าง นั่นก็คือความสัมพันธ์ของเขาและฮิลตันคนน้อง คนทั้งสองรักกันจริง พวกเขาสามารถกลายเป็นกันชนระหว่างฉินสือโอวและครอบครัวฮิลตัน นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้

……………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท