ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1825 ระเบิดปลาริมแม่น้ำ

บทที่ 1825 ระเบิดปลาริมแม่น้ำ

พวกบิลลี่มาอยู่ที่ฟาร์มปลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ จึงค่อยทยอยกลับกัน แบรนดอนแม้ว่าจะมาเพื่อพักร้อน แต่ระยะเวลาพักร้อนของเขากลับสั้นที่สุดเลย แค่สามวันเท่านั้น จากนั้นก็ต้องรีบไปสะสางงานของบริษัทมอนทรีออลแล้ว หลายวันมานี้แบรนดอนบ่นไม่พอใจอยู่ตลอด บอกว่าการที่เศรษฐกิจไม่ดีทำให้งานต่างๆ ของธนาคารในฝั่งนี้ทำได้ยากมาก ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะตระกูลแล้วล่ะก็ เขาคงวางไม้หาบลงไม่ทำต่อแล้วไปฟอกเงินแทนแล้ว

สมบัติที่จมลงไปของเรือโจรสลัดขวานดำทำให้ทั้งสี่คนได้ลาภมาก้อนใหญ่ โดยเฉพาะฉินสือโอว เขาได้เงินส่วนแบ่งมากว่าสองร้ายกว่าล้าน ตอนนี้ถึงแม้พวกเขาไม่ทำงาน ทำแต่งานค้นหาและขุดหาสมบัติ ก็สามารถอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิตได้

หรือสามารถพูดได้ว่า งานของทั้งสามคนบิลลี่ เบลคและแบรนดอนในตอนนี้คือบริการให้กับการงมสมบัติที่จมลงไป พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินเดือนเลยแม้แต่น้อย เพราะเทียบกันแล้วปีละสองแสนกับสองร้อยล้านนั้นต่างกันมากเหลือเกิน

พอส่งบิลลี่กับเชนน่าที่อยู่ที่ฟาร์มปลานานที่สุดกลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็สังเกตเห็นเสี่ยวฮุย เถียนกวากับเด็กอ้วนเอาพลุดอกไม้ไฟออกไปจากห้องอย่างลับๆ ล่อๆ

ฉินสือโอวรู้สึกว่าท่าทางของพวกเขาแปลกๆ หรือจะพูดให้ชัดก็คือท่าทีของเด็กอ้วนแปลกมาก หน้าอวบอ้วนขมวดจนตึง ดวงตาสีดำนั้นก็มองล่อกแล่กไปมา แถมแขนทั้งสองข้างยังกอดหน้าอกไว้เสียแน่น แค่ดูก็รู้ว่าไม่ปกติ

“พวกหนูทำอะไร?” เขาถามอย่างแปลกใจ

เถียนกวาพูดอย่างหนักแน่นว่า “ออกไปเล่นไงคะ”

“เล่นอะไร?”

“เล่นไปเรื่อย” เถียนกวายังคงมีท่าทีหนักแน่นเหมือนกับตอนที่พาหู่จือเป้าจือออกไปเดินเล่นอย่างนั้น

ฉินสือโอวเกือบจะเชื่อแล้ว กระทั่งเขามองไปทางเด็กอ้วนแล้วถามว่า “บลูน้อย พวกหนูไปทำอะไรกัน? พูดความจริง ไม่อย่างนั้นพอพ่อหนูกลับมาจะไม่ให้หนูกินข้าวนะ!”

หน้าตาของเด็กอ้วนขมวดมารวมกันในทันใด ตะโกนออกมาด้วยเสียงราวกับจะร้องไห้ว่า “อย่าอดอาหารๆๆ! ฉันไม่อยากไประเบิดปลาแล้ว เถียนกวา พวกเราไม่ไประเบิดปลาแล้วดีไหม? เธออย่าตีฉันเลยนะ ได้ไหม?”

เมื่อได้ฟังคำเขาแล้ว เสี่ยวฮุยกับเถียนกวาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เถียนกวาใช้สายตาที่ผิดหวังจ้องไปที่เด็กอ้วน ยกมือน้อยๆ ขึ้นมาแล้วจ้องเขาเขม็ง เด็กอ้วนกลัวเสียจนยกมือขึ้นมาปิดหน้า แต่พอปล่อยมือออกจากหน้าอกเท่านั้นแหละ พลุดอกไม้ไฟจำนวนหนึ่งก็หล่นลงมาจากเสื้อในทันที

ฉินสือโอวจ้องพวกเขา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ระเบิดปลาอะไร? เรื่องเป็นมาอย่างไร?”

เสี่ยวฮุยพูดเสียงอ่อนว่า “คุณน้า ไม่มีอะไรครับ พวกเราแค่จะจุดประทัดเสร็จแล้วก็โยนลงไปในน้ำเท่านั้น ไม่ได้ระเบิดปลา ขึ้นมาไม่ได้หรอกครับ”

หัวของเถียนกวาพยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ ไม่รู้ว่าเป็นวินนี่หรือว่าแม่ของฉินสือโอวที่มัดผมแกะให้เธอ พอเธอพยักหน้าเท่านั้นผมแกะก็สะบัด ‘ตุบๆๆ’ ตาม ดูไปแล้วน่ารักมาก

พอเสี่ยวฮุยอธิบาย ฉินสือโอวก็เข้าใจทันที ตอนเด็กเขาก็เคยทำแบบนี้เหมือนกัน มีสายชนวนของประทัดบางชนิดที่แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ด้านนอกส่วนหนึ่งอยู่ด้านใน หลังจากจุดชนวนให้กับเส้นที่อยู่ด้านนอกแล้ว จะใช้เวลาสักพักในการติดไปถึงชนวนด้านใน พอโยนลงไปในน้ำแล้วก็จะมีเสียงดังเหมือนกัน พลังไม่รุนแรง แถมปลอดภัยกว่าด้วย

แต่ทว่าประทัดที่พวกเสี่ยวฮุยใช้เป็นชนิดที่ค่อนข้างพิเศษของทางนิวฟันด์แลนด์ มีชื่อว่าระเบิดน้ำ เจ้าตัวนี้กับพลุที่กล่าวไว้ข้างบนทำงานด้วยหลักการเดียวกัน แต่ว่าพลังที่ระเบิดในน้ำจะมากกว่านิดหน่อย หลังจากระเบิดแล้วใต้น้ำจะเกิดเป็นแสงวาบที่สวยงามออกมา

การเล่นแบบนี้ไม่มีอันตรายอะไร ฉินสือโอวจึงปัดมือให้พวกเขาไปเล่นได้ แต่เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน เขาจึงตามไปดูด้วย

เสี่ยวฮุย เถียนกวากับเด็กอ้วนไปที่จุดเชื่อมลำธารกับทะเลอย่างมีความสุข เถียนกวาชี้ไปที่น้ำทะเลที่ใสสะอาดแล้วพูดว่า “ดูสิ ปลาเยอะแยะเลย ปลากะมงพร้าว ระเบิดพวกมัน แล้วให้คุณย่าเอาไปทอดกิน”

เสี่ยวฮุยพูดแก้ว่า “นี่เรียกว่าปลาสเมลท์ ไม่ใช่ปลากะมงพร้าว”

เตือนไปทีหนึ่งว่า ‘ระวังเรื่องความปลอดภัย’ เสร็จ ฉินสือโอวก็หาที่นั่งพัก เอาที่แปรงขนมาแปรงให้กับหู่จือและเป้าจือ ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว แลบราดอร์เริ่มผลัดขนแล้ว พอดีเลยจะได้ดูแลเด็กไปพลางผลัดขนให้พวกมันไปพลาง

เสี่ยวฮุยพาเด็กแก่นทั้งสองคนไปหาจุดที่จะโยนระเบิดน้ำ เขาในตอนนี้ได้กลายเป็นหัวโจกไปแล้ว เถียนกวากับเด็กอ้วนล้วนฟังคำสั่งของเขา เรียกได้ว่าเป็นการเติมเต็มความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาได้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าสองพี่น้องนี้

เลือกจุดที่มีปลาสเมลท์มากที่สุด ซึ่งก็คือริมธารที่ระดับน้ำสูงไม่ถึงตาตุ่มคน แถมยังมีปลาสเมลท์มากมายอีกด้วย เพราะว่าพวกมันชอบอาศัยอยู่ริมโขดหิน ตรงริมฝั่งมีหินเยอะที่สุด แน่นอนว่าทำให้มีปลาไม่น้อยทีเดียว

เสี่ยวฮุยหยิบระเบิดน้ำออกมาอันหนึ่ง รูปร่างของมันเหมือนกับตอร์ปิโดมาก แต่ว่ามีความยาวเพียงแค่ห้าถึงหกเซนติเมตรเท่านั้น รูปร่างกลมใหญ่ ส่วนประกอบหลักข้างในเป็นของที่สามารถสร้างแสงวาบกับเสียงใต้น้ำได้ มีดินระเบิดน้อยมาก

จุดระเบิดน้ำโยนลงไปแถวริมฝั่ง เสี่ยวฮุยก็รีบถอยหลังกลับ เด็กอ้วนตกใจเสียจนเดินด้วยวิ่งด้วย แล้วก็ไปหลบอยู่หลังฉินสือโอว ความใจเสาะนั้นทำเอาท่านชายฉินที่มองดูอยู่อึ้งไปเลยทีเดียว

เถียนกวาไม่กลัว ถึงขั้นหมอบลงตรงริมธารเพื่อมองดูเลย ทีนี้ท่านชายฉินกลัวขึ้นมาแล้ว จึงชี้เถียนกวาให้กับหู่จือ หู่จือวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว กัดชายเสื้อขนเป็ดของเถียนกวาไว้แล้วลากเธอไปข้างหลัง

“ตู้ม!” เสียงโทนต่ำดังกึกก้องออกมา ผิวน้ำถูกระเบิดออกจนมีดอกคลื่นต่ำๆ กระเซ็นออกมา แม้ว่าจะเป็นตอนกลางวัน ก็สามารถมองเห็นแสงวาบสีแดง สีส้มที่แทรกอยู่ในคลื่นน้ำได้

พลังของระเบิดน้ำชนิดนี้ไม่สามารถทำอันตรายอะไรปลาได้ คลื่นเสียงก็ไม่สามารถระเบิดจนทำให้ปลามึนได้ด้วย แต่ว่าปลาสเมลท์เป็นพวกปลาขี้ตกใจ หลังจากถูกคลื่นเสียงและแสงวาบทำให้ตกใจแล้ว พวกมันก็รีบว่ายรีบหนีกันให้วุ่น และเพราะอยู่ใกล้ริมฝั่ง จึงมีปลาสเมลท์บางตัวที่กระโดดขึ้นมาบนฝั่ง

เสียงโห่ร้องดีใจดังขึ้น เสี่ยวฮุยพาพวกเด็กแก่นโยนปลาสเมลท์เข้าไปในกล่องเก็บปลา ปลาสเมลท์พวกนี้กระโดดดิ้นไปมา มีขนาดความยาวประมาณนิ้วก้อยของฉินสือโอว อวบอ้วนสมบูรณ์มาก พวกมันยังไม่ได้วางไข่ ในท้องมีจึงไข่ปลาอยู่เต็มไปหมด เอาไปทอดกินจะต้องอร่อยแน่นอน

ฉินสือโอวตกใจ เจ้าตัวเล็กพวกนี้สามารถเก็บเกี่ยวปลาได้จริงด้วย เขานึกว่าที่พวกเขามาระเบิดปลาก็เพียงเพื่ออยากจะดูน้ำกระเด็นเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะระเบิดจนได้ปลามาจริงๆ

พลุดอกไม้ไฟที่เจ้าตัวเล็กพวกนี้เอามาด้วยมีจำนวนไม่น้อย หลังจากโยนลงไปทีละอันๆแล้ว พวกเขาสามารถเก็บปลาสเมลท์ได้ถึงสามสี่สิบตัวเลย จากจุดนี้ทำให้รู้ได้ว่าทรัพยากรปลาของที่นี่นั้นสมบูรณ์ขนาดไหน

แต่พวกเด็กๆไม่พอใจกับการเก็บเกี่ยวที่ได้นี้ เด็กซนสามคนถือระเบิดน้ำกันคนละลูกยืนอยู่ริมธาร หลังจากจุดชนวนแล้วก็โยนไปที่จุดเดียวกัน หลังโยนระเบิดน้ำลงไปแล้วพวกเขาก็โยนประทัดหน่วงเวลาลงไปตามอีก แล้วค่อยวิ่งออกไป

ฉินสือโอวถูกดึงดูดเข้าให้แล้ว เขายืนมองดูตรงริมฝั่ง เถียนกวาจุดประทัดอันหนึ่งแล้วโยนไปทางเขา จากนั้นก็วิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ราวกับว่าแผนร้ายได้สำเร็จไปแล้วอย่างนั้น แถมยังมีใช้มืออุดหูไว้เพื่อรอดูเรื่องสนุกอีกด้วย

ท่านชายฉินเองก็หัวเราะเช่นกัน ช่างสมเป็นเด็กเสียจริง ประทัดต้องใช้เวลาสิบกว่าวินาทีจึงจะระเบิดออก เขาใช้รองเท้ากดไปที่ด้านหน้าของประทัดอย่างแรง พอทำแบบนี้แล้วชนวนด้านในที่เพิ่งติดไฟก็จะดับลง ทำให้ไม่ระเบิดออกเป็นธรรมดา

ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มร้ายกาจที่อยู่บนหน้าของเถียนกวาก็ได้หายไป เธอมองไปที่คุณพ่อด้วยความอึ้งบวกทำอะไรไม่ถูก

ในตอนนี้ได้มีเสียงระเบิดดังติดๆ กันออกมาจากในน้ำ ระเบิดน้ำสามอันระเบิดออกพร้อมกัน น้ำที่กระเซ็นออกมามีความสูงกว่าครึ่งหนึ่งของความสูงคน ถือว่าพลังไม่น้อยแล้ว

ปลาสเมลท์รอบๆ พากันตกใจกันสุดขีด ปลาหลายสิบตัวพากันกระโดดขึ้นผิวน้ำตามๆกัน มีจำนวนหนึ่งหล่นไปบนฝั่ง มีปลาตัวหนึ่งถึงขั้นหล่นไปโดนตัวฉินสือโอวด้วย

เสี่ยวฮุยกับเด็กอ้วนไปเก็บปลาสเมลท์กันอย่างดีใจ เถียนกวาจุดประทัดขึ้นมาอีกอันหนึ่งโยนไปข้างหน้าฉินสือโอว ฉินสือโอวไหวตัวทันรีบยื่นขาออกไปเหยียบ แต่สุดท้ายพอเหยียบไปเท่านั้นก็ระเบิดออกทันที

แผนการร้ายสำเร็จลงในที่สุด เถียนกวาหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “พ่อเป็นพ่อซื่อบื้อ อันนั้นเป็นอันที่จุดแล้วก็ระเบิดเลย!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท