ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1846 เส้นทางนักแข่ง

บทที่ 1846 เส้นทางนักแข่ง

ฉินสือโอวเคยผ่านประสบการณ์การสอบใบขับขี่ของแคนาดามาแล้ว เรื่องราวผ่านไปไม่กี่ปี ดังนั้นเขายังคงจำภาพเหตุการณ์บางช่วงได้เหมือนใหม่ ตอนที่พาสองหนุ่มไปสอบในเช้าวันสุดสัปดาห์ เขาพูดขึ้นระหว่างทางว่า “มา บอกฉันหน่อย พวกนายเตรียมพร้อมขนาดไหนกันแล้ว? ต้องการให้ฉันถ่ายทอดเคล็ดลับให้พวกนายไหม?”

พาวลิสพูดอย่างใจเย็นว่า “ผมเตรียมตัวได้ไม่เลว ผมจำลองการสอบมาหลายครั้ง…”

ชาร์คน้อยขัดคำพูดของเขา “ฉิน คุณมีเคล็ดลับอะไร? รีบบอกผมหน่อย แน่นอนว่าบอกผมแค่ข้อสอบข้อเขียนในคอมพิวเตอร์ก็พอแล้ว ภาคปฏิบัติผมไม่มีปัญหาแน่นอน”

เจ้าเด็กนี่ได้รับสืบทอดยีนที่ดีของชาร์คมาเต็มๆ อายุยังน้อยแต่มีร่างกายกำยำล่ำสัน แต่ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เหมือนกับชาร์ค ไม่ชอบเรียนหนังสือ ไม่ว่าบทเรียนวิชาการหรือว่าความรู้การขับขี่และความรู้กฎหมายจราจร เขาก็เรียนไม่เข้าหัวเลย จึงได้ลนลานเป็นธรรมดา

คำพูดของฉินสือโอวกลายเป็นความหวังสุดท้ายของชาร์คน้อย สองตาเป็นประกายจ้องมองเขา คาดหวังคำพูดหลังจากนี้ของเขา

ท่านชายฉินกระแอมทีหนึ่ง ขับรถไปพลางพูดไปพลาง “ฉันจะบอกนายนะชาร์คน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อนายกับฉันสนิทกัน เคล็ดลับพวกนี้ฉันไม่มีทางบอกนายแน่ เพราะว่านี่คือ…”

“อาจารย์ นี่คงไม่ใช่วิชาลับของสำนักเราหรอกใช่ไหมครับ? คุณสอนให้ชาร์คน้อยไม่ได้นะ คุณต้องถ่ายทอดให้ผม ผมเป็นศิษย์เอกของสำนักต่างหาก” ไวส์ที่นั่งดูอยู่ด้านหลังร้อนรนขึ้นมา

ฉินสือโอวโบกมือปลอบใจเขา จากนั้นพูดว่า “นี่ไม่ใช่วิชาลับศิลปะการต่อสู้ เป็นเคล็ดลับการสอบ”

พอได้ยินแบบนี้ ไวส์ค่อยโล่งใจ จากนั้นคิดขึ้นได้ จ้องมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนกัน ในการเรียนบทเรียนวิชาการที่โรงเรียน สถานการณ์ของไวส์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าชาร์คน้อยนัก

“ฟังให้ดีล่ะ อย่างที่ว่าสนามสอบเรื่องใหญ่ รวมกันนานเข้าก็ต้องแยก แยกกันนานแล้วก็ต้องรวม เวลาที่เจอกับข้อสอบให้เลือกที่ทำไม่เป็นต้องจำให้ดี ยาวสามสั้นหนึ่งเลือกสั้นที่สุด สั้นสามยาวหนึ่งเลือกยาวที่สุด ยาวสองสั้นสองต้องเลือกบี สั้นยาวไม่เท่ากันซีนั้นไร้เทียมทาน เข้าใจหรือยัง?” ฉินสือโอวตอบอย่างอารมณ์ดี

หนุ่มน้อยในรถแต่ละคนมีปฏิกิริยาไม่เหมือนกัน พาวลิสยิ้มส่ายหัว ไวส์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนชาร์คน้อยเริ่มท่องในใจแล้ว ดูท่าแล้วคงคิดว่าเป็นเรื่องจริง

สำหรับการสอบครั้งนี้ ฉินสือโอวไม่ได้กังวลเลย การสอบใบขับขี่ของแคนาดาง่ายกว่าในประเทศจีนเยอะ พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสอบข้อเขียน ดังนั้นข้อสอบไม่ยาก เหตุผลเพราะคนแคนาดาสอบใบขับขี่ ต่างก็สอบกันในช่วงวัยมัธยมปลายกันแทบทั้งสิ้น เหมือนกันกับสหรัฐอเมริกา สำหรับพวกเขาแล้วประโยชน์ของใบขับขี่สำคัญมาก จำเป็นต้องสอบให้ได้ในวัยที่เหมาะสมทันที

คนแคนาดาเริ่มสัมผัสรถตั้งแต่ยังเด็ก ดูจากการสอนลูกๆ ของวิล ของเล่นที่เขาซื้อให้ลูกๆ ส่วนใหญ่เป็นรถ เด็กๆ พอถึงวัยมัธยมปลาย ก็ขับรถได้กันหมดแล้ว เทคนิคและประสบการณ์ไม่ต้องพูดถึงเลย

ส่งเด็กทั้งสองเข้าไปในอาคารสอบ เนื่องจากนิวฟันด์แลนด์ถนนกว้างบวกกับคนน้อย การสอบใบขับขี่จึงยิ่งสบาย ตอนที่พวกเขาสอบข้อเขียน ผู้สอบสามารถเลือกนั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เอง มีครูคุมสอบเพียงคนเดียว จึงทุจริตกันง่ายมาก

ชาร์คน้อยเดินตามพาวลิสอยู่ข้างๆ พอพาวลิสนั่งลงเขาก็รีบนั่งลงข้างๆ เห็นทีคงคิดจะทุจริตแล้ว

ฉินสือโอวพาไวส์กลับไปที่รถ ทั้งสองเริ่มถกเถียงเรื่องศึกประลองยุทธที่เขาหัวซานทั้งสองครั้ง ห้ายอดฝีมือใหม่ปะทะห้ายอดฝีมือเก่าใครจะมีโอกาสชนะมากกว่า ไวส์คิดว่าฝีมือของห้ายอดฝีมือที่มีหยางกั้วและกัวจิ้งเป็นตัวแทนเก่งกว่า ฉินสือโอวไม่ได้คิดแบบนี้ เขารู้สึกว่าฝีมือของห้ายอดฝีมือเก่าที่นำทีมโดยหวังฉงหยางนั้นเก่งกว่า

การถกเถียงทวีความร้อนแรงขึ้นมา จากนั้นใครก็ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายยอมได้ ดังนั้นจึงเริ่มด่ากันด้วยคำดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่าย ฉินสือโอวบอกไวส์ว่าขนยังขึ้นไม่ครบเลยจะไปเข้าใจอะไร ไวส์บอกเขาว่าหลงใหลในความหวาน บอกเขาว่าหัวโบราณ และยังบอกว่าเขามีชีวิตอยู่ในความทรงจำ

สุดท้ายอาจารย์กับศิษย์ทั้งสองก็ทะเลาะกันขึ้นมา ฉินสือโอวนำเอาความน่าเกรงขามของอาจารย์ออกมา ตบไปที่พวงมาลัยรถอย่างแรง ตะโกนว่า “ทำไม ไอ้เด็กนี่จะกบฏเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะพื้นที่ในรถน้อย นายคงจะลองวัดกับอาจารย์อย่างฉันแล้วใช่ไหม? อาจารย์พูดว่ายังไงก็คืออย่างนั้น สรุปก็คือ ห้ายอดฝีมือใหม่สู้ห้ายอดฝีมือเก่าไม่ได้!”

ไวส์พูดอย่างไม่ยอมว่า “อาจารย์ ภายใต้ความจริงตรงหน้า ไม่มีการแบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่…”

“ถ้าพูดอีกฉันจะไล่นายออกจากสำนัก!”

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่พูดแล้ว พี่พาวลิสออกมาแล้ว”

การปรากฏตัวของพาวลิสและชาร์คน้อยช่วยบรรเทาการโต้เถียงของทั้งสองคน ฉินสือโอวมองหนุ่มน้อยทั้งสองสีหน้าดีใจ ก็เดาออกแล้วว่าพวกเขาผ่านการสอบข้อเขียนแล้ว อีกเดี๋ยวเอาผลการสอบแล้ว ส่งพวกเขาสองคนไปสอบปฏิบัติ

ตอนที่เห็นสีหน้ามั่นใจและตื่นเต้นของพาวลิสที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับ ฉินสือโอวจับคาง เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้มีความสนใจในการขับขี่รถยนต์ที่ไม่ธรรมดา บางทีเขาน่าจะคิดหาวิธีให้พาวลิสลองดูว่าจะเป็นนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันได้หรือเปล่า?

แม้ว่าเมื่อสี่ปีกว่าก่อนหน้านี้ ฉินสือโอวก็รู้ถึงความฝันของพาวลิสแล้ว แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เพราะว่าการจะพัฒนานักแข่งรถฟอร์มูล่าวันนั้นลำบากมาก สำหรับพาวลิสในตอนนั้น มันยากเทียมฟ้า

จะกลายเป็นนักแข่งรถแข่งระดับโลกหรือว่านักแข่งมืออาชีพ จำเป็นจะต้องเริ่มตั้งแต่ตอนเด็ก และการจะฟูมฟักนักแข่งอย่างนี้คนหนึ่ง จำเป็นต้องพึ่งความพยายามร่วมกันของคนสามรุ่น หรือแม้กระทั่งการสนับสนุนของสโมสรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง!

นี่เป็นข้อมูลที่ฉินสือโอวได้ยินมาจากเพื่อน ด้วยอายุ 12 ขวบพาวลิสที่ไม่เคยมีประสบการณ์แตะรถเลย เขาไม่มีทางกลายเป็นนักแข่งฟอร์มูล่าวันได้เลย นี่ไม่เหมือนกับการฝึกซ้อมบาสเกตบอลของมิเชล

มิเชลอายุน้อยกว่าพาวลิสสองขวบ ตอนที่เริ่มเล่นบาสเกตบอลเขาเพิ่งจะอายุ 10 ขวบ ทั้งหมดยังทันการอยู่ อีกอย่างขอเพียงพรสวรรค์ในตัวเด่นเพียงพอ ถ้าอย่างนั้นจะเล่นบาสเกตบอลช้าไปหน่อย ก็สามารถฟูมฟักดาวบาสเกตบอลระดับ NBA ออกมาได้อยู่ แม้แต่ซูเปอร์สตาร์ก็ยังได้

ตัวอย่างเช่นสุดยอดเซนเตอร์ในประวัติศาสตร์ NBA ลำดับ 3 ฮาคีม โอลาจูวอน หรืออย่างเช่นเอ็มบีดซูเปอร์สตาร์ใหม่ที่กำลังเป็นความคาดหวังอยู่ในตอนนี้ อายุตอนที่พวกเขาเริ่มเล่นบาสเกตบอลต่างก็อายุมากแล้ว เพิ่งจะเข้ารับการฝึกซ้อมบาสเกตบอลอย่างเป็นระบบในตอนที่อายุ 14-15 ปี จากนั้นก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้เหมือนกัน

แต่นักแข่งฟอร์มูล่าวันไม่ได้ อยากจะกลายเป็นนักแข่งระดับโลก อย่างน้อยต้องผ่านหลายขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือช่วงอายุ 8-12 ปี เด็กๆ จะต้องชนะเลิศในการแข่งโกคาร์ททุกระดับ รวมถึงการแข่งระดับต่างๆ ในประเทศ และการแข่งระดับนานาชาติ ต่างก็ต้องมีความมั่นใจว่าจะชนะ

ในขั้นตอนนี้เป็นการให้นักแข่งพัฒนาความรู้พื้นฐานของรถแข่งต่างๆ ในการแข่งโกคาร์ท รวมถึงเส้นทางที่ดีที่สุดเป็นต้น ในขณะเดียวกันก็สัมผัสกับบรรยากาศของการแข่งรถ เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการแข่งอย่างถูกต้อง

ขั้นตอนที่ 2 ในช่วงอายุ 12-16 ปี ในขั้นตอนนี้ นักแข่งจะเริ่มเข้าสู่ช่วงสูตรเริ่มต้น เข้าร่วมการแข่งรถสูตรอย่างแคมปัสต่างๆ นักแข่งฟอร์มูล่าวันในอนาคตจะต้องเข้าร่วมการแข่งสูตรจูเนียร์ในขั้นตอนนี้ ต้องโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่ง กลายเป็นนักแข่งที่ดีที่สุด

ขั้นตอนนี้มีไว้เพื่อทำให้นักแข่งได้เรียนรู้และคุ้นเคยกับการแข่งรถสูตร นักแข่งจูเนียร์ในช่วงเวลานี้จะเข้าใจกฎกติกาและความรู้ทั่วไปของการแข่งรถสูตรแล้ว

พาวลิสไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้เลย สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเพียงความฝันที่ไม่สามารถเป็นจริงได้

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท