ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1829 ลูกชายคลอดแล้ว

บทที่ 1829 ลูกชายคลอดแล้ว

คำพูดของพี่สาวและพี่เขยฉินสือโอวทำเขาหวั่นไหว เขาลูบคางไปมาสักพัก ก็มีชื่อโผล่ขึ้นมาในใจไม่กี่ชื่อ ล้วนเป็นเพื่อนสมัยเรียน และเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกับเขา แถมคนเหล่านี้ยังมีชีวิตที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจอีกด้วย เหมือนว่าจะสามารถมาลองค้าขายอันนี้ได้

เขามองไปยังปลาคาร์ฟเอเชียที่กองเต็มอยู่ในห้องแช่แข็งของเขา แล้วก็คิดถึงปลาที่ยังอาศัยอยู่ในทะเลสาบเฉินเป่าพวกนั้น จากนั้นก็ตัดสินใจ ลองถามเพื่อนดูแล้วกัน บางทีนี่อาจจะเป็นเส้นทางทำเงินอีกเส้นก็ได้

สำหรับเส้นทางการหาเงินเส้นนี้แล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นสำหรับตัวเขา ปลาน้ำจืดแห้งจะขายได้เงินสักเท่าไรเชียว? ถ้าเขาอยากจับทางด้านนี้จริงๆ งั้นยังไม่สู้ขายปลาโอแถบแห้งดีกว่า ฝูงปลาโอแถบในฟาร์มปลามีขนาดใหญ่มหึมามาก แต่สำหรับคนบางคนนั้น เงินที่ปลาน้ำจืดแห้งพวกนี้ทำได้นั้นก็ถือว่าน่าดูมากแล้ว

คนที่เขานึกถึงคนแรกคือเพื่อนสมัยเด็กฉินเผิง หลังจากโทรศัพท์ไปหาแล้ว ฉินเผิงกลับไม่สนใจกับธุรกิจนี้เลย เขาเพียงอยากจะทำร้านซ่อมรถของตัวเองให้ดี ไม่เพียงแต่ทำเงินได้เท่านั้น นั่นก็เป็นความชอบและความฝันของเขาด้วย ส่วนเรื่องปลาคาร์ฟแห้ง ปลาเฉาฮื้อแห้ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ

จากนั้น ฉินสือโอวก็นึกถึงหัวหน้าห้องในมหาวิทยาลัยจงต้าจวิ้นขึ้นมา นี่ก็เป็นเพื่อนสนิทของเขาเหมือนกัน ครั้งที่แล้วที่มาแคนาดา เขาเห็นว่าจงต้าจวิ้นมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีนัก ปกติดูจากในไทม์ไลน์ เขาก็ไม่ค่อยโพสต์อะไรมาก เพียงแค่โผล่หน้ามาบ้างในกลุ่มของห้องเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก

ส่วนเรื่องความสามารถของจงต้าจวิ้นนั้น ฉินสือโอวนับถือเป็นอย่างมาก ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เรียนดีที่สุดในสำนักเลย เรียนดี มีวินัย สามารถทนความลำบากตรากตรำได้ หลังจากเรียนจบแล้วสามารถพูดได้แค่ว่าโชคไม่ดี แต่ละงานที่ทำก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่ากันเท่าไรนัก

คิดได้แล้วก็ลงมือทำ เขาโทรศัพท์ไปหา แต่ดันลืมว่าเวลาในเซนต์จอห์นช้ากว่าประเทศจีนถึงสิบกว่าชั่วโมง จงต้าจวิ้นในตอนนี้ยังคงสะลึมสะลือ พูดว่า “ฮัลโหล ฉินเหรอ? ทำมายโทรมาเอาป่านนี้เหลา? มีเรื่องอะไรเหรอ? กำลังหลับสบายเลย”

ดูท่าว่าจงต้าจวิ้นยังหลับไม่ตื่น ถึงได้พูดจีนกลางที่เต็มไปด้วยสำเนียงเสฉวนแบบนี้

ฉินสือโอวรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย จึงพูดสั้นๆ กระชับใจความว่า “ทางฉันมีธุรกิจอันหนึ่งไม่เลวเลย อย่างไรก็ทำแล้วรุ่งแน่นอน แต่แค่ไม่รู้ว่าจะทำเงินได้เท่าไร แต่ถ้าให้ฉันคิดคร่าวๆ ดู ปีหนึ่งให้ได้หลักล้านนี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย”

“เงินหยวนใช่ไหม? อย่ามาบอกว่าเป็นเงินเยนกับฉันนะ” จงต้าจวิ้นตื่นขึ้นมาในทันที เขาในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขาดเงินขาดโอกาสพอดีเลย

ฉินสือโอวพูดว่า “ไม่ใช่เงินหยวน เป็นเงินดอลลาร์แคนาดา!”

“เฮ้ย นายล้อฉันเล่นเหรอ ห้าล้านหยวนเหรอ? หนึ่งปี?” จงต้าจวิ้นตกใจเป็นอย่างมาก

นอกจากเหมาเหว่ยหลงแล้ว เพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็ไม่รู้สถานะทางการเงินที่แท้จริงของฉินสือโอว พวกเขารู้สึกว่าฟาร์มปลาแห่งหนึ่ง ปีหนึ่งน่าจะมีรายได้ก็แค่ไม่กี่ล้านหรือดีหน่อยก็ไม่กี่ร้อยล้านหยวนเท่านั้น แต่กลับไม่รู้ว่าในหนึ่งปีฟาร์มปลาต้าฉินสามารถทำเงินให้ฉินสือโอวได้ถึงหลายพันล้านเลยทีเดียว แถมค่าเงินยังเป็นเงินดอลลาร์แคนาดาอีกต่างหาก!

“ตอนนี้งานของนายเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินสือโอวเปลี่ยนเรื่องคุย เขายังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ของจงต้าจวิ้นช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง

จงต้าจวิ้นหัวเราะขืนๆ แล้วพูดว่า “ไม่อย่างไรหรอก ก็ลำบากลำบนจนได้มาตำแหน่งหัวหน้าทีมมาเท่านั้นเอง ต้องรับอารมณ์ทุกวัน รับอารมณ์ลูกค้า รับอารมณ์หัวหน้า เฮ้อ ตลาดอสังหาของประเทศจีนในปีนี้ไม่ค่อยดีนัก ฝ่ายตกแต่งอย่างพวกฉันน่ะ ทำงานยากมากเลย”

ฉินสือโอวได้ยินคำนี้แล้วก็มีความมั่นใจขึ้นมา พูดว่า “ฉันจองเครื่องบินให้นาย ช่างเถอะ นายไปหาโคโกโร่ ไม่กี่วันนี้เจ้าหมอนั่นจะกลับแคนาดาแล้ว พวกนายมาพร้อมกันเลย นายลาออกเถอะ มาดูลาดเลาโปรแกรมของฉันดู อย่างไรเสียก็เถอะเรื่องมากน่ะฉันไม่กล้าพูด แต่ปีละล้านเหรียญดอลลาร์แคนาดาน่ะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย”

จงต้าจวิ้นตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ถ้าคนอื่นมาพูดแบบนี้กับเขา ยังมีสิทธิ์ว่าจะเป็นพวกแชร์ลูกโซ่อะไรเทือกนั้น แต่เขารู้จักนิสัยและฐานะของฉินสือโอวดี ในเมื่อเขาบอกว่าปีละล้านเหรียญ งั้นถึงแม้ว่าจะหาไม่ได้หนึ่งล้านเหรียญดอลลาร์แคนาดา แต่การจะหาให้ได้หนึ่่งล้านหยวนก็ยังเป็นไปได้อยู่

รายได้ปีละหนึ่งล้านหยวนเลยนะ นี่เป็นอะไรที่เขาไม่กล้าคิดกับงานในปัจจุบันเลย

หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น จงต้าจวิ้นมาแคนาดาพร้อมกับเหมาเหว่ยหลงและครอบครัว และบังเอิญมาก ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ยังเป็นวันกำหนดคลอดของวินนี่ด้วย เขาได้เข้าพักที่ห้องวีไอพีของโรงพยาบาลเซนต์แมรี่เพื่อรอคลอดแล้ว พวกของเหมาเหว่ยหลงมาได้จังหวะพอดี

วันที่เครื่องบินของพวกเขาลงจอดที่เซนต์จอห์น วินนี่กำลังคลอด มีประสบการณ์กับเถียนกวาแล้ว ทำให้ฉินสือโอวพอจะนั่งนิ่งอยู่ได้บ้าง เขาอุ้มเถียนกวารออยู่นอกห้องทำคลอด ความจริงในใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงว่าคนที่ทำคลอดวินนี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินารีระดับสูงที่เขาเชิญมาจากบอสตันโดยผ่านบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส แถมผลการตรวจก่อนคลอดของวินนี่ก็ปกติทุกอย่างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลอะไรอีก

เถียนกวาไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคุณพ่อเลย เธอดูดนิ้วมือเบิกตาโตมองไปทางประตูห้องคลอด ถามว่า “ป่าป๊า เดี๋ยวน้องชายจะออกมาจากตรงนั้นใช่ไหมคะ?”

ฉินสือโอว “หา?”

“หนูบอกว่าน้องชาย น้องชายจะออกมาจากข้างในนั้นใช่ไหมคะ?” เถียนกวาหงุดหงิดเล็กน้อย

ฉินสือโอว “อื้ม”

“น้องชายเป็นอย่างไรคะ? จะเหมือนกับใคร? อ้วนใหญ่หรือว่าอ้วนเล็กคะ?” เถียนกวาถามอีก ด้วยหน้าตาของเด็กขี้สงสัย

“ประมาณนั้นแหละ อ้าไม่ใช่ ทำไมหนูถึงคิดถึงแต่แมวน้ำเนี่ย?” ฉินสือโอวปวดขมับขึ้นมา “น้องชายของหนู แน่นอนว่าต้องไม่ต่างกับหนูอยู่แล้ว!”

เถียนกวาถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ท่าทีเสียดายสุดขีด พูดว่า “งั้นก็ไม่สนุกแล้วสิ ถ้าเขาเหมือนกับพ่างพ่างจะดีมาก ถ้าเป็นอย่างนั้นหนูจะได้เล่นกับเขาทุกวันเลย ป่าป๊า ได้ยินที่หนูพูดไหมคะ?”

ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ป่าป๊ากังวลใจมาก อะไรก็ไม่ได้ยินทั้งนั้น”

เถียนกวาบู้ปากเล็กๆ แล้วพูดว่า “งั้นหนูเข้าไปหาหม่าม๊านะคะ? พ่อไม่คุยกับหนู หนูจะไปหาหม่าม๊าให้คุยกับหนูแทน”

ท่านชายฉินยอมใจให้แล้ว พูดอย่างหมดทางเลือกว่า “คุยๆๆ ป่่าป๊าคุยกับหนูดีไหม? แต่ว่าหนูเงียบๆ หน่อยได้ไหมคะ? อีกอย่างต่อไปหนูมีน้องชายแล้ว หนูก็จะเป็นพี่สาวแล้ว พี่สาวต้องมีท่าทีของพี่สาว อย่าแกล้งน้องชายรู้ไหม? อย่าแกล้งน้องชายจนเป็นเหมือนบลูน้อยนะ หนูดูสิบลูน้อยน่ะถูกหนูเล่นจนบื้อไปแล้ว!”

เถียนกวาเผยยิ้มออกมา พูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “น้องชายจะน่าสนุกเหมือนกับบลูน้อยเหรอคะ?”

ฉินสือโอว “…”

ดูเหมือนว่าคำพูดมากมายที่ตัวเองพูดไป ยัยหนูคนนี้จะไม่ได้ยินเลยสักประโยคเดียว ช่างเป็นการสิ้นเปลืองความรู้สึกจริงๆ

การคลอดท้องที่สองราบรื่นกว่าท้องแรกอย่างมาก ตั้งแต่เข็นเข้าห้องคลอดจนถึงตอนที่มีเสียงร้องไห้ของเด็กดังออกมานั้น ใช้เวลาไปเพียงแค่หกชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น

นางพยาบาลอุ้มผ้าห่อตัวผืนหนึ่งออกมา พ่อแม่ของฉินสือโอว พี่สาว พี่เขย มาริโอ้ มิแรนด้าแล้วก็พวกวัยรุ่นต่างพากันล้อมเข้าไปหาในทันที แล้วก็เริ่มกรูถามขึ้นมาว่า “นี่เป็นเด็กของบ้านพวกเราใช่ไหม?” “ผู้ชายหรือผู้หญิง?” “แม่ของเด็กเป็นอย่างไรบ้าง?” “พวกเราขอดูหน่อยได้ไหม?”

ฉินสือโอวโยนเถียนกวาลงแล้วพยายามแทรกเข้าไปในกลุ่มคน พร้อมถามอย่างตื่นเต้นว่า “ภรรยาของผมยังอยู่ดีใช่ไหมครับ? ลูกของผมยังอยู่ดีใช่ไหมครับ?”

พยาบาลยิ้มแล้วพูดว่า “คุณฉิน คุณไม่จำเป็นต้องกังวลใจเลย วินนี่กำลังพักอยู่ข้างใน นี่เป็นลูกชายของคุณค่ะ เป็นเด็กผู้ชายที่แข็งแรงราวกับเสือน้อยเลยค่ะ แต่ว่าตอนนี้เขาต้องไปตรวจร่างกายที่ห้องควบคุมอุณหภูมิก่อน เชิญคุณหลีกทางก่อนนะคะ”

ฉินสือโอวยิ้มแหยๆ ไปพลางยื่นมือไปเปิดดูผ้าห่อเด็กไปพลาง หน้าเหี่ยวย่นเล็กๆ ซุกอยู่ข้างใน เจ้าตัวเล็กปิดตาอยู่ ปากเล็กๆ ขยับไปมาเบาๆ เขาไม่ร้องไห้แล้ว เหมือนกับกำลังนอนหลับอยู่

พ่อกับแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ อยากจะดูบ้าง แต่พยาบาลได้ห่มตัวเด็กไว้อีกครั้ง จากนั้นก็ให้พวกเขาไปเยี่ยมคนคลอด แล้วก็พรึ่บ คนทั้งกลุ่มพากันพุ่งเข้าไปในห้องคลอด เหลือไว้แต่เพียงเถียนกวาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวคนเดียวด้วยท่าทีมึนงง

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท