ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1814 ดวงดาวแขวนอยู่บนขอบฟ้า

บทที่ 1814 ดวงดาวแขวนอยู่บนขอบฟ้า

เรือแฟร์เวลลากเกาะล่องแก่งแล่นไปในทะเล นี่คืออากาศดี แสงแดดส่องไปทั่วฟ้า ลมทะเลพัดเบาๆ อุณหภูมิข้างนอกแม้ว่าจะยังต่ำมาก แต่เพราะไม่มีลมทะเล คนที่อยู่ด้านนอกจึงไม่รู้สึกหนาวเลย

เถียนกวาพาพี่น้องเฟอเรทวิ่งไปรอบๆ บนดาดฟ้าเรือ เฟอเรทพี่ชายกับเฟอเรทน้องสาวร้องไห้ใบหน้าของพวกมันเหมือนกับลูกบอลขนไม่กล้าขยับเขยื้อน พวกมันจะหดตัว ทุกครั้งตอนที่ถูกเถียนกวาพามาข้างๆ เรือและมองลงไป พวกมันจะรู้สึกกลัวจนต้องปิดตาทั้งสองข้าง

เฟอเรทน้องสาวอาจจะเรียนกับนากทะเล ตอนที่รู้สึกกลัวมันจะหดหัวลงและยื่นอุ้งเท้าออกไปข้างหน้า มันสามารถใช้อุ้งเท้าปิดตาของมันเองได้

พ่อแม่ของฉินสือโอวเห็นฉากนี้แล้วหัวเราออกมาเสียงดัง พี่สาวของฉินสือโอวยื่นมือไปลูบหัวเล็กๆ ที่มีขนปุยของเฟอเรทน้องสาวและหัวเราะ “โห เจ้าตัวน้อยที่แกเลี้ยงตัวนี้ฉลาดจริงๆ มันเป็นอะไร? กลัวหรืออาย?”

ฉินสือโอวพูดว่า “พี่ช่วยผมดูเถียนกวาหน่อยได้ไหม อย่าให้เธอโยนเฟอเรททั้งสองตัวลงไปในทะเล เจ้าตัวน้อยสองตัวนี้เป็นตัวโปรดของวินนี่ ถ้าเถียนกวาโยนลงไป คาดว่ากลับไปวินนี่ก็อาจจะโยนเด็กหญิงตัวน้อยลงไปในทะเลเหมือนกัน”

เรือแฟร์เวลเคลื่อนไปข้างหน้า มันแล่นออกมาแล้ว 2 ชั่วโมงกว่า เกาะแฟร์เวลรู้สึกว่าจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้าจนมองเห็นไม่ชัดแล้ว ฉินสือโอวจึงหาสถานที่ที่เหมาะสมทอดสมอจอดเรือ เขาเก็บข้าวของและไปตกปลาบนเกาะล่องแก่ง

พี่สาวของฉินสือโอวกับคนอื่นๆ ก็อยากไปเกาะล่องแก่งเหมือนกัน เขาส่ายหน้า “ตกปลาบนนี้ไม่ได้ ถ้าเกิดจับได้ปลาตัวใหญ่มันไม่มั่นคงแล้วก็ออกแรงยาก พวกพี่อยู่บนเรือดีแล้ว ผมจะจับปลาไหลทะเลที่นี่หน่อย ตอนกลางคืนผมจะทำข้าวหน้าปลาไหลให้พวกพี่กิน”

สายพันธุ์ในฟาร์มปลาอุดมสมบูรณ์มาก แทบจะไม่มีปลาที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เมื่อก่อนปลาไหลอเมริกันถูกจับไปไม่เท่าไหร่ หลายปีมานี้ฉินสือโอวทำการคุ้มครองห้ามจับปลามาโดยตลอด ผลของการคุ้มครองก็ดีมาก

เขาปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป และมองหาปลาไหลอเมริกันที่วางไข่แล้ว ปลาไหลประเภทนี้สามารถวางไข่ได้ 5 ล้านฟองในหนึ่งครั้ง หลังจากที่วางไข่ปลาไหลตัวเมียจะตาย ดังนั้นจึงสามารถจับมากินได้ แน่นอนว่ารสชาติของมันจะแย่กว่าตอนก่อนวางไข่นิดหน่อย แต่รากฐานที่นั่น นี่คือขุมทรัพย์ทางทะเลอันดับต้นๆ ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติก รสชาติเยี่ยมมาก

ปลาไหลอเมริกันชอบอาศัยอยู่ในน้ำที่ค่อนข้างตื้นและไกลจากฝั่ง แต่ก็สามารถเจอร่องรอยของพวกมันที่น้ำลึก 2 ร้อยเมตรได้ ถึงแม้ว่าน่านน้ำที่ฉินสือโอวทอดสมอจะดูเหมือนอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินอย่างเกาะแฟร์เวลกับนครเซนต์จอห์นมาก แต่อันที่จริงมันคือทะเลที่สูง ความลึกแค่ 4 สิบกว่าเมตรเท่านั้น และที่นี่ก็มีปลาไหลอเมริกันอาศัยอยู่เยอะ

หลังจากที่ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป ในไม่ช้าเขาก็เห็นปลาไหลอเมริกันยาวเมตรกว่าสองสามตัวว่ายอยู่ในน้ำอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ปลาพวกนี้มีขนาดเท่าข้อมือเด็กเล็ก คาดว่าหนัก 5 กิโลกรัม และเป็นปลาไหลอเมริกันที่โตเต็มที่แล้ว

ปลาไหลอเมริกันที่สามารถโตได้ตัวใหญ่ขนาดนี้โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นตัวผู้ ปกติการจับปลาในทะเล เราจะจับแค่ตัวผู้ ส่วนตัวเมียจะทิ้งไว้เพื่อสืบพันธุ์ แต่ปลาไหลอเมริกันเป็นข้อยกเว้น สามารถจับปลาตัวเมียได้ เพราะหลังจากที่วางไข่ช่วงระยะหนึ่งปลาตัวเมียจะตาย แต่ปลาตัวผู้จะต้องอยู่เพื่อสืบพันธุ์

ฉินสือโอวค้นหาอยู่พักหนึ่ง เขาก็เจอปลาไหลตัวยาวครึ่งเมตรกว่า ปลาตัวนี้ว่ายติดชั้นทรายที่ก้นทะเลอย่างอิดโรย ปากของมันค่อยๆ เปิดและปิดเพื่อหาอาหาร ดูอ่อนเพลีย นี่ก็คือปลาตัวเมียหลังจากที่วางไข่

เขาใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมปลาตัวนี้และพาขึ้นมา ส่วนจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอื่นก็ให้ค้นหาต่อ เขาโยนกระบอกไม้ไผ่ลงไป และหาปลาตัวเมียที่วางไข่แล้วและส่งพวกมันเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่

หลังจากที่เสี่ยวฮุยเห็นก็เดินเข้ามาถามด้วยความประหลาดใจ “น้าครับ น้าใช้กระบอกไม้ไผ่พวกนี้ทำอะไรเหรอ?”

ฉินสือโอวถูมือ “นายเดาสิ”

เสี่ยวฮุยคิดแล้วคิดอีก “ผมเดาไม่ออก ผมรู้แค่กระบอกไม้ไผ่นี้สามารถทำข้าวได้ แต่ใส่ลงไปในน้ำทำไมผมก็ไม่รู้ ผมไม่เคยเรียน”

“นี่ใช้สำหรับจับปลา” เชอร์ลี่ย์อธิบายให้เขาฟัง “ฉินจะใช้จับปลาไหลหรือปลากระดูกอ่อน และมันก็สามารถใช้สำหรับจับปลาลิ้นหมาขนาดเล็กได้อีกด้วย แต่ปลาลิ้นหมาน้อยมากที่จะมาที่ผิวน้ำ ดังนั้นฉันเดาว่ามาจับปลาไหล พวกมันก็เหมือนงูตัวเล็ก ชอบมุดเข้าไปในรูแบบนี้”

เสี่ยงฮุยมองเชอร์ลี่ย์ด้วยหางตา และฟังเธออธิบายอย่างเคลิบเคลิ้ม ตอนที่รู้สึกว่าเธอกำลังมองเขา เขาก็รีบหันกลับ และแสร้งทำเป็นรู้ “นั่นฉันเข้าใจ ตอนอยู่ที่บ้านฉันก็เคยใช้จับปลาไหลเหมือนกัน แต่ปลาไหลอเมริกันใช่ปลาไหลเหรอ? ปลาไหลก็คือปลาไหลนาไม่ใช่เหรอครับน้า?”

ฉินสือโอวหัวเราะหึๆ “ไม่ใช่ ปลาไหลกับปลาไหลนาก็ไม่เหมือนกัน”

“พวกมันแตกต่างกันอย่างไร?”

ปลาไหลเป็นเสือผู้หญิง แต่ปลาไหลนาเป็นพวกบ้ากาม หลานรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเสือผู้หญิงกับพวกบ้ากามไหม?” ฉินสือโอวหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์และถาม เขาตั้งใจจะแกล้งหลานชายตัวน้อยที่ไร้เดียงสาคนนี้

แม้ว่าเสี่ยงฮุยจะยังเด็กแต่เขาก็ไม่ได้โง่ เมื่อเขาได้ยินว่าน้าของเขาหมายถึงอะไร เขาก็วิ่งหนีไปอย่างเขินอาย

เชอร์ลี่ย์ก็รู้เหมือนกัน แต่เธอชินแล้ว กลับกันเมื่อไหร่ที่มีเพศตรงข้ามอยู่ เธอจะเป็นจุดสนใจเสมอ ตั้งแต่เด็กอายุ 5 ขวบจนถึงผู้ใหญ่อายุ 50 เรียบหมด

ทะเลในฤดูหนาวช่วงที่ไม่มีลมทะเลนั้นมีเสน่ห์มากจริงๆ เธอมีความงดงามของผู้หญิงตามธรรมชาติ ภายในทะเลที่กว้างใหญ่ไม่มีคลื่นแม้แต่น้อย เงียบสงบราวกับกระจกบานหนึ่ง เพราะฤดูหนาวมลพิษเบาบางและความแรงคลื่นของกระแสน้ำในทะเลก็น้อย น้ำทะเลจึงใสเป็นพิเศษ แสงแดดยามบ่ายส่องลงบนผิวน้ำ สีฟ้ากับสีเหลืองส้มที่ผสมกันนั้น สวยงามจนทำให้ใจสั่น

เมื่อยืนอยู่บนเรือและปล่อยสายตามองออกไปในระยะไกล ฉินสือโอวรู้สึกว่าก้นบึ้งของหัวใจเขาค่อยๆ สงบลง เมื่อมองไปข้างหน้ามันคือสีฟ้าบริสุทธิ์ มองไปข้างหลังมันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะทิศทางไหน ล้วนไม่ปนเปื้อนฝุ่นโดยสมบูรณ์

ตอนบ่าย พระอาทิตย์ค่อยๆ เอียงไปทางทิศตะวันตก พ่อของฉินสือโอว แม่ของฉินสือโอวกับพี่สาวของฉินสือโอว พี่เขยและคนอื่นๆ ไม่ได้ตกปลาตัวใหญ่เลย แต่ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่เจอปลาตัวใหญ่ ต้องรู้ก่อนว่าทรัพยากรที่ฟาร์มปลานั้นอุดมสมบูรณ์มาก ฉินสือโอวไม่รู้ว่าปลาที่ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ช่วงที่สูงที่สุดมีเท่าไหร่ แต่เขารู้สึกว่าไม่เยอะเท่าฟาร์มปลาของเขาในตอนนี้แน่นอน

ฟาร์มปลามีฝูงปลาขนาดใหญ่เท่าไหร่ เขาก็ไม่รู้ บริเวณน้ำตื้นมีฝูงปลาแฮร์ริ่งกับฝูงปลาซาบะ บริเวณน้ำลึกมีฝูงปลาทูน่า ด้านนอกมีปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่มีมูลค่าหมื่นดอลลาร์ ซึ่งภายในฟาร์มปลาก็มีอยู่แล้วหลายหมื่นตัว แน่นอนว่า ปลาทูน่าครีบน้ำเงินพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกปลา และฝูงปลาก็ประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวน

ในน้ำทะเลชั้นกลางมีปลาค็อดและปลาทะเลตัวแบนทุกสายพันธุ์อยู่มากที่สุด และยังมีปลาจาน ปลาเเซลมอนแปซิฟิกและปลาสายพันธุ์อื่นอีกด้วย ส่วนที่ก้นทะเลก็มีปูราชินี ปูดันเจเนสส์ ล็อบสเตอร์ ปลิงทะเลและอื่นๆ อยู่นับไม่ถ้วน ทรัพยากรการประมงนั้นอุดมสมบูรณ์มาก!

พวกเขาเจอปลาตัวใหญ่ แต่ทักษะไม่ถึง ปลาตัวใหญ่พวกนี้ถ้าไม่สลัดเบ็ดหลุดก็สายเบ็ดขาด แรงของพ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวก็ไม่มากพอจะรับมือกับปลาตัวใหญ่เหมือนกัน ตอนแรกฉินสือโอวคิดจะไปช่วย แต่พวกเขาไม่ยอม

หลังจากออกมาตกปลา พวกเขาไม่ได้ต้องจับเยอะ เพราะพวกเขาแค่อยากสัมผัสความรู้สึกที่อยู่ในกระบวนการนี้ ถ้าฉินสือโอวไปช่วย พวกเขาก็จะไม่ได้รับความรู้สึกแบบนี้

ฤดูหนาวช่วงกลางวันจะสั้น ในไม่ช้าพระอาทิตย์ก็จะตกลงไปใต้ระดับน้ำทะเล และดวงดาวมากมายก็จะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

แสงจันทร์ที่เย็นยะเยือกโปรยปรายลงมา ผิวน้ำทะเลส่องประกายระยิบระยับมากขึ้นเรื่อยๆ กลางคืนไม่มีลม ผิวน้ำทะเลที่เงียบสงัดราวกับกระจก มีแค่ปลาตัวใหญ่ที่กระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำและส่งเสียงร้องบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งคราว

เมื่อเผชิญหน้ากับฉากแบบนี้ ภายในใจของฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏบทกวีขึ้นมาสองบท

ดวงดาวแขวนอยู่บนขอบฟ้าและที่ราบกว้าง แสงจันทร์ไหลไปพร้อมกับคลื่นและแม่น้ำ

เจ้าไหลไปทุกที่เหมือนกับอะไร เหมือนกับนกนางนวลที่โดดเดี่ยวตัวหนึ่งภายในโลก

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท