ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1850 ไม่มีปิ้งย่างก็แก้ปัญหาไม่ได้

บทที่ 1850 ไม่มีปิ้งย่างก็แก้ปัญหาไม่ได้

เตาย่างที่ฟาร์มปลาใช้มีขนาดใหญ่ เพราะอย่างไรก็ตามพวกชาวประมงก็เป็นพวกกินจุ อาหารที่ปิ้งย่างออกมาแต่ละครั้งในรอบเดียวจึงยิ่งเยอะยิ่งดี

แต่สำหรับอีวิลสันแล้ว เตาย่างอันนี้เป็นเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่ง ร่างใหญ่ของเขาขวางอยู่ด้านหน้า ฉินสือโอวที่อยู่ด้านหลังมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เห็นแค่ด้านหลังของเขาที่ผึ่งผายกว้างราวกับประตูบานใหญ่

แต่พอเขาเข้าใกล้ เขามั่นใจเลยว่ากลิ่นหอมลอยมาจากเตาย่างแน่นอน

มีชามกระเบื้องหลายใบบนเตาย่าง แต่ละใบแบ่งใส่น้ำมันถั่วลิสง ซอสมะเขือเทศ ซอสเนื้อ น้ำเชื่อม ซึ่งหนึ่งในนั้นมีอยู่ใบหนึ่งใส่ของเหลวสีเหลืองอมส้ม ฉินสือโอวมองไม่ออกว่าคืออะไร จึงชี้ไปแล้วถามขึ้นว่า “เฮ้ อีวิลสัน ในนี้คืออะไรเหรอ?”

อีวิลสันทำจมูกฟุดฟิด แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มทึ่มๆ ว่า “แหะๆ คือไอซ์ไวน์ อีวิลสันเป็นคนคิดค้นขึ้นเอง แก่นตะวันละเลงบนไอซ์ไวน์ รสชาติดีกว่า”

เขานับว่าได้เรียนรู้คำพูดประจำเกี่ยวกับอาหารจากฉินสือโอวแล้ว รสชาติดีกว่า

กลิ่นของแก่นตะวันคั่วแรงเกินไปจนกลบกลิ่นหอมจางๆ ของไอซ์ไวน์ ฉินสือโอวถือขึ้นมาแล้วสูดดม เป็นไอซ์ไวน์จริงๆ ไม่รู้ว่าอีวิลสันค้นพบวิธีกินแบบนี้ได้จากไหน

ผิวด้านนอกของแก่นตะวันถูกขูดออกด้วยมีดโกนเผยให้เห็นเนื้อครีมสีเหลือง อีวิลสันล้างเป็นวงกลมในไอซ์ไวน์ก่อนแล้วจึงอบบนเตาย่าง

เขาใช้แปรงทาน้ำเชื่อมลงบนแก่นตะวันก่อน จากนั้นจึงทาน้ำมันถั่วลิสงชั้นหนึ่งแล้วจึงทาซอสเนื้อด้านบน น้ำมันถั่วลิสงและน้ำมันในซอสเนื้อหยดลงบนกองถ่านไฟ ซึ่งทำให้เกิดเปลวไฟขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แก่นตะวันคั่วแตกเสียงดังเปรี๊ยะๆ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว

ชาร์คขับรถมาหาฉินสือโอว พอเห็นว่าอีวิลสันกำลังย่างแก่นตะวันอยู่ดวงตาก็เบิกโพลง วิ่งเข้ามาหาด้วยความสนใจ “เชี่ย นี่มันอีวิลสันเปล่าเนี่ย? อีวิลสันย่างอาหารด้วยซอสเนื้อด้วย? พิถีพิถันอะไรขนาดนี้?”

อีวิลสันมองไปที่ชาร์คอย่างระแวดระวัง ทำจมูกฟุดฟิดแล้วพูดว่า “ไม่แค่มีซอสเนื้อนะ ยังมีน้ำมันถั่วลิสง น้ำสลัด และซอสมะเขือเทศ และยังมีของอย่างอื่นอีกเยอะ คุณกินไม่ได้ นี่เป็นอาหารของอีวิลสันและฉินนะ”

ชาร์คหัวเราะ เขายืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยความสนใจสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ขับรถจากไป

หลังจากเขาจากไป สีหน้าระแวดระวังของอีวิลสันก็หายไป เขาถอนหายใจ พูดพึมพำว่า “อันตรายเกินไปแล้ว อันตรายเกินไป”

ฉินสือโอวหัวเราะ “อย่าแบบนี้สิ อีวิลสัน นายต้องใจกว้างหน่อย ชาร์คก็เคยให้ของกินนายตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ?”

อีวิลสันเกาหัวทำท่าครุ่นคิด สุดท้ายพูดด้วยความไม่เต็มใจว่า “ก็ได้ ถ้าครั้งหน้าชาร์คมาอีก ผมจะไม่ไล่เขาไป แต่ว่าเขาคงไม่มาแล้วใช่ไหมครับ?”

คำพูดของเขาเพิ่งพูดออกไปได้ไม่นาน รถกระบะคันใหม่ของชาร์คก็ขับมาทางนี้เสียงดังหึ่มๆ เขาให้รถฟอร์ดคันเก่าของเขากับลูกชาย ตอนนี้จึงมีเงินในมือเปลี่ยนเป็นรถ F650 เหมือนฉินสือโอวได้ สัตว์ดุร้ายบนบก เป็นรถกระบะที่ดีที่สุด

ในสายตาไม่เต็มใจของอีวิลสัน ชาร์คหยิบเบียร์ถังใหญ่ลงมาจากรถ หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “กินปิ้งย่างจะขาดเบียร์ได้ยังไงกัน?”

ฉินสือโอวตบไปที่บ่าของอีวิลสัน พูดว่า “ต้องใจกว้างนะเพื่อน ต้องใจกว้าง”

อีวิลสันฝืนยิ้มออกมา พูดพร้อมสีหน้าอมทุกข์ “แก่นตะวันมีแค่นี้เอง กินไม่อิ่มแน่เลย “

ชาร์ควางถังเบียร์ เขาหยิบพิซซ่าสองจานใหญ่และไก่ทอดถุงใหญ่จากที่นั่งข้างคนขับแล้วพูดว่า “ดูนี่สิ เพื่อนรักของฉัน ฉันไม่ได้มามือเปล่านะ วางใจได้ พวกเรากินอิ่มอย่างแน่นอน “

พอเป็นแบบนี้อีวิลสันก็ยิ้มออกมาในที่สุด เพราะสำหรับเขาแล้ว ขอเพียงแค่อาหารมีเพียงพอ เขาก็พึงพอใจมากแล้ว

ฉินสือโอวหยิบแก้วเบียร์ใบใหญ่ออกมา แล้วรินเบียร์สีเหลืองส้มลงไป ฟองเบียร์แน่นๆ ลอยขึ้นมาราวกับเมฆสีขาวที่อยู่บนท้องฟ้า

อีวิลสันนำแก่นตะวันที่ย่างเสร็จชุดแรกวางลงบนจาน แล้วหาอันที่ย่างออกมาดีที่สุดไว้อยู่ด้านหน้าฉินสือโอว หัวเราะแล้วพูดว่า “อีวิลสันย่างเอง รสชาติดีมากเลยนะ”

ชาร์คดื่มเบียร์ไป ก้มองด้วยความอิจฉาไป แล้วพูดขึ้น “บอส อีวิลสันมันรักบอสจริงๆ นะเนี่ย”

ฉินสือโอวตบไปที่บ่าชายร่างใหญ่เบาๆ พูดด้วยความภูมิใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว อีวิลสันเป็นผู้พิทักษ์ของฉัน ถ้าฉันเป็นโพไซดอน อีวิลสันก็เป็นยอดฝีมือแห่งโพไซดอนเลยนะ!”

อีวิลสันงอแขนโค้ง ส่วนกล้ามเนื้อของแขนด้านบนขยายใหญ่ ราวกับสะพานหินโค้ง พูดอย่างดีใจว่า “โอ้ โอ้ ฉันเป็นยอดฝีมือให้ฉิน!”

ฉินสือโอวยิ้มไป ก็หั่นแก่นตะวันย่างชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปาก รสของซอสเนื้อเข้มมาก ทำให้ลิ้มรสไม่ออกถึงรสหวานของแก่นตะวันที่มีอยู่เดิม แน่นอนว่านี่ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของแก่นตะวัน มันคล้ายกับเต้าหู้ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนประกอบของแป้งอยู่ แต่รสหวานไม่มาก สามารถดูดซับรสเพื่อแสดงรสชาติของเครื่องปรุงรสได้อย่างสมบูรณ์แบบ

พอคนในครอบครัวไม่ได้อยู่ที่ฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็ขี้เกียจทำงาน เขาคิดว่ารสชาติของแก่นตะวันย่างนี่ไม่เลวเลย จึงกินติดต่อกันเป็นเวลาสองสามวัน เหตุผลโดยหลักเลยคือเขากินแก่นตะวันย่างได้โดยไม่ต้องลงมือทำเอง อีวิลสันเห็นว่าเขาชอบ จึงหาโอกาสแสดงฝีมือตัวเองได้ในที่สุด ขอเพียงแค่ฉินสือโอวบอกว่ากินแก่นตะวันย่าง แน่นอนว่าต้องเป็นเขาที่เป็นคนลงมือ ต่อให้ฉินสือโอวอยากจะย่างเองก็ไม่ได้

กลางเดือนเมษายน อากาศเริ่มอุ่นขึ้น วินนี่โทรศัพท์หาฉินสือโอวเรียกให้เขาไปหา ให้เขาพาฉงต้าและหมีโลลิกลับไปที่ฟาร์มปลา โดยบอกว่าหมีสีน้ำตาลและหมีขั้วโลกเป็นอันตรายเกินกว่าที่จะอยู่ในเขตเมืองและทำให้เกิดความตึงเครียดในละแวกใกล้เคียงได้ง่าย นอกจากนี้แล้วฉงต้าและหมีโลลิก็ไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่เป็นตึก พวกมันมีความดุร้ายมาก ถ้าต้องอยู่ในตัวตึกก็เล่นได้แค่บริเวณสวนดอกไม้เล็กๆ ซึ่งสำหรับพวกมันแล้วสวนดอกไม้นี่เล็กเกินไปจริงๆ แค่หมุนตัวยังลำบาก

หลังจากที่ฉงต้าและหมีโลลิกลับไปที่ฟาร์มปลา ก็พอดีบังเอิญกับที่อีวิลสันจะย่างแก่นตะวันตอนกลางวัน เจ้าสองตัวกินจุพอได้กลิ่นหอมหน่อยก็ตาเบิกกว้างอย่างพร้อมใจกัน รีบวิ่งไปนั่งอยู่ข้างๆ เตาทั้งสองด้าน ยื่นคอไป จ้องมองแก่นตะวันที่อยู่บนเตาพร้อมน้ำลายไหลย้อย

อีวิลสันโบกมือไล่ ขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “อาหารนี้อีวิลสันทำให้ฉิน พวกแกกินไม่ได้!”

จริงๆ แล้วฉินสือโอวกินจนรู้สึกเลี่ยนแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามถ้ากินแก่นตะวันย่างติดกันสิบวัน วันหนึ่งกินอย่างน้อยสองมื้อก็คงทนไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงคิดหาวิธีจะหลอกล่ออีวิลสัน เพื่อแบ่งแก่นตะวันที่ย่างเสร็จแล้วให้ฉงต้าและหมีโลลิ

หมีสองตัวกินจนซอสเลอะปากไปหมด แล้วก็สนิทกับอีวิลสันไวมาก แค่วันเดียวก็ไปไกลแล้ว

ก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ระหว่างอีวิลสันและฉงต้ามีความขัดแย้งกันอยู่ แน่นอนว่าความขัดแย้งนั้นเกิดจากตอนที่ฉงต้ายังเด็ก แล้วอีวิลสันมักจะแกล้งมัน จึงก่อให้เกิดรอยร้าวในใจของฉงต้า ต่อมาฉงต้าโตขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็แยกย้ายอยู่ในของตัวเอง ตอนนี้พออีวิลสันแสดงฝีมือความสามารถในการย่างแก่นตะวัน ความทรงจำของฉงต้าที่มีต่อเขาจึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ช่วงสองวันนี้พอว่างก็จะไปเล่นกับเขา

ตอนปลายเดือนเมษายน ฉินสือโอวกำลังบังคับเครื่องบินแทรกเตอร์ที่บินอยู่บนท้องฟ้าให้ทิ้งเมล็ดสาหร่ายลงในฟาร์มปลา ในเวลานี้เองมีคนมาหาถึงที่ ฮานี่ย์รองนายกเทศมนตรีพาชายหนุ่มวัยกลางคนสามคนมาบอกว่ามาเยี่ยมเขา

ตอนนี้ฉินสือโอวก็เป็นคนดังในเมืองเซนต์จอห์นแล้ว บางครั้งจึงมีคนแวะมาหาเขา แต่หลักๆ จะเป็นเจ้าของฟาร์มปลาหรือไม่ก็พวกชาวประมง แต่สามคนที่ฮานี่ย์พามาสวมชุดสูทพร้อมกระเป๋าเอกสาร ดูๆ แล้วเหมือนจะเป็นคนทำธุรกิจมากกว่า ไม่ใช่คนที่ทำงานด้านการประมง

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท