ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1838 ประตูปิดไม่ได้แล้ว

บทที่ 1838 ประตูปิดไม่ได้แล้ว

การจะเก็บเกี่ยวฝูงปลานี้ ฉินสือโอวเลือกใช้วิธีให้เรือสองลำลากอวนล้อมจับแบบไม่มีถุง จากนั้นก็ใช้เบ็ดราวห้อยไว้ด้านหลังเสริมไว้อีกที พวกชาร์คกับซีมอนสเตอร์ฟังคำสั่งเขาแล้วก็พยักหน้า บอกว่าทำแบบนี้เหมาะสมมาก

ชื่อภาษาอังกฤษของการจับปลาแบบใช้เรือคู่ลากอวบล้อมจับนั้นเรียกว่า two-boat-purse-seine-fishing เรียกย่อๆ ว่าอวนลากคู่ เป็นวิธีที่เคยจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของการจับปลานอกชายฝั่งทะเลของโลกไว้อย่างสวยงาม

ไม่กี่ปีมานี้เทคนิคนี้ได้ถูกพัฒนาโดยประเทศญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา แต่ความจริงนี่เป็นวิธีที่ชาวประมงชาวจีนคิดค้นขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 17 แล้ว ในตอนนั้นเรือหาปลามากมายในมณฑลกวางตุ้งประเทศจีนก็ได้ใช้วิธีการจับปลาวิธีนี้ แต่ว่าเนื่องจากในตอนนั้นเครื่องจักรบนเรือมีไม่พอ บวกกับไม่ปลอดภัยและสะดวกเท่ากับการใช้เรือลำเดียวในการลากอวนล้อม ทำให้ถูกเลิกใช้ไป

ต่อมาในปี 1837 ในชายฝั่งรัฐเมนอเมริกาหลังจากที่ได้มีการทดลองใช้วิธีอวนลากคู่จับปลาบังเกอร์ได้สำเร็จแล้ว ทางชายฝั่งทะเลตะวันออกก็ได้พัฒนาอุตสาหกรรมการใช้อวนลากคู่ในการจับปลาบังเกอร์โดยการใช้เรือหาปลาพลังไอน้ำเป็นเรือแม่ ซึ่งก็คือให้เรือแม่ลำหนึ่งนำเรืออีกสองลำในการลากแห มาถึงปี 1900 เทคนิคอวนลากคู่นี้ได้แพร่กระจายไปยังชายฝั่งทะเลยุโรป แล้วก็ญี่ปุ่น จากนั้นก็กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลกในที่สุด

เมื่อเทียบกับการใช้เรือเดี่ยวในการลากอวนล้อมแล้ว วิธีนี้มีประสิทธิภาพที่สูงกว่ามาก แต่การใช้งานค่อนข้างลำบาก อย่างน้อยๆ ก็จำต้องใช้เรือหาปลาสองลำที่มีประสิทธิภาพเท่ากันในการลากอวนล้อมขนาดยาวเพื่อจับปลา แถมถ้าจะให้ดีที่สุดก็ยังต้องมีเรือแม่อีกลำอยู่ตรงกลางเพื่อสั่งการอีกด้วย หรือก็คือจำต้องใช้เรือสามลำ เรือสองลำในนั้นเป็นเรือเดินงาน อีกลำเป็นเรือแม่

ฉินสือโอวทำการเตรียมการไว้ล่วงหน้า เขาให้เรือปริ๊นเซสเป็นเรือหลัก เรืออีกสองลำขนาดเท่ากันที่ขับมาจากตัวเมืองเป็นเรือเดินงาน เรือสามลำล่องประจำตำแหน่งอยู่บนทะเล เหมือนเรือบรรทุกอากาศยานแม่ที่พาเรือพิฆาตออกรบอย่างไรอย่างนั้น มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเลย

จงต้าจวิ้นกับเหมาเหว่ยหลงเพิ่งเคยเจอกับสถานการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก พวกเขาเดินสำรวจท้ายเรือพร้อมกับฉินสือโอวรอบหนึ่ง เสร็จแล้วฉินสือโอวก็เดินเข้าไปในห้องบังคับการเรือหยิบกล้องส่องทางไกลแล้วใช้โทรศัพท์ไร้สายเพื่อสั่งการการหว่านแห ทั้งสองคนก็ตามเข้าไปในห้องบังคับการเพื่อดูฉากนี้ด้วย

ชาร์คพาพวกบูลและชาวประมงที่ร่างกายกำยำหลายคนนั่งเรือเล็กลงน้ำไปก่อน ทำการจัดวางเครื่องมือที่ให้แสงสว่างทั้งหลายบนผิวน้ำทะเล ปลาทะเลน้ำลึกล้วนเป็นพวกเข้าหาแสงทั้งนั้น ถ้าอยากจะให้พวกมันรวมกลุ่มกัน ไม่เพียงแต่ต้องให้วาฬหัวทุยไล่ต้อนพวกมันเท่านั้น ยังต้องใช้แสงไฟสว่างจ้าในการล่อพวกมันขึ้นมายังน่านน้ำชั้นบนอีกด้วย

ก่อนหน้าที่ประเทศในยุโรปและอเมริกายังไม่ได้ออกนโยบายข้อห้ามในการตกปลานั้น วิธีการตกปลาแบบอวนลากคู่เคยยึดครองอุตสาหกรรมการเก็บเกี่ยวปลาในมหาสมุทรแอตแลนติกมาแล้ว อย่างเช่นปลาแม็คเคอเร็ล ปลามง ปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาร์ดีนและปลาทูน่า ล้วนเก็บเกี่ยวโดยใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น

และที่ปลาทูน่าถูกจับกันจนแทบจะสูญพันธุ์ ก็เป็นเพราะเทคนิกการตกปลาชนิดนี้ด้วย

ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนในการระบุตำแหน่งของฝูงปลาพวกนี้อย่างแม่นยำ จากนั้นก็สั่งการให้เรือเดินงานทั้งสองลำออกตัวอย่างช้าๆ เพื่อนำอวนล้อมหว่านลงไปในน้ำ

เรือเดินงานสองลำนี้เป็นเรือหาปลาขนาดเล็กธรรมดาทั่วไป มีความยาวประมาณ 14 เมตร กว้าง 3. 5 เมตร เครื่องยนต์หลักเป็นเครื่องยนต์ใช้น้ำมันขนาด 80 กิโลวัตต์ เป็นเครื่องระบบอัตโนมัติที่ดีมาก บนเรือได้ติดตั้งกว้านและสายพานเหล็กไว้ นี่เป็นของที่นำมาหว่านแหโดยเฉพาะ ความจริงแล้วบนเรือยังมีเครื่องโซนาตรวจจับปลาแบบตั้งฉากกับเครื่องระบุพิกัดอีกด้วย แต่เมื่อมีฉินสือโอวสั่งการอยู่แล้วจึงไม่ต้องใช้เครื่องจักรพวกนี้

ภายใต้การพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน กัปตันของเรือหาปลาขนาดใหญ่ก็ยังคงได้รับเงินเดือนที่สูงอยู่ดี เพราะอะไรล่ะ? เหตุผลก็เพราะกัปตันเหล่านี้มีความสามารถในการระบุตำแหน่งปลาที่จะเก็บเกี่ยวและการหว่านแหได้ สายตาและประสบการณ์ของพวกเขานั้นมีประโยชน์กว่าเครื่องโซนาตรวจหาปลามาก สามารถช่วยเหลือเรือหาปลาขนาดใหญ่ได้มากโข

ภายใต้การสั่งการของฉินสือโอว หัวใจหลักในการจับปลาครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว นั่นก็คือหว่านแห

เรือเดินงานสองลำทำการล่องอยู่บนทะเลอย่างเชื่องช้าแต่มีประสิทธิภาพ อวนล้อมขนาดยาวพิเศษได้ถูกดึงออกแล้ว อวนล้อมผืนนี้มีความยาวรวมทั้งหมดที่สองพันห้าร้อยฟุต หรือก็คือ 760 กว่าเมตร เป็นอวนล้อมแบบที่ใหญ่ที่สุด เพื่อนำมาจับปลาทูน่าโดยเฉพาะ

ซีมอนสเตอร์ในห้องบังคับการมองดูอวนล้อมขนาดยาวพิเศษที่ค่อยๆ กางออกแล้ว ใบหน้าเขาก็เผยสีหน้าเหมือนรำลึกความหลังอยุ่ แล้วพูดว่า “ชิท นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นตาคู่คนยักษ์แบบนี้? โอ้ ชิท ชิท ตั้งแต่ที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ห้ามจับปลาทูน่าเลย ผมนึกว่าผมจะไม่ได้เห็นตาคู่คนยักษ์แบบนี้อีกแล้วนะเนี่ย นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดียังสามารถเห็นเจ้าเพื่อนยากนี้ได้ โชคดีจริงๆ!”

ตาคู่คนยักษ์เป็นฉายาเรียกอวนล้อมที่ใหญ่พิเศษ เหล่าชาวประมงอยากจะเรียกมันแบบนี้ เพราะว่าปีกทั้งสองของอุปกรณ์ชนิดนี้ยาวมากแล้วก็มีความยาวเท่ากันทั้งสองฝั่ง สามารถเปรียบได้กับดวงตาบนหน้าของคนได้

ในทางกลับกันเครื่องมือที่เรียกว่าคนยักษ์ตาเดียว ก็คืออวนลากเดี่ยวนั่นเอง เหล่าชาวประมงทำการตั้งฉายาต่างๆ นานาให้กับเครื่องมือของพวกเขา เหมือนกับในวงการมาเฟียนั่นแหละ ที่มีพวกคำย่อ โค้ดลับ กับภาษาเฉพาะในกลุ่มนั่นเอง

ทำการเก็บแหจากตรงกลางของปีกทั้งสอง ซึ่งก็คือจุดที่เป็นถุงอวน ความกว้างของถุงอวนของอวนลากคู่นั้นค่อนข้างสั้น ขนาดของถุงอวนเมื่อดึงออกแล้วก็มีความยาวแค่ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบเมตรเท่านั้น ส่วนปลายบนและล่างของมันได้มีปลายตาข่ายกับห่วงเหล็กบนและล่างอยู่ ปลายส่วนบนกับห่วงส่วนล่างจะมีบอลหนังลูกเล็กติดอยู่ ส่วนปลายด้านล่างและห่วงด้านล่างจะมัดลูกดิ่งไว้

แบบนี้พอปีกทั้งสองของอวนล้อมถูกดึงออก เมื่อผ่านการยึดกันของเชือกมานและอวนวาร์ปแล้ว ส่วนกลางของปากอวนบนล่างจะมีตาข่ายอวนสามเหลี่ยมอยู่ ลูกบอลลอยขึ้น ลูกดิ่งจมลง กับดักอันแยบยลก็ได้เปิดออกแล้ว

ภายใต้การไล่ต้อนของวาฬหัวทุยฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างตื่นกลัว บนผิวน้ำมีแสงไฟจ้าส่องประกายอยุ่ ความจริงแสงไฟนี้ไม่ได้ดึงดูดปลาทูน่าทั้งหมด แต่แค่ดึงดูดปลาจำนวนหนึ่งได้ก็พอแล้ว ปลาทูน่ามีความเกาะกลุ่มกันมาก ปลาที่ถูกแสงจ้าดึงดูดแล้วว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ จะทำให้ปลาตัวอื่นๆ ว่ายตามมาด้วย

กางอวนล้อมออก ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสังเกตทิศทางการว่ายของฝูงปลาทูน่าเหล่านี้ พวกมันว่ายจากทะเลน้ำลึกมายังผิวน้ำทะเล ดังนั้นรูปแบบการว่ายของพวกมันจึงเป็นแบบพุ่งขึ้นมาข้างบนเป็นเส้นเดียว ไม่ได้เหมือนกับการว่ายแบบเรียงตัวแนวนอนเหมือนฝูงปลาทั่วไปที่ทำให้กลุ่มปลายาวออกไปข้างๆ

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมองลงไปจากด้านบน มีความรู้สึกว่าฝูงปลาในตอนนี้มีรูปแบบการว่ายคล้ายรูปทรงกระบอก แน่นอนว่าไม่ได้เป็นทรงที่ดูเป็นระเบียบนัก เพราะก็มีปลาบางตัวที่ตื่นกลัวมากเกินไป จนทำให้หนีออกไปทางอื่นด้วย

ปลาพวกนี้จะกลายเป็นปลาที่เล็ดลอดออกไป ฉินสือโอวยังจะยังไม่สนใจพวกมัน เพราะเบ็ดราวที่วางไว้ด้านหลังก็ทำไว้เพื่อปลาที่เล็ดลอดออกไปได้โดยเฉพาะอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือล้อมอวน ต้องเก็บเกี่ยวฝูงปลาใหญ่ขึ้นมา!

พอฝูงปลาได้เข้ามาในน่านน้ำที่วางอวนล้อมไว้แล้ว ฉินสือโอวก็ดีดนิ้วแล้วพูดในโทรศัพท์ไร้สายว่า “เสร็จแล้วเพื่อนฝูงทั้งหลาย เตรียมปิดประตู ต้อนรับการเก็บเกี่ยวที่สวยงามได้เลย!”

ห่วงล่างของอวนนั้นนอกจากลูกดิ่งแล้วยังมีห่วงมานอยู่ด้วย ถ้าจะทำการปิดอวนแล้ว แค่บังคับมันไว้ก็จะทำให้อวนดิ่งลงไปแล้วก็ทำการปิดก้นอวนได้อย่างรวดเร็ว

ขั้นตอนการปิดห่วงมานดำเนินการได้เป็นปกติ แต่ว่าตอนที่จะทำการปิดอวนจากด้านบนลงด้านล่างนั้นกลับค่อนข้างลำบาก คนบังคับเรือของเรือลำหนึ่งได้ตะโกนออกมาว่า “บอส ไม่ได้ครับ กระแสน้ำขึ้นน้ำลงแรงเกินไป อวนส่ายได้รุนแรงมากครับ!”

วิธีการจับปลาแบบอวนลากคู่นั้นสามารถถูกกระแสน้ำลึก กระแสลม และกระแสน้ำขึ้นน้ำลงของฟาร์มปลาจำกัดไว้ได้ หนึ่งก็คือเรือหาปลาที่เป็นตัวเดินงานจะค่อนข้างลำเล็ก ความเร็วจะค่อนข้างช้า สองคืออวนล้อมใหญ่เกินไป แม้ว่าจะเป็นแบบตาใหญ่พิเศษ แต่ว่าเส้นตาข่ายก็ใหญ่ตามด้วย ทำให้แรงกระแทกที่ได้รับจากกระแสน้ำทะเลค่อนข้างมาก บวกกับในนั้นยังเก็บเกี่ยวปลาทูน่าที่มีร่างกายที่แข็งแรงและดุดันไว้อีก ไม่ระวังนิดเดียวจะทำให้อวนขาดได้ง่าย!

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท