ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1818 ซื้อซื้อซื้อ

บทที่ 1818 ซื้อซื้อซื้อ

ต่อคิว หาหมอ ตรวจร่างกาย รอผลตรวจ รับอาหารเสริม จบเรื่อง

กระบวนการทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ทำเสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ฉินสือโอวเห็นว่าวินนี่ปกติในทุกๆ ด้านแล้วก็วางใจลง ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว เพราะเขาได้ใช้พลังโพไซดอนบำรุงร่างกายให้วินนี่กับเด็กเป็นระยะๆ อยู่แล้ว ดังนั้นระบบต่างๆ ในร่างกายจึงอยู่ในระดับที่ดีมาก

ตอนรับยาบำรุงได้เกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อย วินนี่ไม่อยากกินของพวกนี้ ฉินสือโอวเองก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกินของพวกนี้ หากว่าร่างกายของคุณแม่ไม่มีปัญหาอะไร หมอของแคนาดาก็ไม่แนะนำให้คุณแม่กินพวกยาบำรุงด้วยเหมือนกัน

แต่ว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายขอให้วินนี่กินของพวกนี้ เพื่อเพิ่มแคโรทีน ลูทีน และวิตามินต่างๆ เป็นต้น พ่อกับแม่ของฉินสือโอวเห็นว่าคุณแม่ที่บ้านเกิดพอตั้งครรภ์แล้วก็ล้วนกินของพวกนี้ มิแรนด้าและมาริโอ้ก็คิดว่าวินนี่อาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลาใกล้กับทะเลทำให้ร่างกายมีปัญหาได้ง่าย สุดท้ายเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นเดียวกัน วินนี่ไม่อยากบำรุงก็ต้องบำรุง…

“ฟังคำผู้ใหญ่เถอะ กินอันนี้ก็ถือว่าเป็นการบำรุงให้ลูกแล้วกัน” ฉินสือโอวปลอบวินนี่เหมือนกับกำลังปลอบเด็กอยู่ วินนี่ก็ส่ายหัวเหมือนเด็ก ครั้งนี้เธอไม่ยอมให้ “ฉันจะคลอดเร็วๆ นี้แล้วนะคะ ฉิน ฉันไม่อยากกินอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

เถียนกวาหัวเราะร่ามือถืออมยิ้มไว้อันหนึ่งแล้ววิ่งมาอวด บอกว่านี่เป็นของที่พี่สาวพยาบาลให้เธอมา

ฉินสือโอวกับวินนี่มองไปที่เธอ จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาเจ้าเล่ห์ทันที พวกเขามองดูเถียนกวาแล้วมองกันและกัน ฉินสือโอวพูดเสนอเสียงเบาว่า “ไปซื้อของบำรุงสำหรับเด็กกันเถอะ เอาไปโชว์ให้พ่อแม่ดูก็พอ แล้วเอาให้เถียนกวากิน”

“ฉิน นี่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของคุณนะคะ คุณทำแบบนี้ได้อย่างไร? แต่ฉันรู้สึกว่าความคิดนี้ดี งั้นเอาตามนี้” วินนี่ตอบตกลงอย่างมีความสุข

เถียนกวากระโดดขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แกว่งขาสั้นน้อยๆ ไปมาอย่างมีความสุข แล้วแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียอมยิ้มอย่างดีใจ ระหว่างเลียอยู่ก็กินอวดหู่จือกับเป้าจือไปพลาง แล้วยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสุขใจไปด้วย ไม่รู้เลยว่าถูกพ่อแม่ของตัวเองขายเสียแล้ว

หลังจากถือถุงอาหารเสริมสำหรับลูกสาวขึ้นมาแล้ว ฉินสือโอวก็ผิวปาก แล้วพาหู่จือกับเป้าจือออกจากโรงพยาบาล

ระหว่างทางที่ออกไป พยาบาลที่เจอกับหู่จือกับเป้าจือต่างก็พากันโบกมือให้กับพวกมัน หู่จือกับเป้าจือวางมาดสุดฤทธิ์ เชิดหน้ายืดอก ร้องโฮ่งๆ ออกมาเป็นระยะตลอด ราวกับเป็นหัวหน้าที่กำลังมาตรวจงานอย่างไรอย่างนั้น

ท่านชายฉินยอมใจให้เลยจริงๆ ถ้าเจ้าสองตัวนี้ได้เป็นเจ้าหน้าที่ราชการขึ้นมาแล้วล่ะก็ ต้องเป็นมือดีในการวางอำนาจอย่างแน่นอน

ตอนแรกพวกเขากะว่าจะกลับฟาร์มปลาเลย แต่เถียนกวากลับงอแงอยากจะไปเล่นในงานเทศการช้อปปิ้ง เด็กเล็กชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด บรรยากาศคนเบียดคนกับแผงขายของเล่นและของกินหลากหลายรูปแบบที่เจอก่อนหน้านี้ได้ดึงดูดความสนใจของเธอเป็นอย่างมาก

วินนี่จึงจองห้องรายชั่วโมง ให้ทั้งสองคนออกไปเล่นกัน วนเสร็จรอบหนึ่งแล้วค่อยกลับมารับเธอก็พอแล้ว ฉินสือโอวกลัวว่าเธอตัวคนเดียวจะเกิดเรื่อง จึงส่งเธอไปที่บ้านของมาร์ค วิล ให้คุณนายวิลที่ว่างอยู่ช่วยดูแล

ความสัมพันธ์ของฉินสือโอวกับครอบครัววิลสนิมสนมกันแล้ว งานการก่อสร้างฟาร์มปลาต้าฉินและฟาร์มปลาเบอร์สองก็ล้วนรับผิดชอบโดยบริษัทก่อสร้างของพวกเขา ไม่กี่ปีมานี้เพราะรู้จักกับเขาบริษัทก่อสร้างวิลทำกำไรได้ไม่น้อยเลย สามารถดูได้จากบ้านพักวิลล่าที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ของพวกเขา ใหญ่โตและทำเลดีกว่าหลังก่อนมาก

วิลไม่อยู่บ้าน เขาคุมงานลูกน้องทำงานอยู่ที่ฟาร์มปลาเบอร์สอง การขยายไลน์การผลิตเพิ่ม ทำให้ฟาร์มปลาเบอร์สองต้องการการก่อสร้างจำนวนมาก การสร้างเขตพื้นที่อยู่อาศัย ไม่ใช่แค่การสร้างตึกที่พักอาศัยและโรงงานก็ถือว่าจบเรื่อง

กินดื่มถ่ายหนักเบาแล้วก็ยังมีกิจกรรมสันทนาการอีก อย่างหลังนี่แหละที่เป็นงานใหญ่เลย

พอเห็นฉินสือโอวกับวินนี่เดินเข้ามา คุณนายวิลก็ยิ้มจนตากลายเป็นเส้นเดียว เธอถูมือแล้วพูดว่า “เมื่อกี้ดิฉันกำลังจัดแจงแท่นโมเดลที่พวกคุณให้มาร์คอยู่ เวลาผ่านไปไวจริงๆ นะคะ พริบตาเดียวก็สี่ปีแล้ว”

แท่นโมเดลที่ฉินสือโอวมอบให้มาร์คตอนมาเป็นแขกที่นี่ครั้งแรกถูกตั้งไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องรับแขก แท่นวางได้ถูกแผ่นไม้ที่ขัดจนเงาล้อมไว้ ในนั้นมีวิลล่าหลังหนึ่ง ชายหาดที่ขาวสะอาด กับท่าน้ำแบบโบราณที่ใช้ไม้สร้างขึ้นและทาสีเหมือนสีซีเมนต์ไว้กับท่าเทียบเรือบล็อคคอนกรีตที่สร้างด้วยเหล็กท่าหนึ่ง

ก่อนหน้านี้คุณนายวิลกำลังเปลี่ยนน้ำให้กับแท่นโมเดลอยู่ บนพื้นมีถังน้ำวางไว้สองถัง ถังใบหนึ่งเป็นน้ำสกปรก ส่วนอีกถังเป็นน้ำสะอาด เห็นได้ชัดว่าเอามาใช้เปลี่ยนน้ำทะเล

หลังจากฉินสือโอวกับวินนี่เข้ามาแล้ว เด็กชายวัยรุ่นและเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ออกมาทักทาย นี่เป็นลูกชายของวิลแมรี่แลนด์และลูกสาวของเขาเคธี่ ตอนที่ฉินสือโอวเห็นเด็กทั้งสองเป็นครั้งแรกนั้น แมรี่แลนด์เป็นเด็กซนคนหนึ่ง ส่วนเคธี่ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งหัดพูดอยู่เท่านั้น ตอนนี้แมรี่แลนด์ได้กลายเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงยาวแล้ว ส่วนเคธี่ก็เปลี่ยนเป็นสาวน้อยแล้วด้วย

พอดีเลย ให้วินนี่อยู่กับคุณนายวิล เขาจะได้พาแมรี่แลนด์และเคธี่ไปเที่ยวเทศกาลช้อปปิ้งด้วย

เมื่อได้รู้ความคิดนี้แล้ว เด็กน้อยผิวดำสองคนก็ดีใจสุดขีด คุณนายวิลหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันว่าจะพาพวกเขาไปเที่ยวกันพรุ่งนี้ วันนี้งานในบ้านค่อนข้างเยอะ ฉันไปไม่ได้ แบบนี้ดีเลยค่ะ แต่ว่าจะเป็นการรบกวนฉินมากเกินไปไหมคะ?”

วินนี่บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พาเด็กไปเดินเที่ยวสิคะถึงจะสนุก”

พาเด็กที่ดีใจอย่างสุขล้นสามคน ฉินสือโอวมุ่งหน้าไปเทศกาลช้อปปิ้ง ระหว่างทางไปเขาได้ตั้งกฎกับทั้งสามคนว่า “ข้อหนึ่ง ห้ามขัดคำสั่งฉัน ข้อสอง ห้ามออกห่างจากฉันมากกว่าสองเมตร ข้อสาม ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาให้ยึดตามข้อหนึ่งเป็นหลัก!”

พวกเด็กนิสัยเสียพวกนี้รับปากกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่พอลงรถเข้าไปในงานแล้วเท่านั้น พวกเขาก็ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้บนรถกันเสียหมด ราวกับปลาไหลที่เข้าไปในน้ำ เด็กนิสัยเสียทั้งสามเดินเลี้ยวไปมาในฝูงชน ไม่เห็นแล้ว…

“ให้ตายเถอะ!” ท่านชายฉินเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาทันใด เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้พาหู่จือกับเป้าจือมา ตอนนี้จะไปหาเด็กสามคนนี้อย่างไรล่ะ? คนเบียดคนนะ!

รถไปถึงหน้าภูเขาแล้วอย่างไรก็ต้องมีทาง เรือถึงหน้าสะพานแล้วอย่างไรก็ต้องตรง พวกเด็กนิสัยเสียวิ่งออกไปได้สักพัก ก็กลับมาหาเขาโดยอัตโนมัติ ยื่นมือไปพูดเสียงอ่อนว่า “ขอเงินสิบเหรียญได้มั้ยครับ/ค่ะ? ห้าเหรียญก็ได้”

ฉินสือโอวอยากจะตบให้สักห้าฉาก ยังจะมาขอเงินอีก? ถ้าให้เงินพวกเธอฉันก็ไม่สามารถคุมพวกเธออยู่แล้วน่ะสิ!

ทว่าแม้ไม่ได้ให้เงินกับพวกเด็กนิสัยเสีย แต่เขาถามพวกเด็กๆ ว่าอยากได้อะไร แมรี่แลนด์อยากได้รถปิกอัพเชฟโรเลตของเล่นคันหนึ่ง ทั้งหมดราคาหนึ่งพันกว่าเหรียญ ฉินสือโอวปัดมืออย่างใจกว้าง ซื้อเลย

เคธี่อยากได้ของเล่น ฉินสือโอวใจกว้างกว่า ไม่ว่าจะ hello-kitty ไม่ว่าจะตุ๊กตาบาร์บี้ ไม่ว่าจะแฟนแทสติกโฟร์ เขาซื้อมาหมด กระเป๋าเป้ของเคธี่ถูกยัดจนเต็มไม่พอ ในมือก็ถือไว้จนเต็มอีก ทำให้เธอยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว

สุดท้ายเขาถามเถียนกวาว่าอยากได้อะไร ตาดวงโตของเถียนกวามองเลิ่กลั่กไปมา ส่ายหัวแล้วบอกว่าหนูไม่เอาอะไรเลย

แมรี่แลนด์กับเคธี่มองยัยตัวเล็กราวกับมองคนซื่อบื้ออยู่ สายตาของยัยตัวเล็กที่มองพวกเขาก็ไม่ต่างกัน…

จนกระทั่งตอนที่เริ่มเดินต่อ แมรี่แลนด์กับเคธี่ก็เริ่มอิจฉาเถียนกวาที่ไม่เอาอะไรเลย ในมือและบนตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยของเล่น ทำให้ไม่สามารถเดินต่อไปได้ในฝูงชนได้ เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ลืมเรื่องวิ่งไปมาได้เลย ส่วนเถียนกวาที่ไม่เอาอะไรเลยกลับอยากไปไหนก็ได้ไป จนฉินสือโอวต้องคอยตามเธอไปทุกที่

นี่ก็คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ท่านชายฉินใจกว้างซื้อของเล่นให้ เขาไม่ได้ซื้อของเล่น แต่เป็นโซ่ที่ไว้ล่ามหมาน้อยพวกนี้ต่างหาก!

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท