ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1831 บ้านใหม่ที่สวยงาม

บทที่ 1831 บ้านใหม่ที่สวยงาม

ทั้งฮิวจ์และเรคมีคนรู้จักในเซนต์จอห์นมากมาย คนแรกมีเพื่อนตามท้องถนนเยอะ ส่วนคนหลังก็รู้จักกับคนในวงการการประมงไปทั่ว และเพราะเซนต์จอห์นเป็นเมืองท่า ธุรกิจสำคัญต่างๆ จึงเกี่ยวข้องกับการประมงทั้งนั้น

พอทั้งสองคนได้ยินว่าวินนี่จะมาพัก จึงรีบมาถามคุณสมบัติของบ้านที่ฉินสือโอวต้องการ แล้วก็ให้พวกเพื่อนๆช่วยหาบ้านที่เหมาะสมให้ในทันที

ฉินสือโอววางแผนไว้ว่าจะจบเรื่องในสามวัน เพราะวินนี่อยู่โรงพยาบาลต่ออีกสามวันก็สามารถออกโรงพยาบาลเพื่อไปพักฟื้นต่อได้แล้ว แต่เพียงแค่ในวันเดียวกันเรื่องก็ดำเนินไปได้พอประมาณแล้ว เรคกับฮิวจ์ก็รวบรวมรายการบ้านละแวกนั้นไว้ ถ่ายรูปพร้อมกับคำแนะนำไว้เพื่อให้เขาดู

พอเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวจึงไม่ได้กลับฟาร์มปลา แต่พักอยู่ในตัวเมืองแทน จึงรวดหาที่พักให้กับจงต้าจวิ้นกับบ้านของเหมาเหว่ยหลงไว้พักชั่วคราวด้วย ให้พวกเขาไปดูบ้านพร้อมกับเขา

วันแรกใช้เวลาไปครึ่งวันในการรวบรวมข้อมูลบ้านละแวกรอบๆ เพื่อนำมาเลือกอีกที วันที่สองฉินสือโอวก็พาคนไปเยี่ยมชม บ้านที่เขาดูล้วนเป็นประเภทขายยกเซ็ต และเป็นอพาร์ทเม้นท์ระดับสูงเป็นหลัก หลังจากเลือกมาไม่กี่หลังแล้ว ก็มีอพาร์ทเม้นท์เดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างสวนสาธารณะเข้ามาในสายตาเขา

อพาร์ทเม้นท์นี้เพิ่งสร้างขึ้นไม่กี่ปี ถือว่าเป็นตึกสไตล์ใหม่ เจ้าของซื้อไว้ก็เพื่อเป็นการลงทุน ด้วยกระแสการย้ายถิ่นฐานของผู้อพยพที่มากขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ของแคนาดาในไม่กี่ปีมานี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องซื้อบ้านยากไม่ได้เป็นเพียงเรื่องปวดหัวของคนหนุ่มสาวในประเทศจีนเท่านั้น ที่แคนาดา พวกพนักงานออฟฟิศหนุ่มสาวก็ปวดหัวเช่นกัน

แต่ช่องว่างในการขึ้นราคาของอสังหาริมทรัพย์ในเซนต์จอห์นกลับไม่มาก เหตุผลก็อย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ นี่เป็นเมืองท่า หัวใจหลักของเศรษฐกิจคืออุตสาหกรรมการประมงและการท่องเที่ยว ดังนั้นหากต้องการใช้ชีวิต หรือสร้างอนาคตแล้วล่ะก็ พวกเขาจะไม่มาที่นี่กัน

แน่นอนว่า เซนต์จอห์นเป็นดินแดนสวรรค์ในการใช้ชีวิตเกษียณ แต่ผู้อพยพในตอนนี้มีเท่าไรกันที่ออกมาเพื่อใช้ชีวิตเกษียณ? ดังนั้นราคาอสังหาของที่นี่ไม่ได้เพิ่มขึ้นจนเกินไป ในเขตตัวเมืองไม่กี่ปีก่อนหน้านี้คือห้าพันกว่า ตอนนี้ก็ขึ้นมาถึงแค่หกพันกว่าเท่านั้น

แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ พวกพนักงานออฟฟิศและพนักงานแรงงานในเซนต์จอห์นก็พากันโวยวายเรื่องราคาบ้านสูงขึ้นทุกวันอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ฉินสือโอวเห็นเสียงโห่ร้องของคนเหล่านี้ ก็อยากจะส่งพวกเขาไปลองดูที่ประเทศจีนหรือไม่ก็เซี่ยงไฮ้เสียจริง พวกเขาจะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าราคาบ้านที่สิ้นหวัง!

แต่ว่าถ้าลองคิดในแง่อื่นดู ราคาบ้านในเซนต์จอห์นก็ไม่ต่ำเลย หกพันดอลลาร์แคนาดาก็คือสามหมื่นหยวน แต่ปัญหาคือ คนที่ซื้อบ้านที่นี่ส่วนมาจะเป็นคนพื้นที่เป็นหลัก แถมเงินที่คนพื้นที่หาได้ก็คือหน่วยดอลลาร์แคนาดา ไม่ว่าเงินเดือนจะสี่พันหกพันหรือว่าแปดพัน ก็ล้วนเป็นเงินดอลลาร์แคนาดา ในสถานการณ์แบบนี้การจะซื้อบ้านสักหลังมีแรงกดดันก็จริง แต่ว่าไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับในประเทศจีน

บังเอิญมาก เจ้าของอพาร์ทเม้นท์เดี่ยวนี้ก็เป็นชาวอพยพเหมือนกัน เป็นคนสิงคโปร์ สิงคโปร์มีราคาบ้านที่น่ากลัวกว่าประเทศจีน ชาวอพยพคนนั้นรู้สึกว่าราคาบ้านในเซนต์จอห์นยังมีช่องว่างให้เติบโตอยู่ จึงลงทุนซื้อที่นี่ไว้

แต่สุดท้าย กลายเป็นว่าเกือบจะเข้าเนื้อตัวเองแล้ว บ้านตรงนี้เขาได้แขวนป้ายไว้สองปีแล้ว คนที่มาดูบ้านยังน้อยจนน่าสงสาร ยิ่งคนซื้อยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แน่นอนว่า นี่เกี่ยวเนื่องกับราคาที่เขาตั้งไว้ด้วย ราคาบ้านในตลาดคือระหว่างตารางเมตรละ 6000 ถึง 6500 แต่ที่เขากลับเรียกถึง 7000 จึงเป็นธรรมดาที่คนมาดูบ้านจะน้อย

อีกเหตุผลหนึ่งที่คนมาดูบ้านน้อยก็คือ บ้านนี่ค่อนข้างใหญ่ ราคาค่อนข้างสูง คนปกติสู้ไม่ไหว

อพาร์ทเม้นท์ตึกนี้มีทั้งหมดสามชั้น บวกกับห้องใต้หลังคาก็เท่ากับมีสี่ชั้น ด้านหน้าสวนมีโรงจอดรถสองที่กับสนามหญ้าเล็กๆแห่งหนึ่ง ส่วนด้านหลังคือสวนดอกไม้ใหญ่สวนหนึ่ง พื้นที่ใช้สอยในแต่ละชั้นคือประมาณ 260 ตารางเมตร แบบนี้ถ้าสามชั้นรวมกันก็เท่ากับมีประมาณ 800 ตารางเมตรเลย

เจ้าของเป็นชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน แน่นอนว่าเขาอพยพไปที่แคนาดาตั้งแต่รุ่นคุณปู่แล้ว นอกจากสายเลือดแล้ว เขากับเชื้อสายจีนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แต่ว่าเขามีความหลักแหลมของชาวเชื้อสายจีน นั่นก็คือแขวนป้ายแยกห้องแต่ละยูนิตไว้ ก็คือสามารถซื้อแค่ชั้นเดียวได้ เมื่อทำการแบ่งขายแบบนี้ สามารถยกราคาบ้านขึ้นได้ด้วย

แต่ว่าเขาได้รับปากแล้ว หากว่าขายออกทั้งหมดเลยเขายินดีที่จะยกชั้นใต้หลังคาให้ฟรี ฉินสือโอวดูแล้วก็ยิ้มแล้วส่ายหัว ถ้าไม่ยกห้องใต้หลังคาให้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้อีก? เซนต์จอห์นไม่ใช่นิวยอร์ก จะมีใครมาซื้อชั้นใต้หลังคากัน?

การออกแบบของตึกนี้ดูดีมาก ชั้นล่างเป็นกระเบื้องที่ส่องประกายระยิบระยับ ชั้นบนตกแต่งด้วยไม้ที่ได้รสนิยมมาก โดยรวมบ้านเป็นสีเหลืองอ่อน ผนังมีไม้เลื้อยๆ อยู่ และเพราะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิทำให้เต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วง ด้านหน้าติดถนน และยังมีโรงจอดรถและสนามหญ้าเล็กๆ ส่วนด้านหลังก็คือสวนดอกไม้ที่กว้างขวาง

ฉินสือโอวเข้าไปดูในบ้าน การตกแต่งในบ้านหรูหราสวยงาม พื้นเป็นพื้นไม้เนื้ออ่อน คนสิงคโปร์คนนั้นเข้าไปแล้วก็เดินเท้าเปล่าไปมา แล้วพูดชมขึ้นมาเองว่า “พื้นนี่สบายเท้ามากเลยครับ แม้จะเดินเท้าเปล่าตอนฤดูหนาวก็ไม่หนาวเลย ถ้ามีเด็กจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แม้เด็กจะตกลงมาจากโซฟา ก็ไม่ทำให้เจ็บด้วย”

พื้นทางเดิน โคมไฟระย้า โต๊ะยาวไม้แท้ เฟอร์นิเจอร์ยกชุด ห้องครัวที่สะอาดเป็นระเบียบกับชุดเครื่องครัวยกเซ็ต ระเบียงได้ถูกดัดแปลงไปเป็นบาร์เล็กๆ ช่วงบ่ายสามารถมานั่งรับแสงแดดที่นี่หรือไม่ก็ดื่มสักแก้วได้ ดูแล้วคงสบายมาก

ผนังด้านข้างบันไดมีภาพสีน้ำมันแขวนอยู่ ฉินสือโอวเห็นดอกทานตะวันของแวนโก๊ะจากในนั้นด้วย ภาพนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะว่าเขาเคยได้รับภาพดอกทานตะวันที่เป็นของปลอมแบบนี้มาก่อน

โดยรวมแล้วพอใจ ฉินสือโอวจึงพยักหน้าให้เรค ฝ่ายหลังจึงพูดเสียงเบาว่า “จะไปดูต่ออีกไหม?”

ฉินสือโอวพูดว่า “คุยราคาเถอะ ซื้อหลังนี้แหละ อย่างไรก็ไม่กี่ตังอยู่แล้ว”

เรคฉีกยิ้มให้เขา ชูนิ้วโป้งขึ้นมาชมเขาว่า “ไอ้คำพูดของนายคำนี้นี่นะ ทำเอาคนตกใจฉี่ราดได้เลย!”

เจ้าของคนสิงคโปร์หลักแหลมมาก เขายืนยันราคาบ้านไว้ที่ 7000 ต่อตารางเมตร เท่ากับว่าอพาร์ทเม้นท์ตึกนี้ ต้องมีห้าล้านกว่าเหรียญจึงจะสามารถซื้อได้ ราคานี้สูงมาก การซื้อบ้านในเซนต์จอห์นล้วนซื้อกันเป็นเซตทั้งนั้น วิลล่าหนึ่งเซ็ตก็ราคาเพียงแค่ห้าล้านเหรียญเท่านั้น

หนำซ้ำ เจ้าของคนนี้ยังแยกสวนดอกไม้กับโรงจอดรถอีก ราคาสวนดอกไม้คือสองแสนเหรียญ โรงรถทั้งสองห้องๆ ละห้าหมื่นเหรียญ สนามหญ้าเขาฟรีให้ บวกกับภาษีต่างๆ แล้ว ฉินสือโอวต้องจ่ายเงินกว่าหกล้านดอลลาร์แคนาดา

สำหรับเขาแล้วเงินเท่านี้ไม่ใช่ปัญหา หกล้านก็หกล้าน แต่ว่าเรคกลับไม่ยอม พูดด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “นายนี่มันเอาเปรียบคน เพื่อน ราคานี้อย่างไรก็ขายไม่ออกแน่นอน! หกล้าน? ฮะ ทำไมฉันไม่ไปซื้อวิลล่าสักหลังริมทะเลไปเลยล่ะ?”

คนสิงคโปร์นอกจากเรื่องโลภมากแล้วไม่มีข้อเสียอื่นๆ เลย เขานิสัยดีมาก จึงยิ้มรับแล้วพูดว่า “วิลล่าต้องจ่ายภาษีเท่าไร แล้วคุณดูว่าอพาร์ทเม้นท์หลังนี้จ่ายภาษีแค่เท่าไรเองครับ? อีกอย่าง ตึกอพาร์ทเม้นท์แบบนี้สามารถเอามาออกเช่าได้ด้วย วิลล่าจะให้เช่าได้อย่างไรครับ? แล้วก็คุณดูบ้านของผมหลังนี้สิ ทำเลดีแค่ไหน รอบๆ มีโรงพยาบาล มีโรงเรียน มีสวนสาธารณะ มีห้างสรรพสินค้า ถ้าเป็นที่โทรอนโต บ้านแบบนี้ขายกันอยู่ที่สิบล้านเหรียญนะครับ!”

“ถ้าคุณไปที่ประเทศจีน งั้นสองร้อยล้านก็ยังซื้อบ้านแบบนี้ไม่ได้เลย” เหมาเหว่ยหลงพูดเสียงนิ่งว่า “แต่ที่นี่เป็นเซนต์จอห์นไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะพูดอะไร ก็เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไม่ได้นะครับ”

คนสิงคโปร์กะพริบตาปริบๆ ทำท่าทีเหมือนเข้าเนื้อ พูดว่า “เอาเถอะ งั้นโรงจอดรถผมให้พวกคุณแล้วกัน เท่านี้ก็ได้แล้วใช่ไหมครับ?”

“ยกทั้งโรงจอดรถกับสวนดอกไม้ให้พวกผม ราคาบ้านผมจะไม่ต่อคุณแล้ว อยู่ที่ 7000 เหรียญว่าอย่างไร?” ฉินสือโอวมองออก ว่าเจ้าของคนนี้ก็คือกร็องเด้ด์อีกคน ถ้าจะต่อราคากับเขาล่ะก็คงมีให้ต่อแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงกับแขวนป้ายไว้สองปีแล้วราคาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรอก

เจ้าของถอนหายใจอย่างปวดใจทีหนึ่ง กุมมือฉินสือโอวแล้วพูดว่า “ใครให้พวกเราต่างก็เป็นชาวเชื้อสายจีนกันล่ะ? เห็นแก่บรรพบุรุษของพวกเรา เอาตามที่คุณว่าแล้วกัน จะจัดการเรื่องส่งมอบเมื่อไรครับ?”

“ตอนนี้”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท