ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1840 เก็บเกี่ยวปลาได้ผลอุดมสมบูรณ์

บทที่ 1840 เก็บเกี่ยวปลาได้ผลอุดมสมบูรณ์

การตกเบ็ดราวถือเป็นการตกปลาแบบอุตสาหกรรมอย่างหนึ่ง ตอนดึงเบ็ดขึ้นมาจึงควรจะพึ่งเรือหาปลา ให้เรือหาปลาดึงขึ้นมาถึงจะถูก แต่หากว่าใช้การตกเบ็ดกับปลาทูน่าครีบน้ำเงิน พึ่งแรงคนจะดีกว่า การใช้เรือหาปลาจำต้องรอเวลาสักพักหนึ่ง จากนั้นค่อยเก็บขึ้นมา เพราะไม่ว่าจะมีปลาหรือไม่มีปลาก็คือการดึงเบ็ดขึ้นมาแท่งเดียวอยู่ดี

สำหรับปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ล้ำค่าและชอบหนีไปนั้น จำต้องให้เหล่าชาวประมงไปเฝ้าดูอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ขอแค่เครื่องแจ้งเตือนดังขึ้น ก็ต้องไปเช็คดูแล้ว เพื่อที่จะทำการจับปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้แต่เนิ่นๆ

การเก็บเบ็ดโดยใช้เรือหาปลาคือการตกเบ็ดกับปลาจำพวกปลาโอแถบ ปลาดาบและปลาเเซลมอนแปซิฟิก เพราะปลาพวกนี้ไม่มีความสามารถที่จะดึงสายเบ็ดหนีไปเรื่อยได้

ดังนั้นพอวางสายเบ็ดโค้งงอยาวๆ สองเส้นลงไปบนผิวน้ำทะเลแล้ว ฉินสือโอวก็พาชาวประมงนั่งรอกันบนเรือเป็นเวลาสักพัก แต่ว่าก่อนหน้านี้ เขาต้องไปตรวจดูผลผลิตของการเก็บเกี่ยวปลาด้วยอวนลากก่อน

เหล่าชาวประมงเพิ่งจะเอาเชือกเบ็ดที่ต้องใช้สำหรับเบ็ดราวหย่อนลงไปในน้ำ จากนั้นยังไม่ทันหยุดพัก พวกเขาก็ทำการใส่ถุงมือแบบลวกๆ หยิบมีดฆ่าปลาขึ้นมา ต้องเตรียมไปจัดการกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินอีกแล้ว

ปลาทูน่าน้ำเงินที่เก็บเกี่ยวโดยอวนลากนั้นไม่สามารถเก็บแหขึ้นมาได้ทันที แต่จำต้องทำการปิดอวนก่อน ต้องมีคนพายเรือเล็กแล้วใช้การหว่านแหเพื่อแบ่งปลาออกมาก่อนด้วย

และในขั้นตอนนี้ เรือลากอวนล้อมยังต้องทำการเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นหากไม่มีกระแสน้ำไหลแล้ว ปลาทูน่าจะไม่สามารถหายใจจนขาดอากาศหายใจตายได้ และหากไม่ได้ทำการปล่อยเลือดของปลาทูน่าน้ำเงินที่ตายไปแล้วในทันที คุณภาพของเนื้อปลาก็จะลดลงอย่างมาก ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะไม่มีมูลค่าอะไรแล้ว

งานนี้จำต้องให้ชาวประมงที่ร่างกายแข็งแรงมากมารับผิดชอบ บูลถอดเสื้อออกอย่างภาคภูมิใจเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ราวกับก้อนหินก้อนใหญ่แล้วยืนสง่าอยู่บนดาดฟ้าเรือ จงต้าจวิ้นพูดด้วยความอิจฉาว่า “โอ้โห พวกฝรั่งพวกนี้ไม่เสียแรงที่กินเนื้อวัวโตนะเนี่ย กล้ามเนื้อพวกนี้นี่สร้างมาได้อย่างไรเนี่ย?”

บูลกำลังวางมาดอย่างภาคภูมิใจอยู่ ก็มีเงาดำทมิฬปรากฏอยู่บนตัวเขา เขาหันหน้าไปมอง คนยักษ์ที่กำยำกว่าได้ปรากฏอยู่ด้านหลังเขา หน้าตาโกรธเคือง หนวดยาวราวกับมังกร แม้จะใส่เสื้อหนาวตัวใหญ่อยู่ แต่ก็ยังปิดบังกล้ามเนื้อที่ราวกับถูกตีด้วยเหล็กกล้าไว้ไม่อยู่ เพราะได้ยืดออกมาจนเสื้อแน่นไปหมด ราวกับว่าแค่เขาออกแรงก็สามารถใช้กล้ามเนื้อฉีกเสื้อออกได้อย่างนั้น!

“ชิท อีวิลสัน นายอย่ามาโผล่ข้างตัวฉันได้ไหม?” บูลพูดอย่างหัวเสีย

อีวิลสันหรี่ตามองดูเขา กำกำปั้นขึ้นมาแล้วถามว่า “นายรังเกียจอีวิลสันเหรอ?”

บูลกลืนน้ำลายทีหนึ่ง รีบพูดว่า “ไม่ๆๆ บูลชอบอีวิลสัน อีวิลสันเป็นเพื่อนที่ดีของบูล! แต่ว่า นายไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ฉันไม่ได้ใส่เสื้อผ้าน่ะ? ฉันกำลังอาบแดดอยู่!”

อีวิลสันฉีกยิ้มออกมา มือที่ใหญ่ราวกับกระด้งไปกางออกแล้วจับลงไปที่ไหปลาร้าของบูลทีหนึ่ง แล้วก็ดึงเขาขึ้นมาราวกับกำลังแบกถุงกระสอบไปที่กราบเรือ ยิ้มอย่างบื้อๆ พูดว่า “อยู่ใกล้กับพระอาทิตย์หน่อย อบอุ่น…”

เหล่าชาวประมงที่อยู่รอบๆ มองดูบูลที่เก้ๆ กังๆ แล้วก็หัวเราะร่ากันขึ้นมาในทันใด คนทั้งกลุ่มพากันทยอยชูนิ้วกลางให้เขา พูดว่า “เพื่อน นายไม่ใช่เพื่อนที่ดีของอีวิลสัน นายน่ะเป็นเพื่อนตัวน้อยของเขา!” “โอ้ ฉันกล้าพนันเลย ความภาคภูมิใจในตัวเองของเจ้าบูลได้ถูกอีวิลสันทำร้ายเสียแล้ว!” “จากนี้อีกหนึ่งเดือน เขาไม่เข้าใกล้อีวิลสันอีกแล้วล่ะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะพร้อมตบมือ พูดว่า “พอแล้วเพื่อนฝูงทั้งหลาย ทำงานได้แล้ว อย่าให้ปลาของพวกเรารออยู่ในน้ำนานเกินไป! ไป ออกไป ไปพาพวกมันขึ้นมา!”

“เฮ้ๆๆ!” เหล่าชาวประมงโห่ร้องพร้อมกับหยิบเครื่องมือที่เตรียมไว้ขึ้นมา ทำหน้าที่ของใครของมัน

เรือตกปลาสองลำได้ถูกปล่อยลงมาจากเรือปริ๊นเซสเมล่อน อีวิลสันและบูลได้พาคนไปขึ้นเรือกันคนละลำ เรือตกปลาไล่ตามเรือหาปลาสองลำไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเปิดปากแหออก บูลและชาวประมงโยนแหออกไป ราวกับคาวบอยคล้องม้า ทำการคล้องไปที่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินอย่างแม่นยำแล้วดึงกลับมา

เรือตกปลากลับมา แต่ยังอยู่ห่างจากเรือปริ๊นเซสอยู่มาก ชาวประมงบนเรือก็ร้องตะโกนออกมาว่า “บูล เพื่อนรักของฉัน รีบบอกฉันเร็ว ผลผลิตของวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

บูลหัวเราะร่าอย่างได้ใจ ว่า “ฮ่าๆๆ ถ้าอยากรู้ งั้นก็ค่อยๆ รอต่อไปเถอะ!”

เหล่าชาวประมงทำการชูนิ้วกลางให้เขาอีกครั้ง จากนั้นเสียงก่นด่าก็ดังขึ้นมา แต่ทว่าพวกเขารู้ว่าผลผลิตในครั้งนี้ต้องดีมากแน่ เพราะเสียงหัวเราะที่ดีใจของบูลได้เปิดเผยเรื่องนี้ออกมาแล้ว

ก่อนอื่นปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ถูกลากขึ้นเรือดูแล้วมีความยาวถึงสี่เมตร มีชาวประมงรีบเข้าไปทำการชั่งน้ำหนักและวัดขนาด ตะโกนว่า “ว้าว ไม่น่าเชื่อจริงๆ สิบสามฟุตพอดีเลย! สิบสามฟุต!”

“ฮาวเวิร์ด อย่า***ไร้สาระ ปลานี่หนักเท่าไร? ฉันเดาว่ามีหนึ่งพันปอนด์ถูกหรือเปล่า? ต้องมีหนึ่งพันปอนด์แน่!”

“ชาลส์ นายนี่แหละที่พูดไร้สาระ ปลาที่ยาวถึงสิบสามฟุตจะหนักไม่ถึงหนึ่งพันปอนด์เหรอ? ถ้าไม่ถึงแล้วล่ะก็สามารถพูดได้เพียงว่าปลาตัวนี้ก็เหมือนกับพวกผู้หญิงพวกนั้นที่วันๆ เอาแต่ลดน้ำหนัก! แต่ว่าใครก็รู้ ปลาทูน่าไม่ชอบลดน้ำหนัก แม้ว่าการออกกำลังกายในแต่ละวันของพวกมันจะเทียบเท่ากับการออกกำลังกายของพวกผู้หญิงพวกนั้นหนึ่งปีก็เถอะ!”

“ฉันกล้าพนัน ปลาตัวนี้ต้องมีประมาณหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์แน่!” ชาร์คเข้าไปมองดูปลาตัวนี้แล้วกะออกมาคร่าวๆ

ฮาเวิร์ดที่รับผิดชอบชั่งน้ำหนักชูนิ้วโป้งขึ้นมาพูดว่า “ชาร์ค ฉันไม่นับถือเจ้าสารเลวอย่างนายไม่ได้จริงๆ แม้ว่าที่นายเดามาจะไม่ตรงเป๊ะเสียทีเดียว แต่เจ้าตัวน่ารักนี้น่ะมีหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบห้าปอนด์! ความผิดพลาดของนายนั้นเป็นเรื่องที่รับได้!”

“ว้าววววว! หนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบห้าปอนด์ ได้ทำลายสถิติอะไรไปบ้างหรือเปล่า?” ชาวประมงบนเรือร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ

ชาร์คส่ายหัวแล้วพูดว่า “เท่าที่ฉันจำได้ น่าจะไม่มี พวกเราสามารถเข้าร่วมได้แค่สถิติของเขตนิวฟันด์แลนด์กับเขตมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น แถมที่นี่ยังเป็นที่ๆเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่อีก!”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “พอแล้วน่า รีบจัดการปลาตัวนี้เถอะ ส่งมันกลับไปหาพระเจ้า ลงมือให้เร็วนะ อย่าทรมานเจ้าตัวน่าสงสารตัวนี้เลย!”

เหล่าชาวประมงกรูกันเข้าไป ตัดเหงือก หั่นหางแล้วก็ปล่อยเลือดของปลาออก มีชาวประมงที่เตรียมกล่องเก็บอุณหภูมิไว้ ในนั้นเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่เย็นจัด พอปล่อยเลือดของปลาตัวนี้จนหมดแล้ว ก็จะรีบใส่เข้าไปเก็บไว้ในกล่องเก็บอุณภูมิทันที

สิบสามฟุตก็คือยาวเกือบสี่เมตร ปริมาณเลือดของปลาตัวใหญ่ที่มีความยาวแบบนี้น่าดูชมมาก จงต้าจวิ้นได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ครั้งแรก จึงทนดูไม่ไหวแล้วพูดว่า “ทำแบบนี้จะไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ?”

ฉินสือโอวพูดว่า “แน่นอน ความจริงแล้วการฆ่าก็ล้วนไม่ดีทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะฆ่าปลาตัวหนึ่งหรือมดตัวหนึ่งก็ตาม แต่ปลานี่เป็นปลาที่ฟาร์มปลาเลี้ยงไว้ ปลาที่เลี้ยงกับวัวแพะหมูที่เลี้ยงไว้ล้วนเพื่อเอาไปขายเอาเงินทั้งนั้น คิดแบบนี้นายน่าจะรู้สึกดีขึ้นนะ”

“อีกอย่าง พอเอาปลาพวกนี้ไปเปลี่ยนเป็นเงินแล้วฉันก็ไม่ได้เอามาใช้เองทั้งหมดนี่ ฉันได้เอาไปเปลี่ยนเป็นการลงทุนให้กับมหาสมุทร เพื่อเลี้ยงชีพปลากุ้งปูและสาหร่ายทะเลกับพวกสัตว์น้ำเปลือกแข็งได้มากขึ้นด้วย นี่น่ะเป็นการหมุนเวียนที่ดี” ฉินสือโอวพูดเสริมไปอีกประโยค

ถ้าหากว่าเป็นเหมาเหว่ยหลงที่มาถามคำถามงี่เง่าแบบนี้ล่ะก็ เขาต้องตอบกลับแบบไม่พอใจแน่ ขอร้องล่ะ ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่กันแล้วไหม? ฟาร์มปลาไม่ผลิตปลาที่เก็บเกี่ยวได้แล้วจะยังเปิดไว้ทำไมอีก? อย่างไรเสียไอคิวและความสัมพันธ์ของปลาก็สู้สัตว์จำพวกวัวแพะไม่ได้อยู่แล้วไหม? งั้นโรงฆ่าสัตว์ไม่ใช่ว่ายิ่งโหดร้ายกว่าเหรอ?

แต่ว่านี่เป็นจงต้าจวิ้นเป็นคนถาม ความสัมพันธ์ของเขาสองคนไม่ได้สบายๆ เหมือนเขากับเหมาเหว่ยหลง ดังนั้นเรื่องบางเรื่องจึงต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นจงต้าจวิ้นจะคิดมากได้

จากนั้นก็มีปลาใหญ่ถูกส่งขึ้นมาเรื่อยๆ เหล่าชาวประมงฝ่าน้ำเข้าไปจัดการปลาแต่ละตัวอย่างรวดเร็ว ไม่นานท้ายเรือก็กองเต็มไปด้วยกล่องเก็บอุณหภูมิ ฤดูเก็บเกี่ยวปลาที่อุดมสมบูรณ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท