ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1844 ฉลามกบที่ติดเบ็ด

บทที่ 1844 ฉลามกบที่ติดเบ็ด

หู่จือกับเป้าจือเป็นงานแล้วจริงๆ เมื่อได้ยินเสียงร้องตกใจของจงต้าจวิ้นแล้ว พวกมันสองตัวก็เงยหน้าจ้องไปที่เขาด้วยสายตาอำมหิตอย่างไม่ได้นัดหมาย สายตานั้นราวกับกำลังเตือนให้เขาหุบปาก อย่าให้เหมาเหว่ยหลงสังเกตถึงวีรกรรมของพวกมันอย่างไรอย่างนั้น

กางเกงของเหมาเหว่ยหลงเปียกชุ่มไปแล้ว ตัวเขาเองไม่รู้ตัวเลย ยังคงทรุดตัวอยู่บนกราบเรือแล้วอ้วกต่อไป

ฉินสือโอวกังวลว่าเขาจะตกลงไปในทะเล จึงเข้าไปดึงตัวเหมาเหว่ยหลง พร้อมกับกระทืบเท้าไล่หู่จือกับเป้าจือไป พูดว่า “ไปๆๆ นี่พวกนายทำอะไรกัน? ต้องเคารพผู้ใหญ่นะรู้ไหม? นี่เป็นคุณอาเหมาของพวกนาย พวกนายฉี่ใส่คุณอาเหมาของพวกนายทำไม?”

หู่จือกับเป้าจือสะบัดก้นไปที แล้วก็จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

จงต้าจวิ้นพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ฉันว่านะฉิน นายน่ะให้ท้ายเจ้าสองตัวนี้มากเกินไปแล้วหรือเปล่า? ยอมให้พวกมันฉี่บนตัวของโคโกโร่อย่างนี้น่ะเหรอ? ไม่ได้นะ ในฐานะพี่น้องของโคโกโร่แล้ว เรื่องนี้ฉันยอมไม่ได้”

ฉินสือโอวอธิบายว่า “ความจริงนายน่ะเข้าใจผิดแล้ว เจ้าเด็กสองตัวนี้ไม่ได้ฉี่เพื่อเหยียดหยามโคโกโร่หรอก นี่คือการยืนยันความสัมพันธ์ของพวกมันต่างหาก จะมีแต่คนที่พวกมันคิดว่าเป็นคนกันเองเท่านั้น จึงจะถูกฉี่ใส่ได้ ก็เหมือนกับการที่พวกมันฉี่เพื่อสร้างอาณาเขตนั่นแหละ”

จงต้าจวิ้นก็ดื่มไปค่อนข้างมากเหมือนกัน สมองใกล้จะเป็นของเหลวไปแล้ว เขาส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ ฉินสือโอวจึงเรียกเขามาพาเหมาเหว่ยหลงเข้าไปในห้องโดยสารเรือด้วยกัน พอได้ประคองเหมาเหว่ยหลงแล้ว เขาก็ลืมเรื่องที่จะเอาเรื่องต่อไปหมดเลย

อยู่บนทะเลไปสองวันสองคืน พวกเขาก็ทำการจับปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้อีกสิบกว่าตัว บัตเลอร์ที่อยู่ต่อบนเรือได้ตกตะลึงไม่หยุด จงต้าจวิ้นไม่เข้าใจว่าเจ้าคนดำคนนี้กำลังอึ้งอะไร ยังคงเป็นเหมาเหว่ยหลงที่อธิบายให้เขาฟัง บอกเขาถึงอัตราความยากในการจับปลาทูน่าครีบน้ำเงิน เขาจึงเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบนเรือลำนี้

สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำก็คือการเก็บเบ็ด โดยใช้เครื่องจักรดึงเก็บสายอวนที่ปล่อยลงไปในทะเลขึ้นมา ชาวประมงที่กลับไปเมื่อสองวันก่อนได้กลับมาอีกแล้ว ชาวประมงยี่สิบกว่าคนได้รออยู่ที่ท้ายเรือเพื่อเตรียมทำงาน

เมื่อเห็นแบบนี้ เหมาเหว่ยหลงประหลาดใจ ถามว่า “ก็แค่เก็บอวนไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังต้องให้คนมากมายขนาดนี้มาทำงานอีก? ความหมายของฉันก็คือ พวกเราก็แค่เฝ้าอวนกัน พอมีปลามาติดอวนแล้วก็จับขึ้นมา แต่ตอนนี้ในอวนไม่มีปลาไม่ใช่เหรอ? ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะขนาดนี้หรือเปล่า?”

ฉินสือโอวสั่งการให้เหล่าชาวประมงใช้เครื่องวัดระยะทางเพื่อหาตำแหน่งของเบ็ดแต่ละอันออกมา จากนั้นก็อธิบายว่า “ปลาที่พวกเราจะจับน่ะเป็นปลาใหญ่ที่สามารถดึงเชือกอวนไปด้วยได้ ตอนนี้ในอวนมีปลา มีปลามากมายเลย มีปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ตัวเล็กแล้วก็ยังมีปลาใหญ่ชนิดอื่นๆอีกด้วยอย่างเช่นพวกปลาค็อด พวกนี้ล้วนต้องจับออกมาทั้งนั้น”

เรือหาปลาแล่นไปอย่างช้าๆ หัวเรือกับสายเชือกทำมุมกันที่ 30 องศา เรือดึงเชือกไปด้วย ค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้น เมื่อความเร็วถึง 6 นอตแล้วค่อยหยุดเรือลง

ในขั้นตอนการเก็บเชือกของเบ็ดราวนั้นเป็นขั้นตอนที่ทดสอบทักษะและประสบการณ์ของคนขับเรืออย่างมาก ตอนที่ไม่มีปลากับมีปลา ความเร็วของเรือจะไม่เท่ากัน ฉินสือโอวอยู่ที่ท้ายเรือเพื่อเป็นคนวัดตำแหน่ง แล้วก็ทำการส่งสัญญาณให้ชาร์คที่ขับเรืออยู่ตลอด

ตอนที่ไม่มีปลา เรื่อหาปลาจะแล่นด้วยความเร็วหกนอต พอตอนที่มีปลาแล้ว ชาร์คจะบังคับเรือให้แล่นช้าลง เพื่อพยายามไม่ให้ปลาว่ายไปตรงท้องเรือ จะได้จับปลาได้สะดวก

ชาวประมงมากมายบนท้ายเรือ งานของพวกเขามีหลากหลายมาก ตอนที่เชือกถูกดึงขึ้นมานั้น พวกเขาต้องทำการปลดเอาทุ่นลอยน้ำ ราวเบ็ด เครื่องแจ้งเตือนแรงดันและไฟลอยน้ำออกมาจากสายและจัดเก็บอย่างรวดเร็ว

งานนี้เป็นงานที่ยุ่งพอๆ กันกับตอนที่ปล่อยเบ็ดลงไป เพื่อสะดวกต่อการหว่านอวนครั้งต่อไป เหล่าชาวประมงต้องทำการตรวจเช็คสายหลักกับราวว่ามีปัญหาหรือเปล่า หากพบว่ามีตรงไหนที่เสียหายจะต้องรีบตัดและต่อใหม่ทันที จากนั้นก็นำสายหลักม้วนและเก็บเข้าไปในถังสายหลักบนเรือ ราวที่ปลดออกมา ก็ทำการจัดเก็บเข้าไปในกล่องเก็บเครื่องมือ

แน่นอนว่า เหล่าชาวประมงจะต้องทำการคัดแยกประเภทของปลาที่ตกขึ้นมาได้ด้วย ส่วนมากจะเป็นพวกปลาแซลมอนแปซิฟิกกับปลาค็อด ที่มากที่สุดจะเป็นปลาค็อดแอตแลนติก ปลาพวกนี้มักจะพบเห็นได้ง่ายบนระดับผิวน้ำแถมยังตระกละ ทำให้ติดเบ็ดได้ง่าย

ตอนท้ายพวกเขายังตกได้ปลาฉลามตัวเล็กมาตัวหนึ่งด้วย ฉินสือโอวปราดตามองไปที เจ้าหมอนี่ก็คือหนึ่งในสมาชิกของฉลามแมวเจ็ดพี่น้อง มันตกใจสุดขีด ตอนที่ถูกสายเชือกลากออกมาจากผิวน้ำทะเลนั้น ได้ทำการดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย จนชาวประมงคนหนึ่งที่ดึงเชือกไว้เกือบจะถูกลากลงไปในทะเลเลย

เหล่าชาวประมงตกใจกันขึ้นมาอีกครั้ง มีคนพูดว่า “โอ้โห เจ้าหมอนี่นี่แรงเยอะจริงๆ เลย ดูสิ มันเป็นเหมือนกับกระต่ายไฟฟ้าเลย พรึ่บๆๆ พั่บๆๆ ไม่มีเวลาหยุดเลย”

ในตอนนี้ บนทะเลได้มีฉลามกบกระโดดออกมาตัวหนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยฉลามกบอีกตัว ฉลามกบหลายตัวได้พากันกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำตามๆ กัน แล้วก็มองไปยังชาวประมงบนเรืออย่างตื่นตระหนก

พอเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้ฉินสือโอวแน่ใจถึงสถานะของฉลามกบตัวนี้แล้ว ต้องเป็นหนึ่งในฉลามฉลามแมวเจ็ดพี่น้องอย่างแน่นอน เจ้าหมอนี่โชคร้ายเสียจริง มันต้องพึ่งติดเบ็ดแน่เลย ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยพลังและฟันอันแหลมคมที่ถูกพลังโพไซดอนพัฒนาแล้วอย่างฉลามแมวเจ็ดพี่น้องนี้ คงกัดเชือกจนขาดไปนานแล้ว

แม้จะไม่ถือว่าเป็นคนสนิท แต่เจ็ดพี่น้องที่ขี้เบ่งเป็นที่สุดก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกับฉินสือโอวแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วย

มีชาวประมงที่เตรียมจะตัดเชือกเพื่อจะปล่อยฉลามกบไป ปลาประเภทนี้ไม่สามารถเอามากินหรือเอาไปขายได้ หากไม่จำเป็นจริงๆเหล่าชาวประมงก็จะไม่จับ

ฉินสือโอวส่ายหัวบอกว่าอย่างทำแบบนี้ การตัดเชือกสามารถปล่อยฉลามกบไปได้ก็จริง แต่ว่าจะเป็นการทิ้งตะขอเบ็ดอันใหญ่โตไว้ในปากของมันด้วย มันสามารถมีชีวิตต่อไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ชีวิตที่ดีนัก ฉลามกบไม่ใช่ฉลามขนาดใหญ่เหมือนปลาตัวอื่นๆ ความบาดเจ็บที่ตะขอขนาดใหญ่สำหรับตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีให้มันนั้นมากมายมาก

ลากฉลามกบขึ้นมา ฉินสือโอวเข้าไปปลอบมัน เจ้าหมอนี่ได้รับพลังโพไซดอนมาตลอด จึงอ่อนไหวต่อกลิ่นอายของพลังโพไซดอนบนตัวของเขามาก ดังนั้นพอได้ใกล้ชิดกับฉินสือโอวแล้ว มันที่เมื่อกี้ได้ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งก็ได้สงบลง มีแค่หางที่ยังคงตบไปที่พื้นเรือเสียง ‘ปังๆ’ เท่านั้น

เมื่อเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวจึงใช้มือข้างหนึ่งกดไปที่เหงือกของมันอีกข้างก็ยื่นเข้าไปในปากมันทำการขยับช้าๆ นำเอาตะขอเบ็ดที่ปักอยู่ในนั้นออกมา จากนั้นค่อยโยนมันลงไปในทะเล

เห็นฉากนี้แล้ว ชาวประมงรอบๆก็พากันตกตะลึงพูดว่า “ชิท บอสนี่สุดยอดไปเลยครับ คุณทำได้อย่างไรครับเนี่ย? นี่เป็นฉลามกบนะครับ เป็นพวกที่นิสัยดุร้ายเหมือนกันนะ!”

“นี่ก็คือนายไม่รู้ไง บอสน่ะเป็นดรูอิดแห่งมหาสมุทร ปลาในทะเลชื่นชอบบอสเป็นพิเศษ เหมือนกับที่ฉันชอบนั่นแหละ”

“บูล นายพูดแบบนี้เกินไปนะ แน่นอนว่าฉันก็ชอบบอสเหมือนกันนะ แต่ว่าเรื่องนี้น่ะ ฉันคิดว่าต้องอธิบายแบบนี้ ความรักสามารถข้ามสายพันธุ์ได้ ปลาฉลามตัวนี้จะต้องรู้สึกถึงความใจดีของบอส ดังนั้นเลยสงบลงต่างหาก”

“โอเคๆ อย่ามัวแต่พูดไร้สาระกันเลย รีบเก็บเชือกกลับบ้านกัน ฉันต้องไปหาวินนี่กับลูกชายอยู่นะ” ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เหล่าชาวประมงหัวเราะร่าออกมา แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ

แน่นอนว่าฉลามกบเจ็ดพี่น้องไม่ได้รู้สึกถึงความรักและความเมตตาที่ฉินสือโอวให้พวกมันอยู่แล้ว แต่ทว่าในตอนนี้คงรู้สึกถึงความมีเมตตาของชาวประมงและเรือหาปลาที่มีให้อย่างเต็มเปี่ยม จึงตามอยู่บริเวณเรือหาปลายตลอด แถมยังกระโดดขึ้นบนผิวน้ำเป็นระยะอีกด้วย

เหล่าชาวประมงเห็นฉากนี้แล้วรู้สึกกินใจขึ้นมา พวกเขาพากันพูดว่า “ฉลามพวกนี้กำลังขอบคุณบอสอยู่น่ะ พวกมันตามอยู่รอบๆ ตลอดเลย นี่เป็นวิธีที่ฉลามขอบคุณมนุษย์เหรอ?”

ตอนแรกท่านชายฉินก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ในใจจึงรู้สึกตื้นตันมาก เจ้าฉลามกบพวกนี้ก็มีหัวใจเหมือนกันนะ แต่หลังจากที่เขาปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปในน้ำแล้วกลับพบว่า ไม่ใช่แบบนั้นเลย ที่เจ้าพวกตัวแสบพวกนี้ยังตามเรือมาตลอดทางนั้น เพราะกะจะไปกินปลาที่จะมาติดเบ็ดล่วงหน้าต่างหาก!

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท