ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1841 ดื่มเบียร์เคียงคู่คลื่น

บทที่ 1841 ดื่มเบียร์เคียงคู่คลื่น

อวนรอบนี้ที่หว่านลงไปจับปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยสี่สิบสองตัว ตอนที่สรุปตัวเลขออกมานั้น แม้ว่าเหล่าชาวประมงจะรู้ว่าฟาร์มปลามีปลาทะเลที่ล้ำค่ามากมาย แต่ก็ยังคงอึ้งและยากที่จะเชื่อ

ปลาทูน่าหนึ่งร้อยสี่สิบสองตัว ในจำนวนนั้นมีตัวที่ความยาวถึงเกณฑ์มาตรฐานการเก็บเกี่ยวอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้าตัว ตามกฎหมายของแคนาดา ปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่สามารถเข้าตลาดได้ต้องมีความยาวเกินหนึ่งเมตรแปดห้า สูงกว่าผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อีก

แต่สำหรับสถานที่ที่จะทุ่มตลาดในครั้งนี้ กฎหมายญี่ปุ่นไม่ได้มีกฎบังคับทำนองนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกปลาพวกเขาก็สามารถขายได้

แม้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินอีกสิบเจ็ดตัวทจะไม่ถึงเกณฑ์ แต่ความยาวก็เกินกว่าหนึ่งเมตรห้า ปลาเล็กที่โตไม่ทันตัวอื่นในฝูงนี้ แต่ฉินสือโอวก็ปล่อยพวกมันไป แถมยังแผ่พลังโพไซดอนให้พวกมันด้วย ให้พวกมันสามารถเติบโตได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น

กล่องอุณหภูมิห้ากล่องต่อหนึ่งกลุ่มได้ถูกส่งเข้าไปในคลังเรือ เรือปริ๊นเซสทำการรับกล่องอุณหภูมิไปยี่สิบห้ากลุ่ม พอบัตเลอร์ได้ข่าวนี้แล้ว ก็รีบนั่งเรือลาดตระเวนมาจากท่าเรือทันที

ฉินสือโอวลากเขาขึ้นมาบนเรือ ขมวดคิ้วพูดว่า “นายมาทำไมเวลานี้? รออยู่ที่ฟาร์มปลาของฉันก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ดูสิ เรือลาดตระเวนของฉันเป็นแบบแรงม้าสูงนะ นี่น่ะเป็นการเปลืองน้ำมันชัดๆ!”

บัตเลอร์พูดอย่างดีใจว่า “ช่างหัวน้ำมันเครื่องเถอะ เพื่อน พวกนายได้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมายี่สิบห้ากลุ่มแล้วจริงเหรอ? คุณภาพเนื้อเป็นอย่างไรบ้าง? ยังคงได้มาตรฐานอันดับหนึ่งของต้าฉินซีฟู้ดใช่ไหม?”

ฉินสือโอวยักไหล่ด้วยท่าทีว่าแน่นอนแล้วพูดว่า “นายก็รู้ ฟาร์มปลาของฉันผลิตแต่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ดีที่สุดเท่านั้น!”

บัตเลอร์หายใจเฮือกหนึ่ง แล้วก็วิ่งเข้าไปในฟาร์มปลาอย่างรวดเร็ว มองดูกล่องเก็บอุณหภูมิสีขาวเป็นลังๆ ด้วยความตื่นเต้นสุดขีด ราวกับกำลังลูบคลำร่างกายของสาวงามอยู่ เขาเข้าไปลูบคลำอย่างออกรสออกชาติ แล้วพูดพึมพำว่า “โอ้ พระเจ้า ฉันยังนึกว่านายพูดโม้เสียอีก! ปลาทูน่าหนึ่งร้อยกว่าตัวจริงๆด้วย! ล้วนเป็นปลาทูน่าคุณภาพดีทั้งนั้น! นี่เป็นเงินเท่าไร? ฉันจะจัดการตลาดของคนญี่ปุ่นซะ! ฉันจะครอบครองตลาดของคนญี่ปุ่น!”

จงต้าจวิ้นฟังภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกาเหนือของเขาไม่ออก จึงถามฉินสือโอวว่าคนดำคนนี้พูดอะไร ฉินสือโอวบอกว่าไม่ต้องสนใจ พวกเรากลับเรือไปดื่มกาแฟ เจ้าหมอนี่ใกล้จะบ้าแล้ว

จริงตามนั้น หลังจากนั้นบัตเลอร์ก็ยืนยันว่าจะอยู่ในห้องแช่แข็งในคลัง เขาไม่สนเรื่องความเย็น ใส่เสื้อขนเป็ดตัวหนา ทำการเปิดกล่องอุณหภูมิทีละกล่องเพื่อตรวจเช็คปลาด้านใน ราวกับว่าถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองจะไม่เชื่ออย่างไรอย่างนั้น

ยุ่งกันทั้งวัน ในที่สุดเหล่าชาวประมงก็ได้พักกันเสียที ตอนนี้เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน แสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินได้สาดส่องไปบนผิวน้ำทะเล ทำให้มหาสมุทรดูอ่อนโยนขึ้นมา ลมทะเลก็เหมือนจะเบาลงไปมาก

ตามแผนที่วางไว้ ชาวประมงส่วนใหญ่ได้นั่งเรือหว่านอวนสองลำกลับไปที่ฟาร์มปลา ส่วนฉินสือโอวก็พาพวกชาร์คกับลูกน้องคนสนิทไม่กี่คนยังคงอยู่บนเรือปริ๊นเซสเมล่อนกัน

เหล่าชาวประมงเตรียมจะจากไป ฉินสือโอวให้อีวิลสันกับบูลไปลากปลาใหญ่มาสองตัว บัตเลอร์ถูกพวกเขาพาออกมา จึงถามอย่างร้อนใจว่า “ทำอะไรทำอะไร? พวกนายจะเอาปลาไปไหนกัน?”

ฉินสือโอวตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ใจเย็นเพื่อน นายใจเย็นก่อน โอเค? ลูกน้องของฉันทำงานมากันทั้งวันเหนื่อยมากแล้ว ฉันต้องให้รางวัลพวกเขาหน่อย”

เหล่าชาวประมงเก็บของเสร็จแล้วกำลังจะจากไป ชาร์คเปิดกล่องออก เบิร์ดควงมีดฆ่าปลาอย่างชำนาญเดินเข้าไป จากนั้นกล้ามแขนเบ่งออก ทำการลากปลาทูน่าตัวหนึ่งที่มีขนาดความยาวสามเมตรครึ่งออกมา ลงมีดอย่างรวดเร็ว ตัดไปที่เนื้อสีขาวหิมะที่มีสีออกชมพูระเรื่อออกเป็นชิ้นๆ

ชาร์คได้เตรียมกล่องอุณหภูมิขนาดเล็กไว้จำนวนหนึ่ง ในนั้นก็มีเกล็ดน้ำแข็งด้วย เขานำชิ้นเนื้อปลาทูน่าใส่เข้าไปในกล่องเก็บอุณหภูมิ ชาวประมงทุกคนได้คนละหนึ่งชิ้น ปลาทูน่าครีบน้ำเงินขนาดสามเมตรครึ่งสองตัว คนหนึ่งจะได้ชิ้นละประมาณสี่สิบปอนด์

เหล่าชาวประมงพากันผิวปากขึ้นมา แซ็กพูดด้วยสีหน้าเบิกบานว่า “บอส ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี แต่ผมต้องพูดแทนลิ้นกับกระเพาะผมคำหนึ่งว่า ขอบคุณความใจกว้างของคุณครับ!”

“ความจริงฉันหวังว่าพวกนายจะเอากลับไปให้คนในบ้านลองชิมดูนะ ดังนั้นพวกนายควรจะขอบคุณฉันแทนครอบครัวพวกนายต่างหาก” ฉินสือโอวหัวเราร่า

บัตเลอร์ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าปวดใจ ทุกครั้งที่เบิร์ดลงมีดตัดปลา ริมฝีปากเขาก็จะสั่นไปที ราวกับว่าที่มีดตัดลงไปนั้นไม่ใช่เนื้อปลา แต่เป็นเนื้อของเขาอย่างนั้น

จงต้าจวิ้นสังเกตเห็นถึงจุดนี้ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “จำเป็นต้องขั้นนี้เลยเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ พูดว่า “แน่นอนสิ นายรู้ไหมว่าเจ้าพวกนี้ราคาเท่าไร? ตาฉินไม่เคยพูดมาก่อน แต่ถังทองหลักของฟาร์มปลาของเขาก็มาจากเจ้าตัวนี้นี่แหละ ปลาขนาดประมาณนี้ตัวหนึ่ง ที่ญี่ป่นสามารถขายได้ราคาถึงสองล้านดอลลาร์สหรัฐเลย!”

“เฮ้ย เวอร์เกินไปหรือเปล่า?” สีหน้าจงต้าจวิ้นเปลี่ยนไปในทันที “สองล้านดอลลาร์สหรัฐ? ปลาสองตัวก็เท่ากับสี่ล้านดอลลาร์สหรัฐ? ให้ตายสิปลานี่ทำจากทองคำหรือไง?”

เหมาเหว่ยหลงพูดว่า “นั่นเป็นราคาในงานประมูล แต่ว่าในร้านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน ปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็เป็นผลิตภัณฑ์ล้ำค่าทางทะเลระดับสูงสุดอยู่ดี น่าจะปอนด์ละประมาณสองร้อยดอลลาร์สหรัฐได้มั้ง? ที่นายเห็นแบ่งกันไปคนละสี่สิบปอนด์น่ะ ก็เท่ากับเป็นเงินแปดพันดอลลาร์สหรัฐ”

“แปดพันดอลลาร์สหรัฐ? ห้าหมื่นหยวน? ปลาชิ้นเดียวเนี่ยนะ?” จงต้าจวิ้นยังคงตื่นตกใจอยู่

เหมาเหว่ยหลงโอบเขาไว้แล้วพูดว่า “อย่างนี้แหละนะคุณหัวหน้าห้อง โลกของคนมีเงินในปัจจุบันน่ะพวกเราไม่เข้าใจหรอก”

จงต้าจวิ้นมองเขาด้วยหางตาไปสองที แล้วพูดช้าๆว่า “คุณโคโกโร่ คุณเองก็เป็นคนชั้นกระฎุมพีใช่ไหม? แล้วก็นะ คุณยังเป็นคนที่ทำงานเพื่อสังคมและประเทศด้วยนี่ เป็นข้าราชการมารุ่นสองหรือรุ่นสามแล้วนะ? สรุปก็คือคนยากจนอย่างผมกับคุณไม่ใช่คนโลกเดียวกันแน่”

เหล่าชาวประมงรู้ว่าปลาทูน่าครีบน้ำเงินพวกนี้มีค่าแค่ไหน และรู้ถึงรสชาติอันเลิศรสของเนื้อปลากับคุณค่าทางสารอาหารของมันดี พอได้รับมาแล้วก็จากไปกันอย่างดีใจสุดขึด

สุดท้ายได้เหลือหัวปลาอันมหึมาและก้างปลาสีขาวโพรนไว้ นอกจากนี้ยังมีหนังปลา เกล็ดปลากับเศษเนื้อปลาจำนวนหนึ่ง ฉินสือโอวให้เบิร์ดกับชาร์คจัดการเก็บกวาดของพวกนี้ แล้วพูดกับจงต้าจวิ้นว่า “คืนนี้บนเรือ ฉันจะใช้เจ้านี่แหละมาเป็นแกล้มเหล้าให้นาย”

จงต้าจวิ้นหัวเราะแล้วพูดว่า “นายนี่ขี้เหนียวเกินไปหรือเปล่า ให้กินเนื้อเป็นชิ้นไม่ได้เหรอ?”

“ของพวกนี้มีราคากว่าเนื้ออีกนะ ตาฉินเป็นสายกิน พออยู่ในมือของเขาแล้วเจ้าสิ่งนี้ก็อร่อยกว่าเนื้อได้!” เหมาเหว่ยหลงเคยกินกระดูกปลา หนังปลากับเกล็ดปลาย่างที่ฉินสือโอวทำมาแล้ว จึงรู้ถึงความพิเศษของของชิ้นนี้ดี

พระอาทิตย์ยังไม่ได้ตกดิน ยังคงมีแสงสว่างอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า บนเรือปริ๊นเซสจึงยังคงมีแสงส่องสว่างอยู่

ลมทะเลแรงเกินไปไม่เหมาะกับการปิ้งย่าง ฉินสือโอวจึงย้ายเตาย่างมาที่หน้าประตู แล้วก็ย้ายกล่องหลายอันมาบังไว้ จากนั้นก็เอากระดูกปลาที่คัดสรรมาอย่างดีไปย่างบนไฟอ่อนๆ

จงต้าจวิ้นมองดูอย่างแปลกใจ ถามว่า “อันนี้สามารถเอามาย่างกินได้เหรอ?”

ฉินสือโอวทอดถอนใจแล้วพูดว่า “ความจริงแล้วต้องเอาไปแยกน้ำจากนั้นก็ตากแห้งก่อน แต่ว่าบนทะเลทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันลองดูแล้วกัน สรุปก็คือวันนี้นายต้องได้ชิมรสชาติที่ไม่เหมือนใคร รับรองว่านายไม่ได้มาแคนาดาเสียเที่ยวแน่!”

ทั้งสามคนล้อมวงกันเข้ามา มื้อเย็นสามารถเตรียมแบบง่ายๆ ได้ เขานำเนื้อปลามาสับละเอียดแล้วมาทำเป็นเทมากิ วิธีการกินที่เทซึกะ โกดะสอนเข้ามานั้น ไม่เลวจริงๆ

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท