ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1851 ฉงต้าก็หาเงินได้

บทที่ 1851 ฉงต้าก็หาเงินได้

ฉินสือโอวต้อนรับฮานี่ย์และทั้งสามคนพร้อมเชิญนั่ง ฮานี่ย์แนะนำโดยที่เขายังไม่ต้องถาม บอกว่าทั้งสามคนนี้มาจากออตตาวา เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท JEEP ในประเทศแคนาดา ทั้งสามคนคือรองประธานบริษัท คาเรน วอลตัน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ทาบีสท์ เควินสท์ และทนายความของบริษัท แธดเดียส เลโอนาร์ด

JEEP เป็นชื่อแบรนด์หนึ่ง เป็นทั้งแบรนด์รถชนิดหนึ่งและเครื่องแต่งกาย JEEP ที่นี่คือ บริษัทผลิตรถยนต์ออฟโรดและ SUV ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นผู้ผลิตระบบขับเคลื่อนสี่ล้อชั้นนำของโลก คาเรนและทั้งสองเป็นผู้จัดการบริษัทในแคนาดาซึ่งรับผิดชอบการผลิตและการขายรถยนต์ JEEP ในแคนาดา

ฉินสือโอวจับมือกับคนทั้งสาม ถามถึงจุดประสงค์ในการมาของทั้งสาม JEEP มีชื่อเสียงอย่างมากตั้งแต่วิลลีส์ เอ็มบี ผู้ริเริ่มรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีชื่อเสียงไปจนถึงแวกอนเนียร์รถที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น ผลิตภัณฑ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากสงครามยังคงมีสายเลือดและอารมณ์ทางศิลปะโดยกำเนิด ด้วยการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องทำให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงกลายเป็นผู้นำระดับตำนานของอุตสาหกรรมขับเคลื่อนสี่ล้อทั้งหมด

ดังนั้นฉินสือโอวนายใหญ่จึงไม่เข้าใจว่าคาเรนและสองคนนี้มาหาเขาทำไม พวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบแบรนด์นี้ในแคนาดา ถ้าอยากจะขายรถรุ่นนี้ ก็คงไม่จำเป็นที่ต้องให้พวกเขาออกโรง อีกทั้งด้วยชื่อเสียงของรถ JEEP ยิ่งไม่ต้องมาขายถึงที่ขนาดนี้ล่ะมั้ง?

คาเรนดื่มกาแฟไปจิบหนึ่ง เขาชมรสชาติอร่อยของกาแฟก่อน หลังจากนั้นจึงพูดว่า “ระหว่างทางที่มา ฮานี่ย์บอกพวกเราแล้วว่า คุณฉินชอบการพูดตรงๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ พวกเราจะพูดเข้าประเด็นเลย ครั้งนี้ที่พวกเรามาเยี่ยมถึงที่นี่ เราต้องการจ้างสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งของคุณเพื่อเข้าร่วมในการถ่ายทำโฆษณาขายรถจี๊ปรุ่นใหม่ของเรา”

ฉินสือโอวเข้าใจในทันที พูดขึ้น “ผมเข้าใจแล้ว พวกคุณอยากจะได้สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ของผมไปถ่ายทำโฆษณาใช่ไหมครับ? โอ้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเรามาคุยเรื่องค่าตอบแทนและปัญหาในการถ่ายทำได้ ถ้าหากเห็นตรงกันพวกเราก็ร่วมมือกันได้ครับ”

หู่จือและเป้าจือกลายเป็นดาวเด่นของโลกสัตว์เลี้ยงหลังจากที่พวกเขาถ่ายทำโฆษณาอาหารสุนัข ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเขาก็ได้ถ่ายทำโฆษณาหลายเรื่อง และพวกมันยังเคยปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง “ผู้บัญชาการล่าสุดขอบโลก” ที่จะออกฉายในปีนี้ด้วย แต่ทว่าต่อมาโฆษณาส่วนมากจะเป็นโฆษณาเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม อย่างเรียกร้องให้ผู้คนรักสัตว์และปกป้องครอบครัวตัวเองเหล่านี้

คาเรนฟังเขาพูดจบอย่างใจเย็น แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วครับ คุณฉิน พวกเราไม่ได้อยากจ้างหู่จือและเป้าจือเด็กน้อยที่แสนน่ารักสองตัวนี้ แต่เป็นดาราอีกท่านหนึ่งในฟาร์มปลาของคุณ หมีตัวใหญ่ที่แข็งแกร่งตัวนั้น!”

เมื่อเป็นเช่นนี้ฉินสือโอวเกิดความลังเลแล้ว เขาไม่คาดคิดว่าบริษัท JEEP จะเชิญให้ฉงต้าไปถ่ายโฆษณา เขานึกว่าเป็นหู่จือและเป้าจือ เพราะอย่างไรก็ตามหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเมื่อเทียบกับแลบราดอร์ มีพวกเขาและวินนี่เท่านั้นที่โพสต์ภาพตลกๆ หรือคลิปวิดีโอสั้นๆ ในเวยป๋อและทวิตเตอร์ของพวกเขาเอง ไม่มีคนรู้จักมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับแลบราดอร์ที่ชอบออกสื่อและชอบให้คนอื่นสนใจในตัวพวกมันแล้วนั้น ฉงต้าขี้อายมาก สองสิ่งที่มันชอบที่สุดก็คือการกินและอยู่กับหมีโลลิเพื่อหาที่พักผ่อน ถ้าให้ไปถ่ายโฆษณาเรื่องที่ต้องใช้พลังกายไปเยอะพวกนี้ มันไม่ได้สนใจเลยสักนิด

ฉินสือโอวพูดถึงความคิดของเขาด้านนี้ให้กลุ่มคาเรนสามคนฟัง สุดท้ายก็บอกว่า “จริงๆ แล้วผมก็หวังที่จะร่วมมือในครั้งนี้ แต่ฉงต้าที่บ้านเราแตกต่างจากแลบราดอร์มาก มันมีความดุร้ายมากกว่า แล้วก็ค่อนข้างขี้เกียจด้วย ผมจึงคิดว่าถ้าให้มันไปถ่ายโฆษณาอาจจะไม่เหมาะ”

เมื่อฟังคำพูดของเขา คาเรนไม่ได้ยอมเลิกรากลางคันแต่กลับสนใจมากขึ้นไปอีก เขาแนะนำว่า “คุณฉิน ผมคิดว่าผมอาจจะพูดไม่ชัดเจน เพราะจริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเราอยากได้ก็คือสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยความดิบเถื่อน! เพราะครั้งนี้รถออฟโรดรุ่นใหม่ที่ JEEP จะขายในแคนาดาเอาพลังที่ดุดันและรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งเป็นจุดขาย!”

ทาบีสท์แนะนำต่อว่า “ใช่ครับ คุณฉิน แผนเดิมของพวกเราคือการใช้เทคโนโลยี 3 มิติเพื่อสร้างสัตว์ร้ายมาทำโฆษณา แต่พวกเราพบว่า สัตว์ร้ายที่สร้างด้วยเทคโนโลยี 3 มิติท้ายสุดแล้วก็คือแค่เสมือนจริง ซึ่งมันขัดกับจุดขายของรถออฟโรดของพวกเรา ถ้าใช้สัตว์ร้ายจริงๆ มาถ่ายทำน่าจะเหมาะกว่าครับ”

ฉินสือโอวยังคงรู้สึกลำบากใจ พูดขึ้น “เจ้าหมีตัวนี้ที่บ้านผม ถึงแม้ว่ามันจะดิบเถื่อน แต่จริงๆ แล้วน่าจะพูดว่ามันดื้อรั้นมากกว่า มันไม่ดุร้ายเลยสักนิด แต่กลับขี้เล่นด้วยซ้ำ”

ขณะที่พูดไป เขาก็เป่านกหวีดเรียกฉงต้าที่นอนอาบแดดอยู่ตรงประตูอยู่ พูดขึ้นว่า “ฉงต้า มานี่สิ มาหาพ่อหน่อย!”

ฉงต้ากำลังนอนหงายอยู่ที่ประตู มันไม่เหมือนสัตว์ทั่วไปที่นอนคว่ำหน้า มันแยกขาสองขาออกจากกัน หลังพิงผนัง อุ้งเท้าอ้วนสองข้างหย่อนลงด้านข้าง ผายหน้าอกของมันเผยให้เห็นท้องของมันที่มีขนสั้นมีสีขาวเหมือนน้ำนม นอนอาบแดดเพื่อให้ท้องรู้สึกอุ่นๆ ซึ่งสบายกว่าอาบแดดโดยหันหลังขึ้น

เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดของฉินสือโอว มันหันไปมองอย่างเฉื่อยๆ ก่อน หลังจากนั้นแล้วจึงค่อยลุกขึ้นมา ขยับตัวสั่นทีสองที เนื้อใต้ขนของมันนุ่มนิ่มมาก พอสั่นแบบนี้ไขมันที่อยู่บนตัวมันจึงกระเพื่อมขึ้นมาเบาๆ เหมือนระลอกคลื่น ขนสั้นสีน้ำตาลสว่างปลิวว่อนไปมาราวกับสายน้ำไหล

หลังจากที่ฉงต้าลุกขึ้นมาก็รีบไปคลานหมอบอยู่หน้าฉินสือโอว เหยียดคอยาวไปแล้ววางหัวอยู่บนต้นขาของเขา ใช้อุ้งเท้าดึงเอามือของฉินสือโอวมาเกาหัวมัน

พอเห็นฉากนี้ กลุ่มคาเรนสามคนก็ประหลาดใจ ส่วนฮานี่ย์ก็ดูนิ่งๆ ยักไหล่แล้วพูดว่า “ที่ฉินพูดนี่ถูกต้องเลย ฉงต้าฉลาดมาก มันไม่ดุร้ายแต่กลับน่ารักมาก”

คาเรนพูดอย่างลนลาน “ดูท่าแล้ว เด็กน้อยที่น่ารักตัวนี้จะเชื่องมาก เชื่อฟังมากเลยใช่ไหมครับ?”

ฮานี่ย์ตอบกลับว่า “มันฟังแค่คำของฉินและวินนี่เท่านั้น แต่ไม่ฟังคำพูดของคนอื่นเลย”

คาเรนพูดอย่างดีใจว่า “ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งดีเลยครับ รูปร่างของมันใหญ่ขนาดนี้ ขอเพียงแค่อ้าปากแล้วทำเสียงคำรามก็ดุร้ายมากพอแล้ว แล้วมันเชื่อฟังแบบนี้ด้วย ถ้าเช่นนั้นการถ่ายทำโฆษณาน่าจะราบรื่นเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็เป็นตัวเอกที่พวกเราตามหาอยู่”

ฉินสือโอวถามขึ้น “โฆษณาของพวกคุณออกแบบมาเป็นแบบไหน? ถ้าเป็นไปได้ผมขอดูก่อน ผมไม่อยากให้เด็กน้อยของบ้านเราลำบากจนเกินไป อีกอย่างถ้าตกลงที่จะร่วมมือด้วย ค่าตอบแทนให้อย่างไรครับ?”

คาเรนพยักหน้าให้กับเลโอนาร์ด เลโอนาร์ดจึงหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าเอกสาร ด้านในเป็นสคริปต์และฉากที่ถ่ายทำโฆษณา รอจนฉินสือโอวหยิบดู คาเรนก็พูดขึ้นว่า “ค่าตอบแทนจะจ่ายครั้งเดียวจบครับ โฆษณาเรื่องหนึ่งค่าตอบแทน 100,000 ดอลลาร์แคนาดา เห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

ค่าตอบแทน 100,000 ดอลลาร์แคนาดาไม่ได้น้อยไปเลยสำหรับค่าตัวสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ฉินสือโอวก็ไม่ได้สนใจจำนวนเงินว่าเท่าไร เขาไม่ขาดแคลนเงินตอนนี้ ตั้งแต่ร้านอาหารต้าฉินเริ่มกิจการ อีกทั้งอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่กำลังกระจายไปทั่วโลก รายได้ของเขาก็เหมือนกับบอลหิมะไหลลื่นเข้ามาตลอด เงินเป็นเพียงตัวเลขสำหรับเขาเท่านั้นในตอนนี้

ดังนั้นเหตุผลที่จะรับโฆษณาของฉงต้า ฉินสือโอวคิดแค่เพียงหลักๆ ว่าเก็บไว้เป็นความทรงจำ เพราะอย่างไรสักวันฉงต้าก็จะแก่ตัว โฆษณาที่ถ่ายทำตอนนี้จะกลายเป็นความทรงจำที่ดีในอนาคต

สคริปต์โฆษณานั้นเรียบง่ายมากนั่นคือ ฉงต้าวิ่งอย่างโหดร้ายบนถนนบนภูเขา ข้ามหนองน้ำและข้ามเนินเขา จากนั้นฉากก็เปลี่ยนไปเป็นการขับรถ JEEP รุ่นใหม่ เมื่อ JEEP ขับขึ้นภูเขา ฉากก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง รถกลายเป็นฉงต้า หลังจากนั้นฉงต้าก็มองขึ้นฟ้าพร้อมคำรามใส่อย่างบ้าคลั่ง

……………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท