ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1826 ทำใหญ่หน่อย

บทที่ 1826 ทำใหญ่หน่อย

ฉินสือโอวเข้าไปหิ้วเถียนกวาขึ้นมาแล้วตีไปที่ก้นเธอหลายที สอนเธอว่าห้ามเอาเรื่องอันตรายแบบนี้มาเล่นพิเรนท์เด็ดขาด กับเขาแน่นอนว่าไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากว่าคนที่เถียนกวาโยนประทัดใส่เมื่อกี้เป็นเด็กอ้วนแล้วล่ะก็ เห็นทีตอนนี้คงจะปล่อยโฮดังก้องไปทั่วแล้ว

ตาดวงโตของเถียนกวาขยับไปมา คุณพ่อไม่ให้เธอเล่นพิเรนท์แบบนี้กับคน งั้นเธอไปเล่นกับหู่จือกับเป้าจือแล้วกัน

เมื่อเป็นแบบนี้หู่จือกับเป้าจือก็โชคร้ายแล้วล่ะ สมองน้อยๆ อันชาญฉลาดของพวกมันแยกประทัดสองแบบนี้ไม่ออก ตอนแรกเถียนกวาโยนประทัดแบบหน่วงเวลาไปให้พวกมันก่อน พวกมันเลือกที่จะวิ่งหนีอย่างหลักแหลม แต่หลังจากนั้นเมื่อพวกมันเห็นว่าไม่ระเบิดออก ดังนั้นพอเถียนกวาเข้าไปเก็บขึ้นมาแล้วโยนไปข้างตัวพวกมันอีกครั้ง พวกมันจึงไม่วิ่งหนี

แต่ว่า ไม่นานประทัดก็ระเบิดออก แลบราดอร์ตกใจสุดขีด หางจุกตูดแล้วก็เริ่มส่งเสียงร้องอู๊วๆ ออกมา

แลบราดอร์กล้าหาญมาก แต่ว่าการที่สัตว์จะกลัวเสียงปืนกับเสียงประทัดนั้นเป็นธรรมชาติของสัตว์อยู่แล้ว ฉินสือโอวคิดว่านี่น่าจะเป็นผลพวงมาจากสมัยก่อนที่เหล่านายพรานมักใช้ปืนในการล่าสัตว์ พวกสัตว์จึงถ่ายทอดการกลัวเสียงปืนผ่านไปทางสายเลือด จากนั้นก็สืบทอดกันมาเรื่อยๆ

เถียนกวาเล่นอยู่หลายครั้ง แลบราดอร์ถูกเธอแกล้งจนหมดหนทาง จึงเก็บหางแล้ววิ่งไปหาฉินสือโอวเพื่ออ้อนวอน ฉินสือโอวโกรธจัดมาก เขาใช้สายตาขู่เถียนกวา จึงสามารถช่วยหู่จือกับเป้าจือไว้ได้

เล่นมาเป็นเวลากว่าครึ่งค่อนวัน พลุดอกไม้ไฟทั้งหมดก็เล่นไปพอประมาณแล้ว ปลาสเมลท์ในกล่องเก็บความเย็นได้เพิ่มขึ้นมาเป็นหกสิบกว่าตัว แถมในนั้นยังมีปลากะพงตัวเล็กตัวหนึ่งอีกด้วย ความจริงเจ้าตัวนี้กะว่าจะมาจับปลาสเมลท์กิน แต่เพราะถูกระเบิดน้ำหลายลูกระเบิดออกข้างๆ ทำให้มันมึนไปเลย….

หลังจากกลับถึงบ้านพัก เถียนกวาเอาปลาสเมลท์พวกนี้โชว์ให้แม่ของฉินสือโอวดู เพื่อให้ท่านทอดให้กิน

แม่ของฉินสือโอวหุบยิ้มไม่ลงเลย พูดย้ำๆ อยู่ตลอดว่าหลานสาวเก่งจริงๆ ตัวเล็กแค่นี้ก็จับปลาเป็นแล้ว พ่อของฉินสือโอวชะงักไปนิดหนึ่ง พูดว่า “อีกหน่อยเถียนกวาคงไม่ได้ฝึกเป็นชาวประมงเหมือนเสี่ยวโอวหรอกใช่ไหม?”

แม่ของฉินสือโอวจ้องตาเขม็ง พูดว่า “เป็นชาวประมงแล้วอย่างไร? น่าอายเหรอ? งานดีออกขนาดนี้ แถมอีกหน่อยถ้าไม่เอาฟาร์มปลาให้เถียนกวาแล้วจะให้ใคร?”

พ่อของฉินสือโอวพูดพึมพำว่า “ถ้าหลานสาวเป็นชาวประมงแล้ว จะหาคู่ชีวิตได้ยาก ยัยแก่จอมทึ่มนี่ ไม่คุยกับเธอแล้ว แต่ว่าเป็นชาวประมงก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเครียดเรื่องหาเงิน”

คุยไปคุยมาสรุปได้ว่า คุณปู่แกกังวลว่าฟาร์มปลาจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น

แม่ของฉินสือโอวอุ้มเถียนกวาขึ้นมา จุ๊บไปที่แก้มตุ่ยๆ สีชมพูทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างภูมิใจว่า “ดูสิหลานสาวของฉันสวยขนาดไหน สวยๆ อย่างนี้จะหาคู่ไม่ได้เหรอ? เป็นไปไม่ได้ ต่อไปหลานสาวของฉันจะต้องแต่งกับเจ้าชายอังกฤษอะไรนั่นแน่!”

จริงตามนั้น ยัยตัวเล็กสืบทอดหน้าตาของวินนี่มา มีแค่ตอนแรกเกิดเท่านั้นที่น่าเกลียดมาก แต่ตอนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งสวย เผยจุดเด่นของลูกครึ่งออกมาให้เห็น คิ้วโก่งได้รูป ตาโตสว่างใส หน้าตาได้รูป ผิวพรรณอ่อนนุ่ม เหมือนกับตุ๊กตาเซรามิกอย่างไรอย่างนั้น

แม้ว่าเถียนกวาจะอายุน้อย แต่ก็พอรู้เรื่องบ้างแล้ว เธอส่ายหัวพูดว่า “ไม่เอา ไม่เอาเจ้าชาย กวากวาไม่เอาเจ้าชาย”

แม่ของฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ พูดว่า “แล้วหนูจะเอาใครคะ? จะอยู่กับป่าป๊าหม่าม๊าตลอดชีวิตเหรอ?”

เถียนกวาหันหัวมองไปรอบด้าน ชี้ไปที่บลูน้อยที่น้ำมูกไหลอยู่แล้วพูดว่า “บลูน้อยแล้วกัน บลูน้อยสนุกกว่าเจ้าชาย แถมหนูยังแกล้งบลูน้อยได้ด้วย ใช่ไหมคะ?”

บลูน้อยกลับกลัวขึ้นมา เขาส่ายหัวอย่างแรง พูดว่า “ฉันไม่ๆๆ งั้นฉันจะเอาเจ้าชาย ฉันไม่อยู่กับเธอ เธอชอบตีฉันตลอดเลย”

พูดจบ เด็กอ้วนก็เสียงเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเถียนกวาได้ประทับแผลในใจให้เขาไว้มากแค่ไหนเลย

คำตอบนี้ทำให้เถียนกวาโมโหสุดขีด เธอเตะขาไปมาเพื่อให้แม่ของฉินสือโอวปล่อยเธอลงเพื่อจะไปตีบลูน้อย บลูน้อยเห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงสะบัดแขนวิ่งตุบๆ หนีไป

ผ่านไปสักพัก หัวกลมอ้วนของบลูน้อยก็โผล่ออกมาจากนอกประตู แล้วมองดูเถียนกวาอย่างหวาดกลัว

ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “เป็นอะไรไป บลูน้อย นี่คือหนูทิ้งเถียนกวาไม่ลงเหรอ?”

บลูน้อยสูดน้ำมูกที่ไหลออกมา พูดเสียงอ่อนว่า “ไม่ใช่ครับ คุณน้า ผมเสียดายปลาพวกนั้น ปลาทอดของคุณย่าอร่อย”

คนทั้งบ้าน “…”

ฉินสือโอวลูบหัวของเถียนกวา พูดว่า “กวากวาเอ้ย ต่อไปหนูต้องรักตัวเองนะ อย่าได้ไปเล่นกับคนประเภทนี้อีกเลย ดูสิน่าขายหน้าแค่ไหน”

ปลาทอดของแม่ของฉินสือโอวนั้นคือที่สุดของที่สุดแล้ว ปลาสเมลท์ทอดยิ่งอร่อยกว่า เรื่องนี้จะว่าบลูน้อยเห็นแก่กินก็คงไม่ได้ แต่ก็แน่นอน เด็กคนนี้ก็เห็นแก่กินจริงๆ ฉินสือโอวทำการถ่ายวีดีโอฉากเมื่อกี้ไว้ อีกหน่อยพอพวกเด็กๆ โตแล้วเอามาเปิดให้พวกเขาดูจะต้องมีความหมายมากแน่นอน

การทอดปลาสเมลท์ง่ายที่สุด นำปลาทั้งตัวไปทอดในน้ำมันก็ได้แล้ว แต่ว่าแม่ของฉินสือโอวตัดหัวปลาออกด้วย เพราะหัวปลาแข็งเกินไปกลัวว่าจะไปติดคอเด็กสองคนนี้ เถียนกวากับเด็กอ้วนยังเด็กเกินไป

ดีที่ในบ้านมีแป้งข้าวเหนือเหลือมาจากตอนวันเทศกาลบัวลอยอยู่ เธอจึงเอามาผสมกับไข่ไก่และน้ำเชื่อมเมเปิล นำปลาสเมลท์มาคลุกกับไข่ไก่และแป้งก่อนทีหนึ่งแล้วค่อยไปทอดในกระทะ รอจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วค่อยตักขึ้นมา

แม่ของฉินสือโอวนำปลาสเมลท์มาแบ่งเป็นสามถ้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็เอาปลาสองตัวออกจากสองถ้วยมาใส่ไว้ในอีกถ้วยแทน

ฉินสือโอวนึกว่าเธอจะเอาถ้วยที่มีปลามากกว่าให้กับเสี่ยวฮุยหรือไม่ก็เถียนกวา อย่างไรเสียเสี่ยวฮุยก็อายุมากกว่าส่วนเถียนกวาก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเธอ แต่สุดท้ายเธอกลับเอาให้เด็กอ้วน พูดว่า “ให้ลูกคนอื่นกินเยอะหน่อย จะให้คนอื่นมาว่าไม่ได้ ว่าคนในครอบครัวของบอสน่ะใจดิบใจดำ”

เขาเข้าไปกอดแม่ไว้ ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วพูดว่า “แม่ แม่เป็นคนดีจัง”

แม่ของฉินสือโอวมองค้อนเขาไปทีหนึ่งพูดว่า “เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้น่า”

ฉินสือโอว “…”

เสี่ยวฮุยนำถ้วยที่มีปลาเยอะที่สุดวางไว้ตรงหน้าบลูน้อย พูดหยอกเขาว่า “บลูน้อย ถ้านายกินปลาถ้วยนี้ไปแล้ว จะต้องออกห่างจากเถียนกวา ห้ามแต่งกับเธอนะรู้ไหม?”

เด็กอ้วนมองดูเขาด้วยความตื่นเต้นแล้วถามว่า “มีเรื่องดีแบบนี้ด้วยเหรอ? โอ้พระเจ้า!”

เถียนกวาตาเขม็งอยากจะเข้าไปตีเขา แต่ว่าแม่ของฉินสือโอวยัดปลาทอดให้เธอชิ้นหนึ่ง พอเธอกินไปคำหนึ่งแล้ว ก็หน้าตาเบิกบานในทันที นั่งลงบนเก้าอี้เล็กแล้วกินปลาทอดอย่างมีความสุข

เด็กอ้วนกินได้ดูอร่อยกว่ามาก ปลาแทบทุกตัวที่เขากินเข้าไปในพอเข้าปากแล้วก็ถูกกลืนลงไปเลย ฉินสือโอวกลัวว่าเขาจะติดคอ ให้เขาค่อยๆ กิน

ปลาสเมลท์ในฤดูนี้มีไข่ปลาเยอะที่สุด เนื้อก็นุ่ม แต่ว่าจะไม่อ้วนเท่ากับช่วงต้นฤดูร้อน แต่แน่นอนว่าตอนกินรสชาติก็ยังยอดเยี่ยมอยู่

ความสำเร็จที่มาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองนั้นหอมหวานที่สุด วันที่สอง เสี่ยวฮุยก็พาน้องชายน้องสาวไประเบิดปลากันอีกแล้ว ฉินสือโอวไม่ห้ามพวกเขาไม่ได้ ตรงปากทางเข้าทะเลเป็นจุดที่เต่าบึงจุดอาศัยอยู่ นั่นน่ะเป็นสัตว์สงวนระดับประเทศเลยนะ อย่าไปยุ่มย่ามกับพวกมันดีกว่า

ตอนปลายเดือนกุมภาพันธ์ วินนี่ได้อ่านเอกสารฉบับหนึ่ง แล้วพูดอย่างปวดหัวว่าทางรัฐบาลนิวฟันด์แลนด์ได้ออกคำสั่งให้ทุกๆ อ่างเก็บน้ำและทะเลสาบของแต่ละพื้นที่จัดกิจกรรมล่าปลาคาร์ฟเอเชียกันในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เพราะว่าฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูผสมพันธุ์ของปลาคาร์ฟเอเชีย ดังนั้นจึงต้องฆ่าปลาตัวเล็กให้ตาย

วินนี่พูดอย่างหมดทางเลือกว่า “ปลาคาร์ฟเอเชียพวกนี้เก่งกาจเกินไปแล้ว ในฤดูหนาวเดียวนี้ไม่รู้ว่าขยายพันธุ์กันไปถึงไหน ฉันเห็นด้วยกับแผนการของทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนะคะ แต่ว่าทะเลสาบเฉินเป่าล้วนแข็งเป็นน้ำแข็งกันหมด จะไปล่าปลาคาร์ฟเอเชียอย่างไรล่ะ? จะให้ซื้อเรือตัดน้ำแข็งที่ราคาสูงก็ไม่ใช่เรื่องหรือเปล่าคะ?”

รัฐบาลแคนาดาให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการทำงาน เมื่อมีคำสั่งออกมาแล้วก็จำเป็นต้องทำตาม

ฉินสือโอวนึกถึงเรื่องที่พวกเถียนกวาใช้ประทัดระเบิดปลาตรงริมแม่น้ำขึ้นมา จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องใช้เรือตัดน้ำแข็งหรอก? ใช้ระเบิดน้ำไประเบิดสิ! ระเบิดปลาได้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”

วินนี่ยิ้มทีหนึ่ง ชี้ไปที่กล่องดอกไม้ไฟแล้วพูดว่า “ใช้อันนี้เหรอคะ?”

ฉินสือโอวพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่หรอก ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ ทำใหญ่นิดหนึ่ง ใช้ดินระเบิดที่ใช้สำหรับในน้ำไปเลย เอาไประเบิดปลา!”

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท