ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1834 ปาร์ตี้ขึ้นบ้านใหม่

บทที่ 1834 ปาร์ตี้ขึ้นบ้านใหม่

ฉินสือโอวหันกลับไปมองทีหนึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ชาร์คที่อยู่ข้างๆ อธิบายว่า “เธอกลับไปหาคนมาช่วยน่ะครับ คุณดูพรมนั่นสิครับขนาดใหญ่เกินไป แถมเธอยังพาเด็กมาด้วยอีก จะเอาไปได้อย่างไรครับ?”

ผู้หญิงพาเด็กชายคนหนึ่งหญิงคนหนึ่ง พวกเขานั่งยองๆ ดูเครื่องครัวที่วางอยู่บนพื้น จากนั้นกลิ่นหอมของปลาย่างก็ถูกลมพัดออกไป พวกเขาเอียงคอมองไปทางเตาย่าง ดวงตาเปล่งประกาย มุมปากก็เปล่งประกายเช่นกัน

ฉินสือโอวกวักมือ เด็กสองคนวิ่งหลุนๆ เข้ามา เด็กผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าตัวประมาณเถียนกวา เด็กผู้หญิงเป็นพี่สาว น่าจะอายุประมาณหกขวบ เขาตัดเนื้อปลาวางไว้บนจานแล้วยื่นให้พวกเขา เด็กทั้งสองคนพูดขอบคุณอย่างดีใจ พอรับไปแล้วก็ใช้มือหยิบเนื้อปลากินกันอย่างมีความสุข

จงต้าจวิ้นมองดูท่าทางการกินปลาย่างของเด็กทั้งสองคนแล้ว ก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ พูดว่า “ธุรกิจนี้ฉันพี่จวิ้นของพวกนายทำแน่แล้ว ส่งไปประเทศจีนต้องกำไรแน่นอน”

เหมาเหว่ยหลงชอบแกล้งแหย่เขา พูดว่า “นายแน่ใจเหรอ ว่าแผงขายปิ้งย่างในประเทศจีนจะทำอร่อยสู้แบรนด์ต้าฉินได้? ดูสิว่าเขาใช้น้ำมันไปเท่าไร? ไหนยังมีน้ำมะนาวกลบกลิ่นคาวอีก ปิ้งย่างที่ประเทศจีนมีใช้น้ำมะนาวด้วยเหรอ?”

จงต้าจวิ้นปัดมือพูดว่า “เรื่องนั้นไม่กลัว มากสุดฉันก็แค่ไปทำร้านปิ้งย่างมาร้านหนึ่ง ขายเองไปด้วยทำเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูปส่งตามบ้านด้วย ฉันหาคนมาย่างเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป ดีไม่ดีอาจจะสามารถขายราคาแพงขึ้นได้ด้วยนะ”

ฉินสือโอวพยักหน้าพูดว่า “เฮ้ย นี่เป็นความคิดที่ดี ทำได้จริงนั่นแหละ ที่นายทำเป็นกึ่งสำเร็จรูปน่ะ นอกเหนือจากนี้หากรู้สึกว่ากลิ่นคาวปลาแรงเกินไปนะ นั่นน่ะง่าย ก่อนหน้าที่ฉันจะใส่เข้าไปในเครื่องแยกน้ำ ก็เอาไปแช่ในน้ำมะนาวก่อนก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เด็กสองคนกินเนื้อปลาเฉาฮื้อไปครึ่งตัว สุดท้ายตอนที่แม่ของพวกเขามา มือทั้งสองคนเต็มไปด้วยน้ำมัน แตะท้องไว้แล้วเรอออกมาไม่หยุด

แม่ของเด็กพาผู้ชายร่างใหญ่มาสองคน หลังจากทั้งสองคนได้กลิ่นหอมของปลาย่างที่ลอยมากับอากาศแล้วก็ถามว่า “คุณผู้ชายครับ ปลาย่างของคุณขายได้ไหมครับ? พูดจริงนะครับ กลิ่นนี่ช่างดึงดูดคนเสียจริง”

ฉินสือโอวดีใจเสียจนใจกว้างขึ้นมา เขาดูแล้วทั้งสองคนน่าจะพักอยู่ไม่ไกลมาก สามารถผูกมิตรไว้ได้ ดังนั้นจึงเก็บปลาแห้งไว้จำนวนหนึ่งไว้กินตอนดึก ที่เหลือยกให้ทั้งสองคนไป บอกว่าไม่คิดเงิน

ชายร่างใหญ่หนึ่งในนั้นมองดูฉินสือโอวทีหนึ่ง มองดูปลาแห้งในมือแล้วก็หัวเราะขึ้นมา พูดว่า “เป็นคุณฉินคนจีนจากเกาะแฟร์เวลใช่ไหมครับ? มิน่าล่ะ อาหารทะเลที่ฟาร์มปลาของคุณผลิตออกมาน่ะดีจริงๆ เสียดายแพงเกินไป”

ชายหนุ่มอีกคนก็เผยสีหน้านึกออกขึ้นมา หัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่ครับ ถ้าอ้างอิงจากราคาของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินแล้ว ปลาแห้งพวกนี้คงเป็นเงินไม่น้อยเลย ขอบคุณมากนะครับ”

คนในครอบครัวนี้ซื้อพรมปูพื้นกับกาต้มน้ำไป หลังจากนั้นจนถึงตอนที่พวกเขากินข้าวเสร็จ ก็ไม่มีใครมาซื้อของอีกเลย หลักๆ ก็เพราะบนถนนเส้นนี้มีคนสัญจรค่อนข้างน้อย

จงต้าจวิ้นนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนดื่มเบียร์อย่างมีความสุข พูดว่า “ให้ตายเถอะ พี่จวิ้นกลับไปต้องไปตั้งใจทำธุรกิจนี้แล้วล่ะ ต่อไปก็มาซื้อบ้านเดี่ยวที่เซนต์จอห์นด้วย ทำเลแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ ที่ประเทศจีนเงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้หรอก”

เหมาเหว่ยหลงพูดเสริมว่า “ห้าหกล้านดอลลาร์แคนาดาเลยนะ คิดเป็นเงินหยวนแล้ว ก็คือสามสิบล้านหยวน บวกกับค่าภาษีที่ดินในอนาคตเข้าไป นี่พี่จวิ้นนายคิดจะซื้อบ้านจริงๆ เหรอ? ตอนซื้อก็อย่าลืมเรียกฉันไปด้วยนะ ฉันจะเช่าห้องของนายห้องหนึ่ง”

“ไปไกลเลย” จงต้าจวิ้นหัวเราะขึ้นมา “ฉันจะซื้อหลังเล็กหรอกนะโอเคไหม?”

ฉินสือโอวหัวเราะด้วย แต่เขารู้สึกว่าถ้าหากตั้งใจทำธุรกิจปลาน้ำจืดแห้งดีๆ แล้วล่ะก็ จงต้าจวิ้นหาเงินได้แน่นอนไม่มีปัญหา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าหากตลาดปลาแห้งในประเทศจีนไม่เลวแล้วล่ะก็ เขาสามารถส่งปลาทะเลแห้งให้จงต้าจวิ้นไปขายได้ด้วย แต่แน่นอนว่าราคาจะไม่เหมือนกับปลาน้ำจืดที่ต้นทุนเป็นศูนย์พวกนี้

ช่วงเย็น ร้านขายอุปกรณ์ในครัวเรือนได้ส่งพวกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่สั่งไว้มาให้ ในมือมีลูกน้องนี่ไม่เหมือนกันเลยจริงๆ พวกชาวประมงมาช่วยกัน ชาร์คกับซีมอนสเตอร์พาชายฉกรรจ์ห้าหกคนมาด้วย ไม่นานก็จัดการเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์กองเบ้อเริ่มจนเสร็จ

ฉินสือโอวปัดมือ พูดว่า “ถือโอกาสที่วินนี่ยังไม่ย้ายมา คืนนี้พวกเรามาจัดปาร์ตี้ขึ้นบ้านใหม่ดีกว่า ทุกคนอยากกินอยากดื่มอะไรรีบบอกมาได้เลย คืนนี้มาสุดเหวี่ยงกัน!”

คนแคนาดามีธรรมเนียมการจัดปาร์ตี้ย้ายบ้านใหม่ เป็นหลักการเดียวกันเหมือนงานเลี้ยงพิธีขึ้นบ้านใหม่ของคนจีนนั่นแหละ บวกกับที่จงต้าจวิ้นเพิ่งมาถึงแคนาดาด้วย ฉินสือโอวเองก็อยากให้เขาได้สัมผัสกับความครื้นเครงของการรวมตัวกันในสไตล์อเมริกาด้วย

เหล่าชาวประมงดีใจกันขึ้นมา ชาร์คเอาเงินแบงค์ย่อยออกมาแบ่งให้พวกเขา ทุกคนพากันแยกย้ายไปซื้อของที่จำเป็นในงานปาร์ตี้คืนนี้กันที่ร้านสะดวกซื้อและห้างซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนฮิวจ์ก็ติดต่อกับเพื่อนสนิทในท้องที่เพื่อจะหาชุดเครื่องเสียงสักชุด

ฉินสือโอวพาพาวลิสและเชอร์ลีย์ไปเชิญเพื่อนบ้านละแวกเดียวกันให้มาร่วมปาร์ตี้ด้วย ตอนนี้เขาเป็นคนดังของเมืองนี้ แค่แนะนำตัวเองไม่กี่คำ พอเพื่อนบ้านได้ยินว่าเป็นฉินคนจีน ก็พากันดีใจแล้วก็รับปากว่าจะมาร่วมงานปาร์ตี้ของเขาด้วย

พอถึงช่วงพลบค่ำ เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงก็มากัน แทบจะทุกบ้านเลย พวกเขานำจานชามมากันเอง ในนั้นมีอาหารและสลัดหลากหลายรูปแบบ ยังมีคนนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาด้วย เพื่อแสดงออกถึงความเป็นมิตรอย่างที่สุด

จงต้าจวิ้นมองดูสักพักแล้วก็พูดว่า “ใครกันที่บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านของประเทศทุนนิยมนั้นเย็นชา? ฉันดูแล้วนี่น่ะดูเป็นมิตรกว่าเพื่อนบ้านในประเทศจีนอีกนะ”

เหมาเหว่ยหลงพูดว่า “เฮ้อ เรื่องเป็นอย่างนี้ นายว่าถ้าเกิดหม่าหยินย้ายไปที่ชุมชนหนึ่งในเมืองของพวกนาย จากนั้นก็ประกาศให้กับคนในละแวกนั้นว่าจะจัดปาร์ตี้ พวกเพื่อนบ้านจะเย็นชาเหรอ?”

จงต้าจวิ้นกำลังจะเถียงกลับ แต่เหมาเหว่ยหลงได้พูดดักเขาไว้ก่อนว่า “เชื่อฉัน ตาฉินในตอนนี้น่ะสุดยอดมาก ชื่อเสียงและฐานะของเขาในเซนต์จอห์นนั้น สูงกว่าที่หม่าหยินมีในประเทศจีนมาก! นี่น่ะเป็นถึงเมืองแห่งอุตสาหกรรมการประมงนะ แบรนด์ต้าฉินในตอนนี้ดูแลจัดการฟาร์มปลาของเมืองในละแวกนี้หลายแห่งเลย!”

ความจริงเหมาเหว่ยหลงยังไม่ได้พูดถึงอีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือชุมชนนี้เป็นหนึ่งในชุมชนระดับสูงของเซนต์จอห์น ผู้คนในนี้จึงค่อนข้างมีระดับ และก็ยอมรับวิธีการในการใช้งานปาร์ตี้สร้างมนุษย์สัมพันธ์แบบนี้ด้วย อีกอย่างก็คือวัฒนธรรมปาร์ตี้ของประเทศนี้ค่อนข้างแพร่หลายมาก แม้จะเป็นคนแปลกหน้ากันก็ไม่มีการปฎิเสธคำเชิญที่ส่งไปถึงบ้าน

ฉินสือโอวทำการคัดเลือกอาหารทะเลที่เป็นเอกลักษณ์จากร้านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินมา มีทั้งปูดันเจเนสส์ที่ราคาแพง ปลาลิ้นหมาจากทะเลลึก ปลาค็อดคุณภาพสูงหลากหลายพันธุ์ ปลาทูน่าครีบเหลืองทั้งตัว แล้วก็ยังมีปลาลิ้นหมาพันธุ์มินิที่กำลังนำเข้าไปในตลาด มีแม้กระทั่งกุ้งมังกรเจ็ดสีด้วย แค่วัตถุดิบอาหารก็มูลค่ากว่าหนึ่งแสนเหรียญแล้ว!

ความจริงแล้วไม่เพียงแต่จงต้าจวิ้นเท่านั้นที่ตกใจ ตัวท่านชายฉินเองก็ตกใจด้วย พลังในการเรียกรวมพลนี้มากมายเกินไปแล้ว

สวนดอกไม้ของตึกอพาร์ทเม้นท์ค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่ถึงห้าร้อยห้าสิบกว่าตารางเมตร เกือบจะหนึ่งหมู่เลย แต่เพื่อนบ้านที่มามีค่อนข้างมาก ถึงขนาดว่าทำให้พื้นที่ๆ กว้างขวางดูแล้วอึดอัดไปเลย

ช่วงเวลาพลบค่ำ เสียงดนตรีที่ไพเราะดังขึ้นมา เพราะว่าอยู่ใกล้โรงพยาบาล เสียงดนตรีจึงดังมากไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกฟ้องข้อหาสร้างความรำคาญให้ผู้คนได้ ดังนั้นฮิวจ์จึงทำการปรับระดับเสียงอยู่หลายครั้ง เพื่อปรับให้เสียงดนตรีอยู่ในระดับที่สามารถครอบคลุมไปทั่วงานปาร์ตี้ แต่ก็ไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้าน

ชาร์คได้สั่งเบียร์จากซูเปอร์มาร์เก็ตมาจำนวนมาก ก่อนจะเริ่มงานปาร์ตี้ เหล่าชาวประมงพากันถือเบียร์ขวดยาวกันคนละขวด ทุกคนรวมกันเป็นกลุ่มแล้วก็ลากฉินสือโอวเข้าไป จงต้าจวิ้นก็อยากเข้าไปร่วมด้วย เหมาเหว่ยหลงรีบดึงเขาไว้ พูดเสียงเบาว่า “ท่านหัวหน้าห้อง ถ้าพวกเราเข้าไปได้กลายเป็นเถ้าระเบิดแน่!”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน