ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1812 กลับมารวมตัวกันกินทังหยวน

บทที่ 1812 กลับมารวมตัวกันกินทังหยวน

หลังจากฉินสือโอวกลับมาที่ฟาร์มปลาสัปดาห์ที่สอง ปลายเดือนมกราคม โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศจีนเริ่มหยุดกันแล้ว หลังจากเสี่ยวฮุยมีเวลา พี่สาวกับพี่เขยก็จะจองตั๋วเครื่องบินบินมาที่นครเซนต์จอห์น

เดิมทีตามความคิดของเขาคือจ้างเที่ยวบินพิเศษมา แต่พี่สาวกับพี่เขยรู้สึกว่าไม่จำเป็น พ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวก็ดุเขาว่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง ดังนั้นก็เลยต้องจองตั๋วเครื่องบินและบินมาจากปักกิ่ง

ฉินสือโอวอยากซื้อเครื่องบินลำใหญ่มาโดยตลอด มันคือสัญลักษณ์ของฐานะกับสถานะ และยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอีกด้วย เพื่อความมั่งคั่งและสถานะของเขา บอมบาร์เดียร์จะมอบเครื่องบินสุดหรูที่สั่งทำให้กับเขา สำหรับเรื่องนี้ วินนี่คัดค้าน พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อของชิ้นนี้ ทั้งครอบครัวออกไปเที่ยวกันน้อยมาก ส่วนใหญ่ทุกคนก็อยู่บ้านที่ฟาร์มปลา การซื้อเครื่องบินจึงเป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยสิ้นเชิง

โดยพื้นฐานแล้ว ท่านชายฉินก็เป็นเด็กดีที่ประหยัด และเขาก็รู้สึกว่าการซื้อเครื่องบินส่วนตัวมันไม่จำเป็น ถึงแม้ว่าบางครั้งจะต้องเดินทางไกล เขาก็สามารถเช่าเครื่องบินลำใหญ่ผ่านทางบริษัทเอ็กซ์เพรสได้ แบบนั้นจะประหยัดเงินมากกว่า

รวมเวลาแล้ว เมื่อครอบครัวของพี่สาวใกล้จะมาถึงนครเซนต์จอห์น ฉินสือโอวก็พาเถียนกวานั่งเฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำใหญ่ไปรับ

เมื่อเหยียบจุด พี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยก็เดินลากกระเป๋าเดินทางออกมา เสี่ยวฮุยก็ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาเหมือนกัน เขาสวมเสื้อยีน ที่คอมีผ้าพันคอผืนเล็กพันไว้ แล้วก็สวมหมวกเบสบอลไว้บนหัว ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งกายของเด็กชายตัวน้อย เขายืนห่างออกไปไกลมากและโบกมือให้ฉินสือโอวอย่างตื่นเต้น “น้าๆ พวกเราอยู่ตรงนี้! ”

หลังจากไม่ได้เจอกันหนึ่งปี เสี่ยวฮุยเปลี่ยนไปมาก สูงขึ้นนิดหน่อยแล้วก็ดูแข็งแรงขึ้น ผมสีดำสนิท หน้าตาหล่อเหลา เขาต้องได้รับประโยชน์จากอาหารทะเลที่อุดมไปด้วยพลังแห่งโพไซดอนที่ฉินสือโอวมักจะส่งไปให้ตลอดแน่นอน

ฉินสือโอวเดินไปอุ้มเขาหมุนรอบหนึ่ง และหัวเราะฮ่าๆ “โห ทำไมหลานน้าตัวหนักขนาดนี้แล้วล่ะ? แม่หลานป้อนอาหารหมูให้หลานกินที่บ้านทุกวันใช่ไหม? เหมือนกับที่เลี้ยงหมูตัวเล็กๆ โตเร็วมาก”

เสี่ยวฮุยที่กำลังมีความสุขได้ยินคำพูดนี้ก็ตกตะลึงทันที เขาพูดเสียงอ่อนว่า “น้าครับ ผมกินเนื้อหมูถึงโตเร็ว ผมไม่ได้กินอาหารหมู”

พี่สาวของฉินสือโอวมองฉินสือโอวอย่างโกรธเคือง “แกเนี่ย ไม่สามารถสร้างความประทับใจดีๆ ให้หลานของแกได้เลย พูดดีๆ น่ะได้ไหม? เป็นตัวอย่างให้หลานของแกน่ะได้ไหม?”

ฉินสือโอวยิ้ม “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? มานี่สิ เถียนกวา บอกทุกคนสิ หนูคือใครเอ่ย?”

ครอบครัวของเขามักจะวิดีโอคุยกัน ดังนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงคุ้นเคยกับพี่สาวของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ปากเล็กๆ ขยับและพูดเสียงหวาน “คุณป้า คุณลุง พี่เสี่ยว หนูชื่อเถียนกวา พวกคุณยังจำหนูได้ไหมคะ?”

พี่สาวของฉินสือโอวชอบเถียนกวามาก เด็กหญิงตัวน้อยดูนุ่มนิ่ม และน่ารักน่าชัง เธออุ้มเถียนกวาขึ้นมาหอมแก้มอย่างแรงไปหนึ่งที และพูดด้วยรอยยิ้ม “จำเถียนกวาได้แน่นอน เถียนกวาน่ารักขนาดนี้สวยขนาดนี้ ใครเห็นแล้วจะลืมได้กันล่ะ?”

เด็กหญิงตัวน้อยยิ้ม และปืนขึ้นไปบนเสา “งั้นคุณป้าเอาของขวัญอะไรมาให้เถียนกวาเหรอคะ?”

เสี่ยวฮุยใช้นิ้วเกาจมูกล้อเลียนเธอ “น้องสาวหน้าไม่อายจริงๆ ทำไมเธอไม่มีมารยาทแบบนี้ เธอไม่สามารถขอของขวัญต่อหน้าได้”

เด็กหญิงตัวน้อยไม่สนใจ เธอเผยรอยยิ้มหวานออกมาและทำตัวน่ารัก “หนูยังไม่ประสีประสา หนูยังเด็กอยู่เลย คุณแม่บอกว่า ถ้าเด็กๆ ทำผิด พระเจ้าก็จะให้อภัย”

พี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก “ไอ๊หยาเสี่ยวโอว ลูกสาวแกไม่ธรรมดาจริงๆ เด็กอายุแค่ 2 ขวบกว่าพูดคล่องขนาดนี้ และยังสามารถพูดคำพูดของคนอื่นได้อีก”

ฉินสือโอวตบที่หน้าอกและพูดอย่างภาคภูมิใจ “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว พวกพี่ไม่เห็นเหรอว่าใครสอนลูกสาว”

เพราะอายุต่างกัน พี่สาวของฉินสือโอวจึงข่มน้องชายอยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ครั้งนี้เมื่อเห็นเขาทำตัวเสแสร้งก็ไม่พอใจทันที และหันไปถามเด็กหญิงตัวน้อย “เถียนกวา ปกติใครดูทีวี อ่านหนังสือ และพูดคุยกับหนูเหรอคะ?”

ฉินสือโอวลูบจมูกและไอออกมา แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่ไว้หน้าเขา และพูดอย่างแข็งขัน “อ้วนใหญ่กับอ้วนเล็กเล่นกับเถียนกวา พี่น้องเฟอเรทก็เล่นกับเถียนกวาเหมือนกัน บางครั้งหู่จือ เป้าจือกับซิมบ้าก็มาเล่นกับหนู ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่จะเล่นกันเอง ไม่เล่นกับเถียนกวาเลย!”

คนกลุ่มหนึ่งพูดไม่ออก พี่สาวของฉินสือโอวถามอย่างระมัดระวัง “อ้วนใหญ่กับอ้วนเล็กคือใครอีก? ฟาร์มปลาของแกเพิ่มสัตว์เลี้ยงตัวใหม่อะไรมาอีก?”

ฉินสือโอวยิ้มแห้ง “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงตัวใหม่อะไรหรอก ฟาร์มปลามีฝูงแมวน้ำกรีนแลนด์ สิ่งที่เธอพูดถึงก็คือแมวน้ำ 2 ตัว มันคือเพื่อนตัวน้อยหรือสมุนที่แข็งขันที่สุดของเธอ”

เดิมทีการรับเลี้ยงหมีขั้วโลกอย่างฉงเอ้อ เขากับวินนี่ก็หวังว่าจะสามารถเพิ่มเพื่อนให้กับเถียนกวาได้ หนึ่งคนหนึ่งหมีเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังเด็กและเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งมันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีช่วงหนึ่งในกระบวนการการเจริญเติบโตของเด็กหญิงแน่นอน ผลคือเด็กหญิงตัวน้อยกับหมีขั้วโลกไม่ถูกกัน ถ้าเจอกันจะสู้กันแน่นอน และก็ยังสู้กันมาตลอดจนถึงตอนนี้ ซึ่งก็ทำให้คู่สามีภรรยาเศร้าใจอย่างมากเช่นกัน

ขณะที่คุยกัน ฉินสือโอวก็พาพวกเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เสี่ยวฮุยเต็มไปด้วยความสนใจในเฮลิคอปเตอร์สุดหรูลำนี้ หลังจากขึ้นไปก็มองซ้ายมองขวา แตะบนแตะล่าง ท่าทางตื่นเต้นมาก

เบิร์ดดึงคันบังคับเครื่องบิน ปีกของเฮลิคอปเตอร์หมุนเสียงดังฟึ่บๆ นอกห้องโดยสารมีลดพัดมาจากทุกทิศทางอย่างรุนแรง ลำตัวของเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ส่ายไปมาสองสามครั้ง หลังจากนั้นก็เริ่มบินขึ้นฟ้า เมื่อเฮลิคอปเตอร์บินขึ้น ลำตัวของเฮลิคอปเตอร์ก็เสถียรขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันก็บินอยู่บนฟ้าไปตลอดทาง และบินไปทางเกาะแฟร์เวล

เสี่ยวฮุยเอนตัวอยู่ด้านหลังที่นั่งคนขับและมองไปทางที่นั่งคนขับอย่างเคลิบเคลิ้มผ่านกระจกกันกระสุน ฉินสือโอวหยอกล้อ “หลานชาย นายมองอะไรถึงเคลิบเคลิ้มขนาดนี้? อนาคตอยากเป็นนักบินเหรอ?

หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เสี่ยวฮุยก็ส่ายหน้าอย่างเหยียดหยาม “ผมไม่เป็นคนขับเครื่องบินหรอก ผมจะเป็นทหารอากาศ ผมจะขับเครื่องบินทิ้งระเบิด!”

ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายคนนี้กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมต้นแล้ว ทำไมถึงยังไร้เดียงสาขนาดนี้? เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เด็กวัยรุ่น 4 คนในบ้านหลังนั้นก็เหมือนจะเข้าเรียนเร็วเกินไปนิดหน่อย เสี่ยวฮุยเพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมต้น ในบรรดาพวกเขาคนที่เด็กที่สุดก็ขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว

เขาก็จนปัญญาเหมือนกัน แคนาดาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของนักเรียนมาก ในโรงเรียน สุขภาพจิตของนักเรียนยังสำคัญกว่าผลการเรียนเสียอีก พาวลิสกับอีก 4 คนเข้าเรียนช้า ตอนที่อายุของพวกเขาถึงชั้นมัธยมปลาย ผลคือพวกเขายังอยู่โรงเรียนประถม นั่นส่งผลต่อศักดิ์ศรีและความมั่นใจของพวกเขามาก แต่การเรียนการสอนของแคนาดา สิ่งนี้สำคัญกว่าความรู้ที่ได้เรียน

เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอด พ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็กำลังรออยู่ พี่สาวของฉินสือโอวและคนอื่นลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ พ่อของฉินสือโอวยื่นมือไปลูบหัวของเสี่ยวฮุยและถามเขาว่าผลการสอบปลายภาคเป็นอย่างไรบ้าง สีหน้าของเสี่ยวฮุยก็หมองลงทันที

ฉินสือโอวจัดห้องให้ครอบครัวของพี่สาวเพื่อพักผ่อนแล้ว คนเยอะเกินไป พวกเขาจึงพักอยู่ที่วิลล่าของฟาร์มปลาไม่ได้ ฉินสือโอวก็เลยจัดให้พวกเขาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ชาวประมง ซึ่งสภาพย่ำแย่นิดหน่อย แต่พวกเขาก็กลับไปแค่นอนพัก เวลาอื่นก็อยู่ในวิลล่า

เมื่อครอบครัวมารวมตัวกันแล้ว ฉินสือโอวก็เสนอให้กินทังหยวน อาหารประเภทนี้สำหรับคนจีนไม่มีความหมายอะไร นอกจากการกลับมาพบกันใหม่

ทุกคนบอกว่าโอเค เขาไปซูเปอร์มาร์เก็ตและเดินดูรอบๆ เมืองนี้ไม่มีทังหยวนขาย อันที่จริงคนที่อยู่ในเมืองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือทังหยวน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตของคนจีนในนครเซนต์จอห์น แต่ฉินสือโอวเห็นว่าในซูเปอร์มาร์เก็ตมีแป้งข้าวเหนียวกับเมล็ดงา เมล็ดถั่วลิสงช็อกโกแลตและของอื่นๆ เขาแค่ซื้อและกลับไปห่อเอง คนก็เยอะเร็วอยู่แล้ว

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท