ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1824 เมืองเล็กเปลี่ยนแปลงไป

บทที่ 1824 เมืองเล็กเปลี่ยนแปลงไป

ถ้าเทียบกับเมื่อสี่กว่าปีที่แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของเมืองก็คือบรรยากาศที่มีชีวิตชีวามากขึ้น ตอนนั้นเมืองเล็กๆแห่งนี้มีบ้านที่ว่างเปล่าเต็มไปหมด ชาวเมืองมากมายล้วนพากันออกจากเกาะนี้ ไปยังเมืองใหญ่อย่างเซนต์จอห์นและโทรอนโต เป็นต้น ฉินสือโอวยังจำได้ ตอนนั้นที่เขาเพิ่งมาถึงเมืองนี้ เออร์บักพาเขาไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โรงแรมแห่งนั้นเป็นโรงแรมเดียวที่เปิดทำการในเมืองนี้ แถมยังใกล้จะปิดตัวลงเพราะขาดแคลนนักท่องเที่ยวอีกด้วย

ตอนนั้น บนถนนในเมืองก็มีคนสัญจรไปมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่าจะบังเอิญเจอคนเข้า ก็ล้วนเป็นพวกอารมณ์ตกต่ำ เปี่ยมไปด้วยความมืดมน

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ในเมืองไม่มีบ้านว่างแล้ว จำนวนประชากรก็พุ่งขึ้นมากถึงสองเท่ากว่าๆ เพราะวินนี่ทำงานราชการ ฉินสือโอวจึงรู้การเติบโตขึ้นของตัวเลขสถิติในเมืองบ้าง เทศบาลท้องถิ่นในตอนนี้ได้คุมเข้มเรื่องการโอนย้ายภูมิลำเนาเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นในเมืองคงอัดแน่นไปด้วยผู้คน คนดีคนชั่วปะปนกันมั่วไปนานแล้ว

เศรษฐกิจของทุกพื้นที่ในแคนาดาล้วนไม่ค่อยดี หาเงินไม่ง่าย แต่กับทางเมืองแฟร์เวลนั้นกลับถือว่าหาได้ง่ายกว่า หนึ่งเพราะฟาร์มปลาต้าฉินที่ขับเคลื่อนในการพาอุตสาหกรรมการประมงก้าวไปข้างหน้า ทำให้ปริมาณการเก็บเกี่ยวปลาในฟาร์มปลาสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เหล่าชาวประมงออกทะเลกันทีหนึ่งสามารถทำเงินได้ไม่น้อย สองก็คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในเมือง การเปิดแผงลอยหรือร้านในเมือง ขอแค่ตั้งใจบริหารดีๆ การจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีอาจจะไม่ง่ายก็จริง แต่ว่าถ้าหาเงินเลี้ยงครอบครัวแล้วล่ะก็ไม่มีปัญหาเลย

ตลอดทางที่ขับรถมา บ้านที่อยู่ใกล้กับถนนหลักของเมืองล้วนถูกดัดแปลงกลายเป็นร้านค้ากันหมด ทั้งให้เช่าขายอุปกรณ์กีฬากลางแจ้ง ห้างจัดจำหน่ายเบ็ดตกปลาและกระดานโต้คลื่น ร้านจำหน่ายของที่ระลึก เป็นต้น ดูแล้วกิจการกำลังไปได้ดีเสียด้วย

แต่ที่มีจำนวนเยอะที่สุดยังคงเป็นโรงแรม ไม่เพียงแต่บ้านที่อยู่ใกล้ถนนเท่านั้น บ้านที่อยู่ในเขตอาศัยมากมายก็ทำการดัดแปลงเป็นโรงแรมแล้ว โดยมากจะทำเป็นโฮมเสตย์ ขนาดเล็กจะมีห้องพักแค่สามสี่ห้อง มีจุดขายคือการใช้ชีวิตแบบอบอุ่นสไตล์แคนาดา ถือว่าได้รับความนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวเลย

เดินจับมือซุยฉีอยู่บนถนน แบรนดอนมองดูร้านค้าสองข้างทางแล้วก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก พูดว่า “ฉิน อิทธิพลของนายช่างมากเสียจริง นายส่งผลกระทบต่อเมืองนี้แล้ว ดูสิ บ้านเรือนพวกนี้ล้วนตกแต่งร้านโดยใช้สไตล์การตกแต่งของวันตรุษจีนทั้งนั้นเลย สุดยอดจริงๆ”

จริงตามนั้น สไตล์การตกแต่งร้านของร้านค้ามากมายในเมืองแฟร์เวลล้วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีนทั้งนั้น อย่างเช่นการแขวนโคมไฟแดงตรงประตูทางเข้า อย่างเช่นติดตุ้ยเหลียน อย่างเช่นพวกเขานำพวงพริกสีแดงกับประทัดมาห้อยไว้ตรงหน้าต่าง อย่างเช่นการติดภาพของตุ๊กตาจีน เป็นต้น

มีเถ้าแก่หลายคนที่ใส่เสื้อคอจีนที่พิมพ์คำว่า ‘ฝู (ความสุข)’ อยู่ด้วย ในร้านก็เปิดเพลงจีนจำพวกสวัสดีปีใหม่ กับขอให้เฮงๆรวยๆอยู่ด้วย พอเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าไปแล้วก็จะทักทายด้วยคำว่าสวัสดีปีใหม่ หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีหน้าตาแบบคนผิวขาวแล้วล่ะก็ คนคงนึกว่าตัวเองเข้าไปในไชน่าทาวน์หรือไม่ก็ย่านคนจีนเป็นแน่

ใบหน้าที่สละสลวยของซุยฉีก็เต็มไปด้วยความชื่นชมเหมือนกัน เธอพูดด้วยความอิจฉาว่า “ฉิน บรรยากาศของผู้คนที่นี่ดีจริงๆ เลย แล้วก็วินนี่อีก คุณดูสิ ที่นี่มีติดรูปของวินนี่ด้วย ดีสุดๆ เลย!”

เรื่องนี้ก็เป็นจริงตามนั้น ระหว่างทางคนพื้นที่ที่เจอกับฉินสือโอวก็ล้วนพากันทักทายเขาอย่างเป็นมิตรพร้อมกับอวยพรปีใหม่ให้เขากันทั้งนั้น ตอนที่พวกเขาเดินผ่านร้านค้าบางร้าน ก็ถึงขั้นว่ามีเถ้าแก่ตั้งใจออกมาทักทายอีกด้วย อย่างเช่นฮิวจ์ที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อ ตอนที่มาทักทายยังจงใจอวดภาษาจีนงูๆ ปลาๆ ของเขาอีกด้วย

แม้ว่าท่านชายฉินจะชอบที่ได้สิทธิพิเศษกับคำชมแบบนี้ก็ตาม แต่เขาก็จำต้องอธิบายก่อนว่า “คนพวกนี้ไม่ได้ตกแต่งร้านสไตล์ตรุษจีนเพราะฉันหรอกนะ ฉันไม่ได้มีเสน่ห์ขนาดนั้น พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อเอาใจฉัน แต่เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยวที่เป็นเพื่อนร่วมชาติฉันต่างหาก หรือก็คือ เจ้าพวกเจ้าเล่ห์พวกนี้กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อจะเอาเงินจากเพื่อนร่วมชาติฉันนั่นเอง”

“แต่พูดจริงๆ นะ การนับถือเป็นของที่ไม่ว่าเงินแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้หรอก” แบรนดอนพูดพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน

เดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนในเมือง นักท่องเที่ยวที่สัญจรไปมาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แบรนดอนพูดถูก นักท่องเที่ยวพวกนี้อยู่ฉลองปีใหม่กันในเมือง มีบางคนถึงขั้นตั้งใจมาฉลองปีใหม่ที่นี่ด้วย ก็เพราะชอบในบรรยากาศที่อบอุ่นของที่นี่นั่นเอง

เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา เขาเคยอาศัยอยู่ในเมืองมาหลายปี จากที่เขาสังเกต ในเมืองมีเขตเล็กๆมากมายเพื่อนบ้านก็มากมาย แม้จะอาศัยมาหลายปีแล้วก็ไม่มีการไปเที่ยวเยี่ยมเยียนกันเลย ต่างคนต่างขี้เหนียวกันเสียจนแม้แต่พบหน้ากันก็ไม่มีรอยยิ้มให้กันเสียด้วยซ้ำ ทว่ากับในเมืองเล็กๆ ต่างถิ่นในต่างแดน ผู้คนก็แปลกหน้า แต่พอเจอกันบนถนนกลับมีรอยยิ้มให้กันและกัน หากว่านั่งโต๊ะข้างกันในบาร์ของโรงแรม ยังมีการเข้าไปพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย

ช่วงเที่ยง ฉินสือโอวพาพวกแบรนดอนไปหาข้าวกินกันที่ร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน บิลลี่แนะนำกับลินดาว่า “พวกเราจะไปร้านอาหารที่วิเศษมากแห่งหนึ่ง คุณลุงแกมีความสามารถอันน่าทึ่งในการหมักไวน์ อีกเดี๋ยวคุณต้องลองชิมไอซ์ไวน์ที่เขาหมักนะ ผมกล้าพนันเลย หลังจากคุณดื่มแล้ว จะต้องไม่รู้สึกชอบไอซ์ไวน์อื่นๆ อีกแน่นอน”

ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจว่า “ลินดาท้องอยู่ นายยังให้เธอดื่มเหล้าอีกเหรอ?”

บิลลี่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน พูดว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเหรอ? ดื่มไวน์องุ่นเล็กน้อยมีประโยชน์กับร่างกายและอารมณ์นะ ดังนั้นทำไมจะไม่ดื่มล่ะ? ปกติตอนที่ฉันกับลินดากินมื้อเย็นกันที่บ้าน ก็จะดื่มกันคนละนิดนะ”

ฉินสือโอวยักไหล่ สภาพแวดล้อมต่างกันธรรมเนียมก็ต่างกัน เห็นทีว่าเขาจะเข้มงวดกับวินนี่ที่กำลังท้องอยู่มากเกินไปเสียแล้ว เดี๋ยวรอเธอคลอดลูกเสร็จจะต้องบำรุงเสียหน่อย

ร้านอาหารของคุณลุงได้ทำการตกแต่งใหม่เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ตอนแรกมีห้องโถงใหญ่แค่ห้องเดียว ตอนนี้ได้ถูกกั้นแบ่งเป็นสี่ห้องเล็กแล้ว พอรวมกับห้องวีไอพีซึ่งก็คือห้องอาหารสวนดอกไม้ที่เพิ่งเปิดตัวไป ก็มีทั้งหมดห้าห้องพอดี

ในจำนวนนั้น ห้องเล็กๆ สี่ห้องได้ถูกตั้งชื่อว่าห้องพบเพื่อนเก่าในแดนไกล ห้องสอบได้ตำแหน่ง ห้องเรือนหอ ห้องสมหวังปรารถนา เป็นการตั้งชื่อโดยใช้ความสุขทั้งสี่ในชีวิตมนุษย์ของวัฒนธรรมจีนมาตั้ง ให้ความรู้สึกที่แตกต่างมาก ส่วนชื่อของห้องสวนดอกไม้ ก็คือร่ำรวยดั่งดอกไม้บาน ซึ่งก็เข้ากับบรรยากาศอย่างที่สุด

ตอนที่พวกของฉินสือโอวถึงร้านเป็นเวลาทานอาหารพอดี คุณลุงกำลังยุ่งอยู่กับการไม่รับไม่รับอยู่ ห้องทั้งสี่ห้องคนเต็มแล้ว มีแต่ห้องสวนดอกไม้เท่านั้นที่ว่างอยู่ เพราะว่าการจะเข้าใช้งานห้องสวนดอกไม้มีเงื่อนไขกำหนดอยู่ คนที่มีคุณสมบัติตรงตามนั้นมีไม่มาก แต่แน่นอน ฉินสือโอวมีคุณสมบัติครบอยู่แล้วจึงสามารถพาคนเข้าไปได้เลย

สวนดอกไม้ได้ใช้กระจกกั้นไว้ก่อนชั่วคราว คุณลุงเห็นพวกเขามาถึงก็รีบไปล้างมือแล้วมาดูแลพวกเขา ตอนที่แนะนำสวนดอกไม้เขาได้พูดอย่างภูมิใจว่า “นี่เป็นไอเดียของฉันเอง ฤดูหนาวใช้กระจกมากั้นไว้เพื่อรักษาความอบอุ่น ฤดูร้อนค่อยรื้อกระจกพวกนี้ออกแล้วตั้งค้างแทน ให้พวกเถาวัลย์กับดอกไม้ต้นหญ้าอะไรพวกนั้นเลื้อยขึ้นไปเพื่อบังแดดให้ เป็นอย่างไรบ้าง? เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยใช่ไหม?”

ฉินสือโอวมองดูดอกไม้สดมีชีวิตชีวาที่อยู่รอบๆแล้วก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนครับ อยู่ท่ามกลางดงดอกไม้สด อย่างไรก็ทำให้คนมีความสุขอยู่แล้ว”

เบลคพูดว่า “คุณลุง แต่การที่คุณทำการดัดแปลงร้านอาหารแบบนี้ ดูเหมือนจะทำให้รับลูกค้าได้น้อยลงนะครับ”

ตาแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำอย่างไรได้ พ่อหนุ่ม ฉันจำต้องจำนนกับความแก่ล่ะนะ ลูกค้าที่มากเกินไปทำให้ฉันยุ่งมากไปด้วย ทำให้ไม่สามารถดื่มด่ำกับฝีมือการทำอาหาร และก็ไม่สามารถดื่มด่ำกับชีวิตได้ด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ฉันเปิดร้านอาหารนี้ไว้แล้วจะมีความหมายอะไรล่ะ?”

“คุณสามารถจ้างพนักงานมาช่วยแบ่งเบาภาระคุณได้นี่ครับ” เบลคพูดอย่างสมเหตุสมผล

ฉินสือโอวส่ายหัว พูดว่า “ไม่ๆๆ นายไม่เข้าใจหลักการการใช้ชีวิตของคุณลุง นายคิดว่าคุณลุงแกยังขาดเงินอยู่เหรอ? เงินของเขาพอใช้แล้ว ที่มาเปิดห้องอาหาร ก็แค่อยากลิ้มรสกับความรู้สึกที่ได้คุมทุกอย่างที่นี่เท่านั้น อีกอย่างถ้าจ้างคนขึ้นมาจริงๆ งั้นเขาก็ไม่สามารถลิ้มรสความรู้สึกแบบนี้ได้แล้ว”

ฮิคสันหัวเราะร่าฮ่าๆ ตบไหล่ของฉินสือโอวแล้วพูดว่า “ที่ฉินพูดมาไม่ผิดเลย ช่างเป็นหนุ่มน้อยที่รู้ใจคนแก่เสียจริง”

ฉินสือโอวก็หัวเราะด้วย แต่ก็รู้สึกพูดไม่ออกในใจ คุณลุงแก่แล้วน่า ความจำไม่ไหวแล้ว คำพูดพวกนี้ความจริงก็เป็นแกนั่นแหละที่เป็นคนมาบอกตัวเองน่ะ

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท