ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1816 เทศกาลช็อปปิ้งของเชื้อสายจีน

บทที่ 1816 เทศกาลช็อปปิ้งของเชื้อสายจีน

ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลไปสองคืนหนึ่งวัน ฉินสือโอวใช้พลังโพไซดอนสำรวจดูใต้ทะเล เขาได้เปลี่ยนสถานที่ไปสองที่ พากลุ่มของพ่อแม่และพี่สาวไปตกปลาตามที่ต่างๆ ทำให้ตกได้ปลาและกุ้งหลากหลาย สัมผัสชีวิตของชาวประมงบนทะเลกันสักครั้ง

สองวันมานี้อากาศไม่เลวมาตลอด บนทะเลไม่มีคลื่นลมแรง ผิวน้ำทะเลในตอนนี้สงบนิ่งราวกับกระจกสีฟ้าบานใหญ่บานหนึ่ง ทั้งไร้ขอบเขตและใสสะอาด พอถึงคราวที่ผืนน้ำทะเลเงียบสงบทีไร ฉินสือโอวก็คิดอยากจะไปยืนอยู่บนผิวน้ำทุกครั้งไป

พวกพ่อของฉินสือโอวได้พากันชมไม่หยุดปาก สุดท้ายตอนที่กลับไปถึงแถบชายฝั่งทะเลแล้ว พี่เขยก็พาเสี่ยวฮุยไปพายเรือคายัคบนทะเลกัน น้ำตื้นแต่ใสสะอาด แสงอาทิตย์ส่องสว่างลงไป ทำให้น้ำทะเลที่สะอาดนั้นเหมือนไม่มีอยู่จริง ราวกับว่าพวกเขากำลังพายเรืออยู่บนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

ชีวิตหลังจากนี้ทั้งเรียบง่ายและสงบสุข ฉินสือโอวตื่นเช้ามาออกกำลังกาย เหล่าวัยรุ่นปิดเทอมกันแล้ว งานเก็บกวาดคอกม้าตกเป็นหน้าที่ของกอร์ดอน ตอนหลังเสี่ยวฮุยที่โดนกอร์ดอนหลอกล่อก็ตามไปเก็บกวาดขี้ม้าด้วย พ่อกับแม่ของฉินสือโอวอยู่เล่นเป็นเพื่อนกับเถียนกวา เมื่อเป็นแบบนี้เขาจึงไม่มีอะไรทำ

ธุรกิจฟาร์มปลาติดตลาดแล้ว ชาร์คได้จัดแจงให้เหล่าชาวประมงออกทะเลเก็บเกี่ยวปลา เพราะทรัพยากรปลาที่สมบูรณ์ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องไปเก็บเกี่ยวปลาตรงทะเลลึกอีกต่อไป จึงทั้งปลอดภัยและประหยัดเวลา ทางสมาคมการประมงเองก็ไม่มีปัญหาอะไร วิธีการที่ร้ายกาจของฉินสือโอวได้เอาพวกลักลอบขโมยปลาเสียอยู่หมัด เป็นเวลาสิบกว่าวันแล้วที่ไม่มีโจรลักลอบขโมยปลาโผล่มาให้เห็นอีกเลย ทำให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาวางใจได้ในที่สุด

ฉินสือโอวชื่นชอบชีวิตที่เงียบสงบแบบนี้มาก เพราะว่าวินนี่ใกล้จะคลอดแล้ว พ่อแม่ของฉินสือโอว มิแรนด้ามาริโอ้กับพี่สาวที่มาเยี่ยมได้จัดการธุระในบ้านไปหมด เขาไม่ต้องทำอะไรเลย ข้าวมาอ้าปากเสื้อมาอ้าแขน แค่อยู่เป็นเพื่อนกับวินนี่ก็พอแล้ว

เริ่มตั้งแต่วันที่ยี่สิบเดือนมกราคมตามปฏิทินจันทรคติ เมืองต่างๆ ในแคนาดาได้เริ่มจัดงานประจำปี (เหนียนจี๋) กัน นี่เป็นวัฒนธรรมที่ชาวเชื้อสายจีนนำเข้ามา แต่ถูกคนท้องถิ่นนำไปสานต่อให้ใหญ่โต โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆที่มีชาวเชื้อสายจีนอยู่มากมายอย่างออตตาวา แวนคูเวอร์และโทรอนโต เหล่าพ่อค้ารู้ดีว่าวันเหล่านี้เป็นวันที่ทำเงินจากเชื้อสายจีนได้ดีที่สุด ดังนั้นจึงทำการจัดโปรโมชั่นต่างๆ นานาโดยมุ่งเน้นไปที่ชาวเชื้อสายจีนโดยเฉพาะ

ในสถานการณ์แบบนี้ มีบางเมืองที่จัดงานสัปดาห์ลดราคาวันตรุษจีนขึ้น เป็นงานที่คล้ายกับงานลดกระหน่ำก่อนวันคริสต์มาส ราคาสินค้าถูกและคุ้มค่า ดึงดูดชาวเชื้อสายจีนไปซื้อได้จำนวนมาก สุดท้ายพอคนเยอะแล้วจึงทำให้เหมือนกับงานเหนียนจี๋ตามหมู่บ้านชนบทของประเทศจีนไป

พอดีกับที่ตอนนี้เศรษฐกิจของหลายๆ พื้นที่ไม่ดี ทางรัฐบาลจึงถือโอกาสนี้จัดงานเทศกาลขึ้นมางานหนึ่ง เรียกว่าเทศกาลช้อปปิ้งวันตรุษจีน งานจัดขึ้นทั้งหมดสองวัน เวลาในการจัดงานของแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกัน แต่มีเป้าหมายเหมือนกัน ก็คือทำการล้วงเงินจากกระเป๋าของเศรษฐีเชื้อสายจีน

ชาวเชื้อสายจีนเป็นชนชาติที่ประหยัดและขยันที่สุดในโลก และน่าจะเป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย ชาวเชื้อสายจีนในแคนาดาไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็มีเงินเก็บมากกว่าคนผิวขาวในท้องที่และคนเชื้อชาติอื่นๆ รัฐบาลของแต่ละเมืองเพื่อที่จะทำกำไรจากชาวเชื้อสายจีนได้ระดมความคิดกันสุดฤทธิ์ เมื่อเห็นว่างานเหนียนจี๋ให้ผลตอบแทนที่ดี จึงพากันสนับสนุนงานประเภทนี้เต็มที่

วันที่ยี่สิบสี่และยี่สิบห้าเดือนมกราคม ทางเมืองเซนต์จอห์นก็จัดงานช้อปปิ้งวันตรุษจีนด้วยเช่นกัน ความจริงจำนวนชาวเชื้อสายจีนที่นี่ไม่ถือว่าเยอะ แต่ว่าที่นี่คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดในนิวฟันด์แลนด์และยังเป็นเมืองเดียวที่ใหญ่พอสามารถจัดงานประเภทนี้ได้ ดังนั้นเมื่องานถูกจัดขึ้นเพื่อชาวเชื้อสายจีนโดยเฉพาะ ทำให้ชาวเชื้อสายจีนจากทั่วนิวฟันด์แลนด์พากันมาที่นี่ แถมงานยังไม่เล็กอีกด้วย

ฉินสือโอวได้รับแจ้งจากการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เขาไปร่วมเปิดงานในฐานะแขกพิเศษ นอกจากนี้แล้วประธานสมาคมช่วยเหลือชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์เอี๋ยนตงเหล่ยก็ถูกเชิญด้วย ฉินสือโอวรู้สึกว่างานประเภทนี้สามารถช่วยยกระดับทางสังคมของคนจีนในนิวฟันด์แลนด์ได้ จึงตอบรับไปอย่างเต็มใจ

เช้าวันที่ยี่สิบสี่เดือนมกราคม เขาพาคนทั้งครอบครัวนั่งเรือออกเดินทางไปเซนต์จอห์น แม้แต่หู่จือกับเป้าจือก็ถูกพาไปด้วย ทั้งครอบครัวใหญ่พากันออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน

วินนี่ที่อุ้มท้องโตอยู่ก็ขึ้นเรือไปด้วย เธอมาออกงานคู่ฉินสือโอว ถึงตอนนั้นแค่ออกไปให้ผู้คนเห็นก็กลับได้แล้ว พอดีเลยจะได้ไปตรวจครรภ์ครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่อีกด้วย ถ้าไม่ติดปัญหาอะไร เธอน่าจะได้คลอดหลังตรุษจีนเลย

อาจจะเพราะได้รับแรงกระตุ้นจากความสำเร็จในการจัดงานเทศกาลช้อปปิ้งของโทรอนโตและแวนคูเวอร์ เพราะแค่วันแรกทางเซนต์จอห์นก็เริ่มรวบรวมพ่อค้ามาจำนวนมาก มีพ่อค้ามากมายที่ขับรถไม่ก็นั่งเรือมาจากรัฐอื่น ทางเซนต์จอห์นตั้งใจเลียนแบบเทศกาลเหนียนจี๋ตามหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน โดยการปิดถนนเส้นใหญ่เส้นหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อให้เหล่าพ่อค้าใช้ขายของ

ฉินสือโอวเจอหน้ากับแฮมเล็ตแล้วก็กอดกัน สีหน้าแฮมเล็ตเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใช้ภาษาจีนงูๆ ปลาๆ พูดว่า “สวัสดีปีใหม่ ฉิน สวัสดีปีใหม่ วินนี่ ปีหน้านี้ขอให้พวกคุณราบรื่นในทุกเรื่อง มา นี่คืออั่งเปา อั่งเปาใหญ่ให้แฮทธาเวย์ อั่งเปาเล็กให้เจ้าหนูในท้องของคุณครับ”

วินนี่รับซองมาแล้วกล่าวขอบคุณ บนถนนเอะอะเสียงดังมาก ฉินสือโอวถามเธอว่ารู้สึกเสียงดังมากไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะส่งเธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อน

วินนี่ส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร ให้เขากับแฮมเล็ตไปเตรียมการเปิดงานที่กำลังจะเริ่มขึ้นก็พอแล้ว

หลังจากแฮมเล็ตเจอกับพวกเขาสองคนแล้วเข้ามากอดเสร็จ ก็ไปทักทายพ่อกับแม่ของฉินสือโอวกับพี่เขยทีละคน มิแรนด้ากับมาริโอ้รู้สึกว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติ พ่อกับแม่ของฉินสือโอวเมื่อได้รู้ว่าชายวัยกลางคนที่แต่งตัวดีคนนี้เป็นผู้ว่าการจังหวัดแล้ว ก็รู้สึกทั้งดีใจและตื่นตระหนก ตอนที่จับมือกับแฮมเล็ตก็ยื่นไปจับทั้งสองมือ พ่อของฉินสือโอวยังพูดขอบคุณแฮมเล็ตอีกด้วยว่า “ขอบคุณรัฐบาล ขอบคุณผู้กำกับ ชีวิตของพวกเรายิ่งอยู่ยิ่งดีขึ้นทุกวัน”

ระดับภาษาจีนของแฮมเล็ตน่าประทับใจก็จริง ให้เขาท่องคำจำพวกสวัสดีปีใหม่กับคำอวยพรให้ร่างกายแข็งแรงนั้นพอไหว แต่พ่อของฉินสือโอวที่พูดจีนติดสำเนียงท้องถิ่นนั้นไม่ต่างอะไรกับภาษาต่างดาวเลย แต่เขาก็ยังคงยิ้มแย้มแล้วพยักหน้าติดๆ จากนั้นก็ไปแอบไปถามล่ามว่าคนสูงอายุสองท่านนี้พูดว่าอะไร

ล่ามเองก็กระอักกระอ่วน จึงพูดกลบเกลื่อนไปว่าคนสูงอายุทั้งสองท่านชมคุณว่าทำงานดี อวยพรให้คุณราบรื่นในชีวิตการงาน แฮมเล็ตจึงรีบกล่าวขอบคุณตอบไป ขอบคุณคำอวยพรของทั้งสองท่าน

พิธีเปิดงานดำเนินการแบบง่ายๆ งานเทศกาลของบางพื้นที่ในนิวฟันด์แลนด์จะมีโลโก้เป็นของตัวเอง แฮมเล็ตนำสมาชิกของสภาเมือง ฉินสือโอวและชาวเชื้อสายจีนในท้องถิ่นไปเปิดผ้าแดงเผยโลโก้ออกมา จากนั้นก็พูดคำอวยพรไม่กี่คำเป็นพิธี เท่านี้เทศกาลการซื้อของก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

ฉินสือโอวให้พ่อแม่และคนอื่นๆรวมกลุ่มกันไปซื้อของ พ่อของฉินสือโอวเห็นว่าคนเยอะวุ่นวาย กังวลว่าจะมีคนมาลักตัวเถียนกวาไป ฉินสือโอวจึงพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกพ่อเอาลูกมาให้ผมแล้วกัน ไว้ใจเถอะครับ ไม่หายแน่นอน หู่จือกับเป้าจือก็อยู่ด้วยนะครับ”

พ่อของฉินสือโอวพูดอย่างกังวลว่า “ลูกอย่าอะไรๆ ก็พึ่งหมาไปเสียหมดสิ ถึงหู่จือกับเป้าจือจะฉลาดแค่ไหนพวกมันก็ยังเป็นสัตว์นะ อีกอย่างคนเยอะขนาดนี้ เบียดกันไปเบียดกันมาแม้แต่ผู้ใหญ่ยังถูกเบียดจนหายไปได้เลย นับประสาอะไรกับหมาแล้วก็เด็กล่ะ?”

ฉินสือโอวแบกเถียนกวาขึ้นไหล่แล้วบอกให้พวกเขาไปซื้อของอย่างสบายใจได้เลย เขาดูแลเด็กได้ดีแน่นอน

พ่อกับแม่ของฉินสือโอวยังคงพูดย้ำเขาอีกสักพัก แล้วค่อยตามพี่สาวฉินสือโอวกับพวกวัยรุ่นไปเดินตลาดซื้อของกัน

รอจนพ่อกับแม่จากไปแล้ว ฉินสือโอวก็ปล่อยเถียนกวาที่อยู่บนไหล่เขาลงมาให้หู่จือกับเป้าจือ ตบหัวเจ้าสองตัวเล็กเบาๆ พูดว่า “ดูแลองค์หญิงเล็กให้ดีเข้าใจไหม? ถ้าเกิดหายไปขึ้นมา ฉันจะเอาพวกนายสองตัวไปตุ๋นกินเสีย”

หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นมองเขาอย่างซื่อๆ เพื่ออ้อนเขา เถียนกวาอยากจะไปซื้อของและดูผู้คน แต่ในตอนนี้เมื่อไรก็ตามที่เธอเดินออกไป หู่จือกับเป้าจือก็จะไล่เธอกลับมา

………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท