ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1842 ชักเย่อบนทะเล

บทที่ 1842 ชักเย่อบนทะเล

ทั้งตัวของปลาทูน่าครีบน้ำเงินล้วนเป็นของล้ำค่าทั้งนั้น ตั้งแต่หัวปลายันหางปลา ตั้งแต่เกล็ดปลายันไข่ปลา แต่ละอย่างล้วนสามารถเอามาทำอาหารได้ทั้งนั้น แถมหลังจากเอามาทำอาหารแล้วรสชาติยังดีมากอีกด้วย

ปลาตัวใหญ่ความยาวสามสี่เมตร หัวปลาใหญ่ราวกับขนาดของกระเป๋าเดินทางเลยทีเดียว ฉินสือโอวใช้ขวานสับออกเป็นหลายชิ้น แต่ใช้เพียงแค่ชิ้นเดียวใส่เข้าไปตุ๋นในหม้อ เพื่อทำซุปหัวปลา แน่นอนว่าเกล็ดปลากับหางก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ แล้วใส่เข้าไปในหม้อ ทำการเร่งไฟเพื่อตุ๋น

จงต้าจวิ้นเป็นลูกมือให้อยู่ข้างๆ เขารู้จักปลาชนิดนี้ไม่มาก ดังนั้นจึงถามตลอดว่า “เฮ้ย หัวปลานี่สามารถเอาไปทำเป็นหัวปลาราดพริกสับได้ไหม? นายจะตุ๋นซุปเหรอ? รู้อย่างนี้น่าจะทำเต้าหู้ไว้ก่อน ซุปหัวปลาเต้าหู้ไง เฮ้ย นายเตรียมเต้าหู้ไว้จริงเหรอเนี่ย?”

“อะไรนะ? นี่เป็นสมองปลา? เข้าใจผิดเสียแล้ว ฉันนึกว่าเป็นเต้าหู้เสียอีก ตาฉิน นายควักตาปลาออกมาทำไม? ให้ตายสิน่าขยะแขยงจริงๆ”

“หางปลาไม่ทิ้งเหรอ? ฉันว่าพวกเราจำเป็นต้องประหยัดขนาดนี้จริงๆเหรอ? แล้วก็ยังครีบปลาพวกนี้อีก ราวกับแปรงพลาสติกเลย นี่ก็กินได้เหรอ?”

“…”

ฟังคำถามของเขาแล้ว ท่านชายฉินก็หมดคำจะพูดขึ้มา เขากลอกตาไปทีพูดว่า “นี่พี่จวิ้นนายยังเป็นเด็กขี้สงสัยด้วยเหรอเนี่ย? ทำไมคำถามเยอะขนาดนี้เนี่ย? สมองปลา หางปลากับตาปลาล้วนเป็นของดีทั้งนั้น โดยเฉพาะหางปลากับครีบปลา ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาชนิดที่เชี่ยวชาญการว่ายน้ำที่สุดในมหาสมุทรเลยรู้ไหม? ครีบกับหางของพวกมันจึงเป็นส่วนที่โตมากที่สุด เอามาตุ๋นเป็นซุปดีๆ ตุ๋นเอาวุ้นปลาออกมาแล้ว สามารถบำรุงสมรรถภาพทางเพศได้ รับประกันได้เลยว่าหลังจากนายหาภรรยาเจอแล้ว คืนหนึ่งแปดครั้งแน่นอน ไม่เชื่อนายลองถามโคโกโร่ดู”

เหมาเหว่ยหลงรีบพูดว่า “น้องแกสิฉิน ทำไมเรื่องอะไรก็มาถามฉันล่ะ? ฉันไม่เคยดื่มสักหน่อย ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร?”

จงต้าจวิ้นพูดว่า “ใช่แล้ว ทำไมฉันต้องไปถามโคโกโร่ด้วย เขาทำฟาร์มปศุสัตว์ไม่ใช่ฟาร์มปลาสักหน่อย อีกอย่างจากความสามารถของโคโกโร่แล้ว คืนละแปดรอบยังต้องพึ่งการดื่มซุปนี้ด้วยเหรอ?”

ฟังคำนี้แล้วเหมาเหว่ยหลงก็หน้าตาเบิกบานขึ้นมา เขาตบไปที่ไหล่ของจงต้าจวิ้นแล้วพูดว่า “หัวหน้าห้อง ทำไมคุณถึงชอบพูดแต่เรื่องจริงครับ? ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้ว ข้อเสียข้อนี้ก็ยังไม่แก้เสียทีนะ แต่ว่าฉันชอบ!”

จงต้าจวิ้นยิ้มอย่างบื้อๆ พูดว่า “แหะๆ อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งสี่ปีนะ ฉันจะไม่รู้จักนายได้เหรอ? คืนละแปดรอบ รอบละแปดวินาที รวมๆ กันแล้วก็มีหนึ่งนาทีกว่าเลยนะ เก่งกาจมากเลย…”

สีหน้าเหมาเหว่ยหลงที่กำลังยิ้มอย่างเบิกบานอยู่ได้หุบลงไปทันที คราวนี้ถึงตาฉินสือโอวหัวเราะร่าขึ้นมาแล้ว เขาหัวเราะไปพลางชูนิ้วโป้งขึ้นมาพลาง พูดว่า “ฉันว่านะปากของพี่จวิ้นนี่ ยังคงจัดเหมือนกับตอนมหาวิทยาลัยไม่มีผิดเลย! สมแล้วที่เป็นนักขี้ในการแข่งโต้วาทีของห้องเรา เก่งจริงๆ!”

จงต้าจวิ้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “พูดไปเรื่อย ขี้ๆ อะไร นั่นเรียกว่านักอภิปราย นักอภิปราย (อภิปรายและขี้เป็นคำพ้องเสียงกันในภาษาจีน) เข้าใจไหม?”

สมัยพวกเขาอยู่มหาวิทยาลัย ทุกปีทางมหาวิทยาลัยจะจัดการแข่งขันโต้วาทีกันขึ้นระหว่างคณะ ในตอนนั้นจงต้าจวิ้นเฉิดฉายมาก เขามีฝีปากเป็นเลิศ หนังสือที่อ่านตอนปกติก็มาก พอเริ่มอภิปรายกันแล้วจึงสามารถอ้างอิงข้อมูลได้มากมาย จึงถูกเลือกให้เข้าไปในทีมอภิปรายของคณะเป็นธรรมดา

ในทีมอภิปรายจะมีนักอภิปรายอยู่ทั้งหมดสี่คน แบ่งออกเป็นนักอภิปรายมือหนึ่ง มือสอง มือสาม และมือสี่ ส่วนนักอภิปรายมือหนึ่งนั้นจะถูกเรียกว่าเป็นนักอภิปรายใหญ่หรือก็คือขี้ (ทั้งสองคำออกเสียงเดียวกัน) ส่วนนักอภิปรายมือที่สี่จะถูกเรียกว่านักอภิปรายเล็ก ซึ่งเมื่อออกเสียงออกมาก็จะพ้องเสียงกับคำว่าฉี่นั่นเอง

ตุ๋นซุปแล้ว ฉินสือโอวก็นำหนังปลาที่หั่นเป็นเส้นๆ ใช้น้ำร้อนต้มจนสุกสะเด็ดน้ำให้แห้ง แล้วนำไปคลุกเคล้ากับผักจำพวกสาหร่ายโนริ สาหร่ายคอมบุ พริก หอมใหญ่และน้ำมะนาว ส่วนเกล็ดปลาสีดำนั้นจะเอาไปทอดกรอบ หลังจากลงหม้อแล้วเกล็ดปลาได้เปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงทอดซู่ๆ ซ่าๆ เกล็ดปลาพวกนี้ทอดสุกอย่างรวดเร็ว ตักขึ้นมาโรยผงพริกและผงยี่หร่าเข้าไป กลิ่นนั้นหอมกว่าหมูสันในทอดเป็นอย่างมาก

ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือกระดูกปลาย่าง อันนี้เป็นอันที่ขึ้นเตาเป็นอันแรก แต่กลับเป็นของที่ย่างสุกได้ง่ายที่สุด ฉินสือโอวชิมดู ยังกรอบนุ่มไม่พอ ยังคงแข็งอยู่บ้าง แต่ว่าแบบนี้จะทำให้รสชาติอยู่นานกว่า หลังจากใช้น้ำมะนาวกับซอสพริกกลบกลิ่นคาวของปลาแล้ว ต้องเป็นกับแกล้มเหล้าที่ดีมากอย่างแน่นอน

กำลังย่างกระดูกปลาอยู่ เครื่องวิทยุไร้สายก็มีเสียงของนีลเซ็นดังขึ้นมาว่า “บอสครับ มีปลาติดแห ปลาตัวใหญ่!”

ฉินสือโอววางกระดูกปลาลง ปัดมือแล้วพูดว่า “ไปเถอะ ไม่ต้องอยู่วุ่นวายที่นี่แล้ว เด็กขี้สงสัย พี่พานายไปจับปลาทูน่าครีบน้ำเงิน นี่น่ะถือว่าเป็นการปฏิบัติงานทางทะเลที่ให้ความรู้สึกถึงความสำเร็จสูงสุดเลยนะ คนทั่วไปไม่มีโอกาสแบบนี้หรอก”

นั่งเรือสปีดโบ๊ดลำหนึ่ง คนทั้งกลุ่มพากันไปที่จุดที่ปลามาติดเบ็ดอย่างรวดเร็ว คลื่นทะเลรอบด้านซัดไปมา น้ำทะเลที่ใสสะอาดเปล่งประกายแสงที่ราวกับแสงสีรุ้ง นี่ก็คือแสงที่มาจากเครื่องแจ้งเตือนในทะเลนั่นเอง

ชาร์คนั่งยองๆ อยู่หัวเรือแล้วจ้องลงไปในน้ำอย่างตั้งใจ ในมือกำฉมวกแทงปลาไว้แน่น จงต้าจวิ้นถามว่าเขาเตรียมจะจับปลาเหรอ? ฉินสือโอวตอบไปว่าไม่ใช่ ชาร์คกำลังใช้ประสบการณ์ประเมินอยู่ว่าปลาที่ติดเบ็ดเป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินหรือว่าปลาฉลาม

เบ็ดราวก็เป็นวิธีการตกปลาที่ถูกกรมการประมงและรัฐเดอะมารีนไทม์ (The Marinetime Provinces) ของแคนาดาห้ามใช้เหมือนกัน เหตุผลก็เพราะมันสามารถหลอกให้ปลาฉลามและปลาวาฬมาติดกับได้ง่าย สามารถทำร้ายเจ้าพวกประมาทอย่างเจ้าพวกนี้ได้ หลังจากการสำรวจและการคัดค้านของเหล่าชาวประมง ทางรัฐบาลจึงถอยให้ โดยการห้ามใช้การตกเบ็ดราวในน่านน้ำที่ปลาวาฬและปลาฉลามชุกชุมเท่านั้น

ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปตรวจดูก่อนแล้ว เชือกเส้นนี้ตกได้ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน น่านน้ำแถบนี้ไม่มีปลาฉลาม แต่ถึงมีก็ถูกฝูงปลาวาฬหัวทุยทำให้ตกใจหนีไปแล้ว

หลังจากไล่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเข้ามาในอวนล้อมแล้ว ภายใต้การนำทางของหัวหน้าฝูงปลาวาฬหัวทุยก็ได้ว่ายต่อไปยังน่านน้ำทิศใต้แล้ว เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจมาก หากบอกว่าฝูงวาฬไปหลบหนาวกันที่มหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ยังสามารถเข้าใจได้ แต่ว่าตลอดฤดูหนาวนี้พวกมันก็อยู่ที่ฟาร์มปลามาแล้ว ทำไมถึงตอนฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเริ่มอบอุ่น เจ้าพวกนี้ถึงว่ายไปทางใต้ล่ะ?

ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงวาฬแก่ตัวที่มีจิตสำนึกที่เคยทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวและมึนงงขึ้นมา เป็นไปได้ไหมที่วาฬแก่ตัวนั้นจะใช้วิธีที่พิเศษอะไรซักอย่างเรียกพวกมันไป?

เมื่อคิดแบบนี้ เขาก็รู้สึกกังวลฝูงปลาขึ้นมา จึงตัดสินใจว่าจากนี้ไปจะทำการติดตามสถานการณ์ของฝูงปลาวาฬทุกวัน

ชาร์คมองดูสักพักแล้วก็หันกลับมาพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ บอส เป็นปลาทูน่า ไม่ใช่ปลาฉลาม!”

ฉินสือโอวพูดว่า “งั้นดี เก็บขึ้นมาเลย จับเจ้าตัวนี้ขึ้นมา!”

ชาร์คยิ้มออกมาด้วยสีหน้าปนดีใจ เก็บแขนเสื้อขึ้นมาแล้วพูดว่า “ตามสั่งเลยครับ บอส ดูผมได้เลย!”

เชือกที่เบ็ดราวใช้ไม่ใช่สายเบ็ดตกปลา เจ้าของสิ่งนี้คุณภาพดีมาก สามารถต่อกรกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ ดังนั้นในการเก็บอวนในครั้งนี้ หากว่าไม่ใช้เครื่องจักรเก็บอวนแต่ใช้แรงคนแทนแล้วล่ะก็ งั้นก็จะเป็นเหมือนการชักเย่อนั่นแหละชาวประมงชักเย่อกับปลาทูน่าครีบน้ำเงิน

นี่เป็นหนึ่งในงานที่ทดสอบร่างกายและประสบการณ์ของชาวประมงมากที่สุด ชาร์คสวมถุงมือหนาไว้ หยิบเชือกใหญ่ไว้แล้วก็เริ่มสาวขึ้นมา นีลเซ็นกับฉินสือโอวยืนช่วยเขาสาวเชือกอยู่ด้านหลัง จงต้าจวิ้นกับเหมาเหว่ยหลงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงยืนเหงื่อไหลซกอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

มองเห็นทั้งสองคนยืนบื้ออยู่ข้างๆ แล้ว ฉินสือโอวก็โกรธจนเจ็บนมขึ้นมา เขาพูดว่า “พวกนายดูหนังอยู่หรือไง? ยังไม่รีบเข้ามาช่วยอีก!”

จงต้าจวิ้นพูดอย่างแปลกใจว่า “จำเป็นต้องใช้คนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”

ฉินสือโอวหมดคำจะพูด แล้วพูดว่า “ล้อเล่นหรือไง ในน้ำเป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ตัวยาวหลายเมตรเลยนะ! แรงม้าตอนที่อยู่ในน้ำของเจ้านี่น่ะ ราวกับรถกระบะที่อยู่บนพื้นดินเลยนะ!”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท