ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1820 เทศกาลตรุษจีนที่มีปีละครั้ง

บทที่ 1820 เทศกาลตรุษจีนที่มีปีละครั้ง

เถียนกวาร้องตะโกนวิ่งเข้าไปในบ้าน ข้างนอกคือเสี่ยวฮุยที่ร้องโหวกเหวกโวยวาย พี่สาวฉินสือโอวรีบเข้ามาถามว่า “เป็นอะไรไป ยัยหนู นี่มันอะไรกัน?”

เถียนกวาซุกเข้าไปในอกเธอ ปากน้อยๆ เบะออกทำท่าจะร้องไห้ พูดว่า “คุณป้า น่ากลัวมากเลย พี่ชายถูกกินไปแล้ว…”

ผู้ใหญ่ในบ้านล้วนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนหลังเสี่ยวฮุยได้ร้องไห้งอแงวิ่งเข้ามาในบ้าน พี่สาวของฉินสือโอวเข้าไปดูเห็นว่าไม่มีอะไร จึงถามอย่างแปลกใจว่า “ลูกเป็นอะไรน่ะ โตขนาดนี้แล้วทำไมยังร้องไห้อยู่อีก?”

เสี่ยวฮุยมองไปที่เถียนกวา เถียนกวาใช้มือลูบหน้าสองที แล้วเข้าไปถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่ชาย พี่ไม่ได้ถูกกินไปแล้วเหรอคะ?”

เสี่ยวฮุยชี้ไปที่เถียนกวาอย่างโกรธเคือง ตะโกนว่า “คุณแม่ เป็นเธอคนนี้แหละที่ใช้ผีเสื้อเรืองแสงมาแกล้งให้ผมตกใจน่ะ!”

เถียนกวาเบิกตาโตแล้วทำสีหน้าไร้เดียงสา หน้าน้อยๆ ที่เนียนนุ่มนั้นแสดงออกว่าไม่รู้เรื่องอย่างที่สุด แอ๊บน่ารักให้กับพวกผู้ใหญ่ได้สำเร็จ พี่สาวฉินสือโอวจูบเธอไปทีหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวฮุยอย่างไม่พอใจ พูดว่า “อย่าพูดไปเรื่อยนะ เถียนกวาจะไปแกล้งลูกได้อย่างไร? ถ้าลูกขี้ตกใจขนาดนี้ก็ไม่ต้องเล่นดอกไม้ไฟแล้ว เอาล่ะ เอาดอกไม้ไฟไปเก็บเถอะ กินข้าวกัน”

เสี่ยวฮุยงอแง เอาดอกไม้ไฟในมือซ่อนไว้ด้านหลัง ร้องไห้แล้วพูดว่า “ไม่เอา!”

พี่สาวฉินสือโอวมีอารมณ์ที่รุนแรง ตอนเด็กๆ ฉินสือโอวก็ถูกเธอจัดการมาแล้วไม่น้อยเลย ตอนนี้ถึงตาเสี่ยวฮุยรับชะตากรรมนี้แล้วล่ะ ดีที่วินนี่อยู่ข้างๆ เธอเข้าไปปาดน้ำตาให้เสี่ยวฮุย แล้วพูดหยอกไปว่า “เป็นผู้ชายจะร้องไห้ไม่ได้นะ ดูอย่างเชอร์ลี่ย์สิ เขาเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังไม่ร้องไห้เลย”

กอร์ดอนหัวเราะเหอๆ อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ไม่จริง ตอนที่เร่ร่อนกันเธอร้องไห้ประจำ…โอ๊ย เชอร์ลี่ย์ ทำไมเธอถึงป่าเถื่อนแบบนี้? ทำไมลงไม้ลงมืออีกแล้วล่ะ? ปล่อยหูฉันนะ เจ็บๆๆ!”

มิเชลพูดกับพาวลิสเสียงเบาว่า “โอ้สววรค์ สรุปว่าเป็นไวส์หรือเชอร์ลี่ย์กันแน่ที่เรียนศิลปะการต่อสู้ นายดูมือของเธอสิ รวดเร็วมากเลย นี่เรียกว่าอะไรนะ? กรงเล็บมังกรหรืออะไรนะ?”

ฉินสือโอวมองดูกอร์ดอนที่ร้องขอชีวิตอย่างขำขัน เจ้าหมอนี่ไม่หลาบจำเสียที เชอร์ลี่ย์ควรจะจัดการเขาให้เข็ดจริงๆ นั่นแหละ

พอวินนี่พูดถึงเชอร์ลี่ย์ปุ๊บ เสี่ยวฮุยก็หยุดร้องไห้ทันที เขารีบเช็ดน้ำตาแล้วอธิบายว่า “ผมไม่ได้ร้องไห้ เมื่อกี้น่ะ เมื่อกี้คือ เมื่อกี้ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เถียนกวาจุดไฟให้ผีเสื้อเรืองแสงแล้วก็โยนมาบนตัวผม ผมตกใจหมดเลย!”

วินนี่มองไปที่ลูกสาว ยัยตัวเล็กทำท่าไร้เดียงสาออกมา เงยหน้ามองเธอด้วยสายตาบริสุทธิ์ แล้วพูดเสียงอ่อนว่า “หม่าม๊า พวกเราออกไปจุดดอกไม้ไฟกันไหมคะ?”

ฉินสือโอวเข้ามาเคาะหัวเธอทีหนึ่ง พูดว่า “ยังไม่ปีใหม่เลย พวกหนูจะจุดดอกไม้ไฟให้หมดเลยเหรอ? ตอนนี้ต้องกินข้าวแล้ว ใครก็ห้ามออกไปเล่น ดูสิ หู่จือกับเป้าจือก็ยังกลับมาแล้วเลย”

พอถึงเวลากินข้าวพวกหู่เป้าฉงหลัวกับแมวป่าจะกระตือรือร้นกว่าใครเป็นที่สุด พวกมันพากันมานั่งเรียงกันหลังโต๊ะกินข้าว คาบถ้วยอาหารของตัวเองไว้เพื่อรอกินข้าว

แม่ของฉินสือโอวชอบท่าทีว่าง่ายของเจ้าพวกนี้เป็นที่สุด เธอเข้ามาลูบหัวของเจ้าพวกนี้ทีละตัวอย่างมีความสุข แล้วนำอาหารที่เตรียมไว้แล้วใส่ลงในถ้วยอาหารของพวกมัน จากนั้นเจ้าพวกนี้ก็จะก้มหน้าก้มตากินอาหารของใครของมัน

พ่อของฉินสือโอวพึมพำว่า “มีที่ไหนที่ให้สัตว์กินข้าวก่อนคนกัน?”

แม่ของฉินสือโอวพูดด้วยท่าทีอ่อนน้อมแต่น้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “ตอนที่เสี่ยวหลานกับเสี่ยวโอวยังเด็ก เป็นใครกันที่พอถึงเวลากินข้าวแล้วก็จะพูดกับฉันว่า ก่อนกินข้าวให้ป้อนหมูก่อนน่ะ?”

พ่อของฉินสือโอวหัวเราะอย่างเคอะเขิน แล้วพูดกลบเกลื่อนว่า “กินข้าวๆ เจ้าพวกนี้ทำตัวดี ให้พวกมันกินก่อนก็ได้”

วันที่สองหลังเทศกาลช้อปปิ้ง ช่วงเช้าได้มีนักข่าวหลายคนมาที่ฟาร์มปลา เป็นนักข่าวของช่องโทรทัศน์ซีซีทีวีที่อยู่ในแคนาดา มาสัมภาษณ์ความเห็นเกี่ยวกับเทศกาลวันตรุษจีนและเทศกาลประจำชาติของชาวเชื้อสายจีนในต่างประเทศ เรื่องนี้ท่านชายฉินเป็นมือฉมัง เพราว่าได้เอี๋ยนตงเหล่ยชี้แนะให้บวกกับสถานะและทรัพย์สินของเขา ทำให้ทุกปีใหม่ต้องเจอกับเรื่องจำพวกนี้

เขาในตอนนี้ถือว่าเป็นกึ่งคนของสาธารณะแล้ว ควรจะรับมือกับงานแบบนี้อย่างไรเขาได้คิดไว้ในใจแล้ว ในปีแรกที่ถูกสัมภาษณ์ยังเป็นการสัมภาษณ์ผ่านออนไลน์อยู่ ระหว่างสัมภาษณ์ฉินสือโอวยังจงใจเล่นมุกตลกด้วย แต่ตอนนี้เขาไม่เล่นมุกแล้ว แค่ทำการแนะนำถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเชื้อสายจีนในนิวฟันด์แลนด์ง่ายๆ เท่านั้น จากนั้นก็อวยพรให้พ่อแม่พี่น้องบ้านเดียวกันมีความสุขในวันตรุษจีน

สามวันให้หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็ถึงวันจ่ายแล้ว แม่ของฉินสือโอวให้เขาเรียกเหมาเหว่ยหลงมาที่บ้าน บอกว่าครอบครัวเขาอยู่ที่แฮมิลตันน่ะเงียบเหงาเกินไป ฉินสือโอวก็คิดแบบนี้ด้วยเหมือนกัน เขาจึงโทรศัพท์ไปหา เหมาเหว่ยหลงบอกว่าพวกเขากลับไปที่จีนแล้ว ปีนี้จะไปฉลองปีใหม่กันที่บ้านเกิด!

นี่เป็นเรื่องดี ความขัดแย้งของเหมาเหว่ยหลงกับครอบครัวถือว่าคลี่คลายแล้ว ฉินสือโอวแสดงความยินดีในสายไม่หยุด แล้วบอกให้เขาว่าหลังฉลองปีใหม่เสร็จแล้วให้เอาของดีจากบ้านเกิดมาด้วยเยอะๆ

ทางฝั่งเหมาเหว่ยหลงก็ดีใจมากเช่นกัน เขาพูดอย่างดีใจว่า “รอฉันกลับมาหลังปีใหม่แล้วกัน อยู่บ้านก็คงอยู่ได้ไม่นานหรอก แค่อยากกลับไปดูพ่อแม่กับปู่ย่าเฉยๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากกลับไปหรอก รอฉันกลับไปแล้ว พวกเราพี่น้องค่อยมาฉลองกันดีๆ อีกที”

ฉินสือโอวรีบพูดว่า “ไม่ๆๆ ไม่ใช่ให้พวกเราฉลอง แต่ให้นายเอาของดีมา กลับมาแล้วฉันจะฉลองเองที่บ้าน”

พอวางสาย เขาก็เล่าสถานการณ์ของเหมาเหว่ยหลงให้ที่บ้านฟัง แบบนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาฉลองปีใหม่กันเองก็พอแล้ว

วันที่สามสิบเดือนสิบสอง ฉินสือโอวได้รับของขวัญก่อนปีใหม่ชิ้นหนึ่ง ฮิวจ์คนน้องได้ช่วยเขาตามหาคนเอธิโอเปียที่ก่อนหน้ามีเคยมีเรื่องกันจนเจอ เขาจ่ายเงินไปกว่าสองแสนดอลลาร์แคนาดา คนพวกนี้แอบลักลอบขึ้นไปบนเรือขโมยปลาที่ถูกยามชายฝั่งยึดไว้ตรงท่าเรือเซนต์จอห์น จากนั้นก็ทำลายห้องบังคับการเรือเสียจนไม่เป็นชิ้นดี แถมยังวางเพลิงบนนั้นอีก

แต่ว่าโดยปกติแล้วบนทะเลจะไม่ค่อยมีอัคคีภัยให้เห็น เพราะว่าหาน้ำได้ง่าย บนเรือก็ล้วนมีปืนฉีดน้ำแรงดันสูงกันหมด หลังจากรู้ว่าเกิดเพลิงไหม้แล้วคนงานบนท่าเรือก็พากันเข้าไปช่วยดับไฟ แต่ว่านี่ก็เพียงพอให้นักข่าวมาสนใจแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วนิวฟันด์แลนด์ ความจริงเหล่าชาวประมงทุกคนรู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ตำรวจม้าท้องถิ่นก็เดาออกเช่นกัน ใช้ก้นก็ยังสามารถคิดได้เลย แต่ว่าบนเรือไม่มีกล้องวงจรปิด คนเอธิโอเปียทำเรื่องนี้กันอย่างรัดกุม พวกเขาหาหลักฐานไม่เจอ จึงไม่สามารถลงโทษเจ้าของฟาร์มปลาที่อยู่เบื้องหลังได้

พวกนักเลงเอธิโอเปียต่อสู้ไม่ได้เรื่องก็จริง แต่ถนัดเรื่องการทำลายแบบนี้นัก ฉินสือโอวอ่านข่าว ในนั้นบอกว่ากับเรื่องการทำลายทรัพย์สินในครั้งนี้ตำรวจท้องที่ไม่มีทั้งเบาะแสและหนทางที่จะสืบต่อ เมื่อรวมกับคดีลักขโมยในฟาร์มปลาก่อนหน้านี้อีกหลายคดี ทำให้ความสามารถของตำรวจท้องที่ถูกนักข่าวจากสำนักต่างๆ กังขา เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกสะใจมาก

ความสามารถในการทำงานของตำรวจแคนาดาไม่เก่งเอาจริงๆ แม้ว่าหากเทียบกับการทำงานของตำรวจม้าในอเมริกาที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านแล้วจะนุ่มนวลและยุติธรรมกว่ามาก แต่ความสามารถในการปิดคดีนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่นิวฟันด์แลนด์ที่เป็นเขตชายแดนยิ่งแล้วใหญ่ ในสถานีตำรวจของแต่ละพื้นที่ไม่รู้ว่ามีคดีที่ปิดไม่ลงมากี่คดีแล้ว

วันจ่ายมาถึงแล้ว เวลาในแคนาดาช้ากว่าปักกิ่งสิบสามชั่วโมง ส่วนเวลาในนิวฟันด์แลนด์จะช้ากว่าปักกิ่งที่สิบสองชั่วโมงครึ่ง นี่หมายความว่าเวลากลางวันกลางคืนของทั้งสองที่นั้นได้ตรงข้ามกันพอดี

คำว่าคืนวันจ่ายมีคำว่าคืนอยู่ด้วย นั่นก็คือต้องฉลองกันในตอนดึกเท่านั้น ฉลองตอนกลางวันไร้ความหมาย ดังนั้นฉินสือโอวจึงตัดสินใจว่าจะฉลองบ้านใครบ้านมัน ไม่สนใจเวลาปักกิ่ง อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่กันพร้อมหน้าอยู่แล้ว ตอนกลางวันเขาทำการอัดวีดีโอคืนวันตรุษจีนไว้ พอถึงกลางคืนค่อยเอามาดูตอนฉลองคืนวันจ่ายของตรุษจีนก็ได้แล้ว

กว่าจะอัดวีดีโอภาพงานฉลองเทศกาลตรุษจีนเสร็จก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวัน ฉินสือโอวอดใจไว้ไม่ดูตอนกลางวัน พอถึงกลางคืนหลังจากทำอาหารมาเต็มโต๊ะแล้วค่อยให้คนทั้งบ้านรวมไปถึงหู่เป้าฉงหลัวและสามตัวเล็กบนฟ้ามากินข้าวไปพลางดูไปพลาง

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท