ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1821 สงครามดอกไม้ไฟ

บทที่ 1821 สงครามดอกไม้ไฟ

ฉินสือโอวคาดไม่ถึง ว่าคืนวันตรุษจีนของปีนี้จะห่วยขนาดนี้ ห่วยแบบห่วยบรมเลย!

เพื่ออยากจะเก็บความเซอร์ไพรส์ไว้ตอนกลางคืน ตอนที่เขาอัดวีดีโอจึงจงใจอดใจไว้ไม่ไปดู แม้ว่าคืนวันตรุษจีนของสองปีก่อนก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรมากมายก็เถอะ แต่เพราะมีการจัดฉากไว้ยิ่งใหญ่ รายการก็สวยงาม ทำให้คนดูต่อไปได้ ถือว่าเป็นรายการที่ทำให้คนทั้งครอบครัวฉลองเทศกาลพร้อมกันในคืนวันจ่ายที่ดีทีเดียว

แต่ว่าคืนตรุษจีนของปีนี้นั้นแย่เสียจนฉินสือโอวแทบไม่อยากเชื่อ เขาถึงกับดูต่อไปไม่ได้เลย พ่อแม่ของฉินสือโอวที่ดูคืนฉลองตรุษจีนมาสามสิบกว่าปี ก็ไม่เคยมีตอนที่ดูต่อไม่ได้เลย แต่ครั้งนี้คือรับไม่ไหวจริงๆ พ่อของฉินสือโอวสูบบุหรี่ไปสองฟอดอย่างเสียอารมณ์ แล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า “เปลี่ยนช่องเถอะ พ่อยอมดูรายการของฝรั่งที่ฟังไม่รู้เรื่องพวกนั้น ก็ไม่อยากดูรายการคืนวันตรุษจีนนี้ นี่มันเป็นการขายขี้หน้าคืนวันตรุษจีนสามสิบปีที่ผ่านมาเสียจริง!”

แม่ของฉินสือโอวก็พูดด้วยว่า “ผู้จัดงานคืนตรุษจีนของปีนี้มีความแค้นกับทางช่องโทรทัศน์เหรอ? ถึงได้จัดรายการที่คนทั้งประเทศรอคอยออกมาสภาพนี้ได้ ถือว่าเขาก็มีความสามารถในระดับหนึ่งล่ะนะ!”

ดีที่ในบ้านมีคนเยอะเด็กเยอะสัตว์เลี้ยงก็เยอะ พวกเขาไม่ขาดแคลนความครื้นเครง หลังจากเถียนกวากินอิ่มแล้วก็วิ่งตามเสี่ยวฮุยออกไปจุดพลุดอกไม้ไฟ เชอร์ลี่ย์และพวกวัยรุ่นทั้งหมดก็พากันออกไปร่วมเล่นด้วย จากนั้นเสี่ยวชาร์ค คราเคนน้อยกับเด็กคนอื่นๆ ก็ถูกดึงดูดมาด้วย เด็กสิบกว่าคนมาเล่นดอกไม้ไฟพร้อมกัน ทำให้บรรยากาศในฟาร์มปลาดีขึ้นอย่างมาก

เสี่ยวฮุยออกห่างจากเถียนกวา ทุกครั้งก่อนจะจุดดอกไม้ไฟก็จะหันไปมองเถียนกวาก่อนแวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเธออยู่ห่างจากตัวเองระยะหนึ่งแล้วจึงจะกล้าจุด

แต่ในอีกฝั่งหนึ่ง การกระทำของเหล่าวัยรุ่นในฟาร์มปลากลับโลดโผนกว่ามาก

เสี่ยวชาร์คยังคงเป็นคนเริ่มสงครามอีกเช่นเคย เขาจุดประทัดควันขึ้นมาอันหนึ่ง เจ้าตัวนี้จะเริ่มปล่อยควันออกมาก่อน จากนั้นพอไฟดับแล้วก็จะมีควันสีขาวออกมานิดหน่อย สักพักถึงจะระเบิดออก

ดังนั้น เสี่ยวชาร์คจึงรอให้ไฟดับจากนั้นค่อยยัดประทัดควันลงไปในกระเป๋าเสื้อของกอร์ดอน

ฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น กอร์ดอนใส่เสื้อกันลมไว้ตัวหนึ่ง เสื้อสะบัดพลิ้วไปมาทำให้ไม่รู้สึกถึงการกระทำของเสี่ยวชาร์ค ที่โชคร้ายกว่านั้นคือในกระเป๋าของเขาใส่พลุดอกไม้ไฟไว้จำนวนหนึ่ง ตอนที่ประทัดควันระเบิดออกได้ทำให้พลุดอกไม้ไฟอื่นๆ ติดไฟไปด้วย ดังนั้นจึงได้ยินเสียงเปรี้ยงปร้างดังขึ้นมา…

ในชั่วขณะนั้น กอร์ดอนได้ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นราวกับถูกจี้จุดไว้อย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าปกติเชอร์ลี่ย์จะชอบรังแกเขา แต่กลับสนิทกับเขาที่สุด จึงรีบพุ่งเข้าไปช่วยดึงเสื้อของเขา ตะโกนว่า “รีบถอดออก รีบถอดออก!”

เสี่ยวฮุยกระโดดไปมาอย่างตื่นตระหนกอยู่ข้างๆ ตะโกนว่า “แย่แล้วๆ รีบแจ้งความสิ!”

ในขณะนั้นนิสัยที่ไม่ยอมถอยของกอร์ดอนก็ได้แสดงออกมา เขากัดฟันไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ประทัดในกระเป๋าเสื้อระเบิดออก ดอกไม้ไฟส่องประกาย ดีที่ว่าเป็นแต่ประทัดขนาดเล็กกับดอกไม้ไฟที่มีดินระเบิดไม่มาก ความรุนแรงจึงไม่มาก แค่ทำให้ตรงกระเป๋าเสื้อกันลมของเขาไหม้ไปเท่านั้น

ท่ามกลางควันที่คละคลุ้งนั้น เขาเดินไปข้างๆ อย่างใจเย็นแล้วหยิบพลุจรวดขึ้นมาอันหนึ่ง หลังจากจุดไฟแล้วก็เล็งแล้วปล่อยออกไปใส่เสี่ยวชาร์ค

“เฟี้ยว เฟี้ยว! ตู้ม! ” พอเสียงแหลมคมที่เกิดจากการพุ่งทะลุผ่านอากาศดังขึ้นแล้ว พลุจรวดที่ถูกเล็งอย่างแม่นยำก็พุ่งไปโดนตัวของเสี่ยวชาร์คแล้วระเบิดออก

เสี่ยวชาร์คตะคอกว่า “ฉันขอโทษๆ ฉันไม่รู้ว่าในกระเป๋านายจะมีของเล่นเยอะขนาดนี้ อย่าบังอาจ…โอ้ ชิท!”

“เฟี้ยว เฟี้ยว! ตู้ม!”

“เฟี้ยว เฟี้ยว! ตู้ม!”

“เฟี้ยว เฟี้ยว! ตู้ม!”

พลุจรวดพุ่งเข้าไปหาเสี่ยวชาร์คเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย เสี่ยวชาร์คถูกโจมตีจนเต้นกระโดดไปมา กอร์ดอนกัดฟันยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า “ขอโทษเหรอ? ถ้าขอโทษแล้วหาย***แล้วจะมีนรกไว้ทำไม? ลงนรกไปเถอะ!”

“ระเบิดเจ้าสารเลวนี่ให้ตายเลย!” ท่าทีของเชอร์ลี่ย์เหมือนกันกับเขา ส่วนพาวลิสก็ยืนอยู่ตรงกลางเพื่อห้ามปราม “อย่าๆๆ เพื่อนๆ ใจเย็นก่อน ทุกคนเห็นแก่หน้าฉันได้ไหม? ชิท ใครกันที่บังอาจระเบิดฉันด้วย?”

ในมือเสี่ยวชาร์คมีประทัดควัน จึงจุดแล้วโยนไปทางกอร์ดอนเพื่อเป็นการตอบโต้ พาวลิสที่ยืนอยู่ตรงกลางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกอะไรระเบิดใส่ จึงตะโกนร้องออกมาอยู่ตรงนั้น

มิเชลกับพี่ชายอยู่เรือลำเดียวกัน เขาเอาปืนจรวดอันเล็กมายื่นให้พาวลิสพูดว่า “ลูกพี่ ใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรงเถอะ!”

ปืนจรวดคือของที่พลังการทำลายมากที่สุดในบรรดาดอกไม้ไฟพวกนี้ หลังจากจุดไฟแล้วมันจะปล่อยลูกบอลไฟออกมา หากว่าระเบิดออกบนท้องฟ้า จะทำให้เกิดเป็นดอกไม้ไฟที่สีสันสวยงามออกมา แต่หากว่าระเบิดออกบนตัวคนแล้วล่ะก็ นั่นน่ะสามารถทำให้เสื้อติดไฟได้เลย…

เถียนกวาถือพลุกระดาษอยู่เต็มมือ สงครามระหว่างพี่ชายพี่สาวทำให้เธออึ้งไปเลย ที่แท้ของพวกนี้เล่นแบบนี้นี่เองเหรอ?

เสี่ยวฮุยเข้ามาลากเธอวิ่งไปทางบ้านพัก เถียนกวาไม่อยากไป จึงสะบัดมืออ้วนๆ แล้วตะโกนว่า “พี่ปล่อยมือหนูนะ หนูจะไปต่อสู้!”

เหล่าวัยรุ่นเริ่มเปิดสงครามที่ยุ่งเหยิง เสียงระเบิดของพลุ เสียงแหลมคมแล้วระเบิดออกของประทัดกับเสียงตะโกนของพวกเขาดังขึ้นรวมกัน โกลาหลเป็นที่สุด

ฉินสือโอวกับพี่สาวและพี่เขยกำลังนั่งคุยกันอยู่ แรกเริ่มเสียงร้องของพวกเด็กๆข้างนอกยังไม่ได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขานัก แต่ภายหลังไม่รู้ว่าใครที่พูดขึ้นมาอย่างแปลกใจว่า “ได้ยินเสียงประทัดกับพลุดังตลอดเลย แต่ทำไมบนฟ้าถึงไม่มีดอกไม้ไฟล่ะ?”

ตอนนี้เสี่ยวฮุยได้วิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน หายใจหอบแล้วตะโกนว่า “น้าๆ แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ข้าง ข้างนอกเกิดสงครามแล้วครับ!”

“อะไรนะ สงคราม?” ฉินสือโอวรีบออกไปดู ภาพที่พวกวัยรุ่นกำลังเอาเป็นเอาตายกันทำให้เขาตกใจอย่างมาก ให้ตายเถอะเจ้าเด็กเปรตพวกนี้ทำไมโหดแบบนี้ หรือว่าพวกเขาไม่รู้เหรอไงว่าเจ้าของพวกนี้พอโดนผิวแล้วไฟไหม้คนได้น่ะ!

การผลิตพลุดอกไม้ไฟของแคนาดามีกฏเกณฑ์ที่เข้มงวด อ้างอิงจากผู้ซื้อที่ต่างกันความรุนแรงก็จะแตกต่างกัน พลุดอกไม้ไฟสำหรับประชาชนคนธรรมดาจะเป็นแบบพลังทำลายค่อนข้างต่ำ ส่วนมากจะเป็นเปลวไฟเย็น มองไปแล้วสวยงาม หลังจากระเบิดแล้วไม่เป็นอันตรายต่อคน มีปริมาณดินระเบิดไม่มาก

พวกที่อันตรายมากๆ แถมยังสวยงามเป็นพิเศษอย่างพลุดอกไม้ไฟนั้นล้วนจำหน่ายให้กับบริษัทหรือศูนย์ราชการเท่านั้น อย่างเช่นในดอกไม้ไฟที่จุดกันในงานวันคริสต์มาสของเขตเซนต์จอห์นและเกาะแฟร์เวลที่สวยเอามากๆ และอันตรายมากด้วย หากดอกไม้ไฟแบบนั้นระเบิดโดนตัวบนแล้วล่ะก็ สามารถทำให้คนบาดเจ็บได้เลย!

บนตัวของเหล่าวัยรุ่นคลุ้งไปด้วยควันไฟ ฉินสือโอวเห็นแล้วก็ตกใจอย่างมาก ครั้งนี้เขาโกรธแล้วจริงๆ ตะโกนว่า “ให้ตายสิ พวกนายทำอะไรกันหา? นี่เป็นวันอะไร? พวกนายทำอะไรกัน? ให้ฉันเอาปืนให้พวกนายกันคนละกระบอกเลยไหม? ให้ฉันเอาปืนให้พวกนายไหม?!”

“พาวลิส นายเป็นพี่ใหญ่ภาษาอะไร?!”

“กอร์ดอน***ทำไมทุกครั้งที่เกิดเรื่องถึงได้มีนายทุกครั้งไปหา?!”

“มิเชล นาย***ยังอยากเป็นนักกีฬาอยู่หรือเปล่า? นักกีฬามืออาชีพจะทำเรื่องที่อันตรายแบบนี้เหรอ?!”

“เชอร์ลี่ย์ เธอดูสิว่าเธอยังเหมือนเด็กผู้หญิงอยู่หรือเปล่า?”

“เสี่ยวชาร์ค คราเคนน้อย พวกนายไสหัวกลับบ้านไปเลย! เร็วๆๆ!”

เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวแสดงอารมณ์โกรธที่แท้จริงต่อหน้าเหล่าวัยรุ่น เหล่าวัยรุ่นตกใจกันสุดขีด รีบโยนพลุดอกไม้ไฟในมือทิ้งแล้วยืนแยกกัน คนทั้งกลุ่มพากันมองซึ่งกันและกันหน้าเศร้า เมื่อเห็นบนตัวของอีกฝ่ายเละเทะ บนหน้าก็เต็มไปด้วยคราบควันจนเหมือนกับตัวตลกแล้ว ก็แอบหัวเราะกันขึ้นมา

เมื่อเห็นเหล่าวัยรุ่นแอบหัวเราะกัน ฉินสือโอวแทบจะโกรธจนอกแตกตาย เขาชี้ไปที่พวกพาวลิสสี่คนพูดว่า “พรุ่งนี้หลังจากเสร็จจากไหว้ปีใหม่แล้ว พวกนายกลับโรงเรียนเลย! เวลาที่เหลือจากนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกนาย! เสี่ยวชาร์ค ไปเรียกพ่อของนายมา พวกเธอทุกคนไปเรียกพ่อแม่ของตัวเองมา ครั้งนี้ฉันจะต้องทำให้พวกนายมีความทรงจำที่ลืมไม่ลงเลย!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท