ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1822 ยุ่งกับการสวัสดีปีใหม่

บทที่ 1822 ยุ่งกับการสวัสดีปีใหม่

ท่าทีที่เกรี้ยวกราดของฉินสือโอว ได้สยบเหล่าวัยรุ่นไปอย่างสมบูรณ์ พวกพาวลิสต่างก็โตเป็นเด็กโตกันแล้ว กอร์ดอนที่สูงที่สุดในนั้นมีความสูงพอๆ กับฉินสือโอว แต่ว่าตอนนี้พลังของทั้งสองฝ่ายนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน ท่านชายฉินก็คือผู้ตรวจการณ์ที่ดุดัน ส่วนพวกวัยรุ่นนั้นกลับเป็นแค่ลูกแกะตัวน้อยเท่านั้น

เหล่าวัยรุ่นกลัวจนยืนตัวสั่นกันอยู่บนสนามหญ้า ฉินสือโอวกัดฟันแล้วชี้ไปที่บ้านพัก ตะคอกว่า “ไม่ได้ยินเหรอไง? เข้าไป อาบน้ำ เก็บของ พรุ่งนี้ออกไป!”

พวกเสี่ยวชาร์คและคราเคนน้อยพอเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว ก็รีบก้มหน้าเดินจากไป ส่วนวัยรุ่นทั้งสี่ก็พากันทำหน้าเศร้า มิเชลที่นิสัยขี้อายยิ่งแล้วใหญ่ถึงขั้นเริ่มสะอื้นออกมาเลย ส่วนเถียนกวาที่ตามอยู่ข้างหลังเพื่อดูเรื่องสนุกนั้น ได้เบะปากแล้วร้องไห้โฮออกมา

เชอร์ลี่ย์ที่มีควันดำเละเทะเต็มใบหน้าได้รูปของเธอได้เดินเข้าไปอย่างนอบน้อมพูดว่า “ฉิน คุณอย่าโกรธเลย พลุที่พวกเราใช้ล้วนเป็นแบบเล็ก ไม่ทำให้พวกเราบาดเจ็บหรอกค่ะ”

ฉินสือโอวตะคอกกลับว่า “ของพวกนี้พวกเธอสามารถเอามาเล่นได้เหรอ? ทำไมไม่ไปห้องใต้ดินเอาปืนออกมายิงกันล่ะ? ที่นี่พวกเรามีปืนกลด้วยกระบอกหนึ่งนะ ให้ฉันไปเอามาให้พวกเธอไหม?”

เชอร์ลี่ย์หน้าสลด พูดอึกอักว่า “พวกเราสำนึกผิดแล้ว ฉิน พวกเราสำนึกผิดแล้ว…”

ฉินสือโอวพูดแทรกเธอ ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างว่า “สำนึกผิดแล้ว งั้นก็รับการลงโทษ กลับไปเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้กลับโรงเรียนก่อนเวลา ฉันจะติดต่อทางโรงเรียนให้เปิดหอพักให้พวกเธอเอง”

“ไม่ๆ อย่าไล่พวกเรา ฉิน คุณอย่าไล่พวกเราไปเลย” ตาคู่สวยของเชอร์ลี่ย์ก็เริ่มคลอไปด้วยน้ำตา ขอบตาแดงกล่ำ หยดน้ำตาสีใสได้ไหลอาบลงมา

พ่อกับแม่ของฉินสือโอวเข้ามาช่วยพูดให้เหล่าวัยรุ่น แม้ว่าเด็กพวกนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับพวกเขา แต่ว่าปกติพวกเขาว่านอนสอนง่ายมาก แม้จะเป็นกอร์ดอนที่ซุกซนพออยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วก็กลายเป็นเด็กเรียบร้อยไปเลย ดังนั้นจึงผูกพันธ์กันมาก ครั้งนี้เมื่อเห็นพวกวัยรุ่นถูกดุแล้วพวกเขาจึงออกมาผ่อนบรรยากาศให้คลายลง

“ช่างเถอะ เสี่ยวโอว เด็กๆ เล่นซนกันเอง ปีใหม่ก็เป็นแบบนี้แหละไม่ใช่เหรอ? ครึกครื้นกันแบบนี้ดีออก ไม่มีคนเกิดอุบัติเหตุก็พอแล้วนี่นา” แม่ของฉินสือโอวเข้ามาเช็ดน้ำตาให้เชอร์ลี่ย์

พ่อของฉินสือโอวก็พูดว่า “วันปีใหม่ทั้งที อย่าทะเลาะกันเลย ดูสินี่ยังเหลือบรรยากาศของปีใหม่อยู่อีกเหรอ? พอแล้วๆ พวกเด็กๆ ก็ไม่ต้องร้องไห้แล้ว กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ จากนั้นก็มากินข้าวปีใหม่กัน ยังไม่ได้กินเกี๊ยวน้ำกันเลยนะ ไปเถอะ ปู่กับย่าห่อเกี๊ยวน้ำไส้ผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะกับเนื้อวัวที่พวกหนูชอบกินที่สุดให้ด้วยนะ”

ฉินสือโอวพูดอย่างโกรธเคืองว่า “อย่าตามใจพวกเขา ตอนนี้พวกเขาก่อเรื่องโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลย พลุกับประทัดสามารถเอามาเล่นไปเรื่อยได้เหรอ?”

“ตอนลูกเด็กๆ เล่นน้อยซะที่ไหน?” แม่ของฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจ

วินนี่ออกมาอุ้มเถียนกวาไว้ในอก พูดว่า “ซองแดงปีใหม่ต้องส่งมาให้หมด เปิดเทอมเดือนแรกไม่มีเงินค่าขนม แต่ว่าจะไม่ไล่พวกเธอกลับโรงเรียน ยังไม่รีบไปเปลี่ยนเสื้ออาบน้ำอีกเหรอ?”

แม้ว่าทั้งพ่อแม่ฉินสือโอวกับวินนี่ต่างก็ออกปากแล้ว แต่เหล่าวัยรุ่นก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ยังคงอยู่รวมกันราวกับลูกหมาที่ทำผิดอย่างไรอย่างนั้น ต่างมองไปที่ฉินสือโอวด้วยหน้าตาน่าสงสาร

ฉินสือโอวฮึ่มออกมาทีหนึ่ง พูดว่า “พี่สาววินนี่ของพวกเธอกำลังท้องอยู่ ฉันไม่อยากให้เขาต้องโกรธและเสียใจกับเรื่องของพวกเธอ ครั้งนี้ถือว่าเห็นแก่หน้าเขา…”

“เห็นแก่หน้าพ่อกับแม่ต่างหาก” วินนี่พูดแก้ให้เขา

ฉินสือโอวหันไปมองสีหน้าของพ่อแม่ ในใจแอบพูดว่าแย่แล้ว สีหน้าของพ่อกับแม่ไม่น่าดูเลยจริงๆ พี่สาวของฉินสือโอวส่ายหัวอยู่ตรงหน้าต่าง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “มีเมียแล้วก็ลืมแม่อ่ะนะ เสี่ยวฮุย ต่อไปลูกอย่าเป็นเหมือนน้าของลูกนะ”

เสียงที่ก้องกังวานของเสี่ยวฮุยดังขึ้นมา “แม่ครับ วางใจได้ ผมกตัญญูที่สุดแล้ว ผมไม่มีวันลืมแม่กับพ่อแน่นอน”

ฉินสือโอวหมดคำจะพูด ตอนแรกเขากะจะสั่งสอนเด็กพวกนี้ พวกเขาเล่นกันเลยเถิดเกินไป คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นตัวเองที่โดนสั่งสอนแทน แถมยังถูกยกให้เป็นแบบอย่างไม่ดีอีก แต่ว่าเพราะมีเรื่องนี้มาผ่อน ทำให้บรรยากาศคลายลงได้เยอะเลย

เมื่อกี้เขาโกรธจริงๆ คืนวันสิ้นปีเอาพลุมาเล่นโลดโผนกันแบบนี้ หากว่าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร? วันปีใหม่แท้ๆ กลับต้องส่งคนเข้าโรงพยาบาล เป็นเรื่องที่ไม่มงคลขนาดไหน! แต่ว่าตอนนี้พอพวกวัยรุ่นไม่เป็นอะไรกัน อารมณ์โกรธในใจก็เริ่มหายไปนิดหน่อย พ่อแม่กับวินนี่เป็นตำรวจดีเขาเป็นตำรวจเลว สั่งสอนพวกวัยรุ่นไปพอประมาณแล้ว

หลังจากบรรยากาศคลายลงแล้ว ข้าวปีใหม่ก็ยังต้องกินตามเดิม เหล่าวัยรุ่นลงมาแล้วก็ไม่กล้าส่งเสียง ล้วนพากันกินอาหารกันอย่างเงียบๆ หลังจากกินอิ่มดื่มพอแล้วก็ไปดูรายการฉลองคืนวันตรุษจีนกัน ถ้าหากรายการฉลองคืนวันตรุษจีนน่าสนใจหน่อย พวกเขายังสามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้บ้าง แต่รายการฉลองคืนตรุษจีนของปีนี้แย่เกินไป พอดูไปสักพักแล้วพวกเขาก็ยอมนั่งเหม่อกับอาหารบนโต๊ะอาหาร ไม่ยอมไปดูโทรทัศน์เลย

ดีที่ในบ้านมีเด็กเล็ก ผ่านไปสักพักเถียนกวาก็ลืมการดุด่าเมื่อกี้ไปแล้ว จึงดึงมือของเสี่ยวฮุยแอบออกไปหยิบพลุมาเล่นกันต่อ พอถึงตอนเที่ยงคืน บูลกับแอนนี่ก็พาเด็กอ้วนบ้านเขามาสวัสดีปีใหม่กับฉินสือโอว พอมีเด็กเพิ่มเข้ามาอีกคนแบบนี้ ทำให้ยิ่งสนุกสนานไปใหญ่

เด็กอ้วนอายุมากกว่าเถียนกวานิดหน่อย แต่ความสูงกลับสูงน้อยกว่านิดหนึ่ง ตัวเขาอ้วนมาก บวกกับเป็นฤดูหนาวใส่เสื้อหนามาก ทำให้ยิ่งดูบวมเข้าไปใหญ่ ตอนที่เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อแม่ ท่าทีอืดอาดนั้นราวกับแพนด้าน้อยอย่างไรอย่างนั้น

“บอส สวัสดีปีใหม่ครับ นายหญิง สวัสดีปีใหม่ครับ คุณลุงคุณน้า สวัสดีปีใหม่…ซินเจียยู่อี้ ซินนี้ฮวดไช่ครับ!” หลังจากบูลเข้ามาในบ้านแล้วก็ประสานมือคำนับทักทายอย่างกระตือรือร้น ทักทายทีละคน แถมยังเตรียมซองแดงให้กับเถียนกวา เสี่ยวฮุยกับพวกวัยรุ่นอีกด้วย ดูจากซองแดงที่แน่นตุงแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้างในต้องมีของไม่น้อยเลย

“ซินเจียยู่อี๋ ซินนี้ฮวดไช้!” วินนี่พูดพร้อมหัวเราะ เธอนำซองแดงที่เตรียมไว้ให้กับเด็กอ้วน เด็กอ้วนรู้ถึงประโยชน์ของเงินแล้ว พอได้ซองแดงมาก็รีบยัดเข้าไปในกระเป๋าทันที

เถียนกวาเห็นเด็กอ้วนดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จึงมือหนึ่งลากเขาอีกมือก็ชูประทัดแล้วตะโกนว่า “เร็ว บลูน้อย ออกไปเล่นด้วยกัน สนุกมากเลยนะ!”

เด็กอ้วนส่ายหัวราวกับลูกป๋องแป๋งที่สะบัดไปมา พูดว่า “ไม่ ฉันอยากได้ซองแดง คุณปู่กับคุณย่ามีซองแดง…”

“ออกมาเล่นกับฉัน เร็วๆ!” คิ้วของเถียนกวาเลิกขึ้นมาในทันใด ในดวงตาโตคู่นั้นก็เปี่ยมไปด้วยประกายรังสีอำมหิต

เด็กอ้วนจึงยอมจำนนในทันที แต่เขายังคงคาดหวังว่าจะได้ซองแดงอยู่ จึงมองไปที่พ่อแม่อย่างน้อยใจ บูลกับแอนนี่ทำทีว่ามองไม่เห็น เขาก็ใช้สีหน้าที่น้อยใจกว่าเดิมมองไปที่ฉินสือโอวกับวินนี่ บนใบหน้าอ้วนกลมนั้นได้ขมวดย่นไปหมดทุกจุด ราวกับหมาปั๊กที่โดนรังแกอย่างไรอย่างนั้น

ฉินสือโอวกับวินนี่ก็ทำทีว่ามองไม่เห็น ดังนั้นเขาจึงโดนเถียนกวาลากออกไปทั้งอย่างนี้ แต่ทว่าหลังจากที่สัมผัสกับความสนุกของดอกไม้ไฟแล้ว เขาก็ถูกเสน่ห์ของดอกไม้ไฟพิชิตใจไปอย่างรวดเร็ว

สำหรับฟาร์มปลาแล้ว คืนวันจ่ายก็คือคืนไม่นอน แม้ว่าพวกทหารใหญ่อย่างพวกของเกิง จุนเจี๋ยจะกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กันแล้ว แต่ว่าเพราะมีฉินสือโอว ทำให้เหล่าชาวประมงในฟาร์มปลามาร่วมฉลองวันตรุษจีนด้วย แถมพวกเขายังรู้สึกดีกับเทศกาลนี้มากอีกด้วย ในเทศกาลนี้ ฉินสือโอวจะให้พวกเขาหยุดงาน เป็นการหยุดงานที่ได้เงินด้วย

เพราะรู้จักธรรมเนียมของเทศกาลวันตรุษจีนเป็นอย่างดี เหล่าชาวประมงกับเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกันจากในเมืองต่างพากันมาสวัสดีปีใหม่กับพวกเขา ยิ่งโทรศัพท์ของฉินสือโอวยิ่งไม่มีช่วงเงียบเลย อย่างเช่นคู่สามีภรรยาบรูซ พ่อลูกตระกูลสเตราส์กับพวกหุ้นส่วนธุรกิจทั้งหลายก็ล้วนโทรศัพท์มาสวัสดีปีใหม่กับเขากันทั้งนั้น

พอถึงเช้าวันที่สอง ยิ่งยุ่งเข้าไปอีก เพราะพวกบิลลี่กับเบลคมาสวัสดีปีใหม่กับเขาถึงบ้านเลย

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท