ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1857 ฝูงหมาป่าขาว

บทที่ 1857 ฝูงหมาป่าขาว

เมื่อได้ยินเสียงร้องของแคลร์เพื่อนรัก ขนนุ่มๆ ของฉงต้าก็ตั้งชี้ขึ้นมาทันที มันยื่นอุ้งมือเข้าไปอุ้มเถียนกวาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ตาสองดวงเบิกกว้างมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง อ้าปากออกกว้างเผยให้เห็นฟันขาวแหลมคมที่ดูน่ากลัว

ไอ้เหี้ยมโหดลอยออกมา!

พอเห็นแบบนี้ ฉินสือโอวและคนอื่นๆ รีบชักปืนออกมา เพราะนี่ดูแล้วเหมือนไม่ใช่การเจอร่องรอยของหัวไชเท้า แต่กำลังมีอันตราย

หู่จือและเป้าจือรีบพุ่งไปอยู่ด้านหน้าฉินสือโอว หูของเจ้าสองตัวพยายามเงี่ยหูไปด้านหลัง หางของมันตั้งตรงราวกับก้านเสาธง จ้องมองเข้าไปในป่าลึกด้านหน้าเตรียมตัวรับมือหากมีอะไรเกิดขึ้น

ฉินสือโอวโบกมือ ตะโกนบอกว่า “ไปดูซิ เกิดอะไรขึ้น”

พอได้ยินคำสั่งเขา หู่จือและเป้าจือรีบพุ่งตรงไปด้านหน้า ริมฝีปากพวกมันปิดแน่น เงาร่างเหมือนลูกศรที่แหลมคม เร็วจนน่าอัศจรรย์ใจ

ฉินสือโอวเอาเถียนกวาที่อยู่ในอ้อมแขนฉงต้ายัดให้อีวิลสัน อีวิลสันแบกเด็กน้อยบนบ่า ถือเรมิงตันด้วยมือเดียว ราวกับนักรบยักษ์พิทักษ์เทพธิดา

“ดูแลเถียนกวาด้วย อยู่ที่นี่ก่อน ชาร์คนายอยู่กับอีวิลสัน นีลเซ็นตามฉันมา” ฉินสือโอวกำชับ แล้วรีบพาฉงต้าตามหู่จือและเป้าจือวิ่งเข้าไปในป่า

พวกเขาวิ่งบนขึ้นไปบนภูเขาสูงชันเป็นเวลาสักพักหนึ่ง และด้วยการฝึกวิ่งอย่างตรากตรำทุกเช้าและพลังโพไซดอนฉินสือโอวถึงสามารถวิ่งตามหู่จือและเป้าจือได้ทัน แต่สำหรับนีลเซ็นก็ลำบากหน่อยแล้ว

เสียงร้องของสามหนุ่มเวหายังคงดังต่อเนื่อง หู่จือและเป้าจือเงยหน้ามองหาตำแหน่งของสามเวหาอยู่ตลอดเพื่อจะได้วิ่งตามไป นีลเซ็นวิ่งหอบถามขึ้นว่า “บอส เกิดอะไรขึ้น? เจอหมาป่าขาวแล้วเหรอ?”

ฉินสือโอวเห็นเขาวิ่งตามจนเหนื่อยจึงหยุดวิ่ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดว่า “ไม่น่าใช่ แต่คิดว่าก็คงไม่ได้เจอสัตว์ร้ายทั่วไปหรอก เจ้าสามเวหามันคอยตามอยู่ตลอด และยังไล่ตามไปด้วยกันด้วย ถ้าเป็นหมาป่าขาว พวกมันก็คงลงไปขวางมันไว้แล้ว แต่ตอนนี้กลับแค่ไล่ตาม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”

สามเวหาไล่มาสักพักก็เริ่มหมดความอดทน ทันใดนั้นเจ้าสามตัวก็บินร่อนลงมา พอเห็นแบบนี้หู่จือและเป้าจือก็วิ่งไวมากขึ้น แล้วยังอ้าปากร้องเห่า “โฮ่งๆๆๆ!”

ฉงต้าที่ตามอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ ไขมันบนตัวมันกระเพื่อมไปมา ดวงตาดุร้ายกะพริบปริบๆ อ้าปากส่งเสียงร้องคำราม “ฟ่อ!”

เสียงคำรามของราชาแห่งป่านั้นน่ากลัวจริงๆ เมื่อฉงต้าคำรามออกมาแบบนี้ก็มีเสียงสะท้อนกลับดังออกมาจากในป่า รอบๆ ป่ามีเสียง ‘สวบสาบ’ ราวกับว่าสัตว์ป่ากำลังตื่นตระหนก มีนกจำนวนหนึ่งบินออกจาต้นไม้ทะยานสู่ท้องฟ้า

ฉินสือโอวและนีลเซ็นกัดฟันและเดินตามหลังไป บนเนินเขาที่ว่างเปล่า พวกเขาเห็นฉากที่น่าตกตะลึง

หมาป่าขาวตัวหนึ่ง หมาป่าสีขาวกำลังแสยะแยกเขี้ยวอยู่บนเนินเขาที่ว่างเปล่า ส่วนรอบๆ หมาป่าขาวกลับเป็นนกตัวใหญ่สามตัวบินอยู่ในระดับความสูงต่ำ ส่วนเจ้าแลบราดอร์สองตัวต่างจ้องไปที่หมาป่าขาวไม่วางตา ยิ่งไปกว่านั้นมีหมีสีน้ำตาลร่างกายบึกบึนคำรามเสียงต่ำอยู่ตรงนั้น

หมาป่าขาวขยับถอยไปด้านหลัง ขนสีขาวบนตัวมีลักษณะสั้นแต่แข็ง อาจเป็นเพราะเดี๋ยวมุดดินเดี๋ยวมุดน้ำอยู่ทั้งวัน ขนหมาป่าที่ขาวสะอาดตอนนี้บางส่วนสีขาว บางส่วนสีเทา มองดูแล้วไม่สะอาดตา

เพียงแวบเดียวฉินสือโอวก็มองออก นี่ไม่ใช่หัวไชเท้าน้อย ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นพันธุ์เดียวกัน

เมื่อเทียบกับหัวไชเท้าน้อย เจ้าหมาป่าขาวนี้ดูแข็งแกร่งกว่าหน่อย หางก็สั้นกว่า แววตาของมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับหัวไชเท้าน้อยในเรื่องความดุร้าย ประสบการณ์การต่อสู้ของมันนั้นก็ดูมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เห็นการป้องกันตัวของมันตอนนี้ก็รู้แล้ว

เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินสือโอวไร้ซึ่งคำพูดใดๆ แล้ว ไม่น่าเจ้าสามเวหาถึงไล่ตามหมาป่าขาวตัวนี้ตลอด พวกมันเห็นว่าเจ้านี่มีลักษณะคล้ายหัวไชเท้าน้อย แต่ก็กลับยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า ดังนั้นจึงไล่ตามมาตลอดทาง

หมาป่าขาวหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น กล้ามเนื้อขาทั้งสี่เกร็งตึงไปหมด ยังคงแยกเขี้ยว ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ยังคงมีน้ำลายห้อยอยู่ที่มุมปาก ดวงตาโหดเหี้ยมของมันกวาดมองไปทุกที่ราวกับว่ามันกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

ฉินสือโอวเป่านกหวีดเพื่อให้เจ้าสามเวหาบินขึ้นไปก่อน นี่เป็นแค่หมาป่าขาวตัวหนึ่งแล้วมันก็ไม่ได้เริ่มหาเรื่องเราก่อนด้วย จึงไม่จำเป็นต้องโจมตีมัน อีกอย่างพันธุ์ของหมาป่าขาวชนิดนี้คงมีเหลือไม่มากแล้วบนเทือกเขาเคอร์บัล จึงควรปกป้องไว้หน่อยดีกว่า

หลายปีก่อนครั้งแรกที่เขาเจอหัวไชเท้าน้อยและพ่อแม่ของมัน เขาก็มั่นใจว่าที่เทือกเขาเคอร์บัลยังมีหมาป่าขาวพันธุ์นี้อยู่ เพียงแต่พวกมันหลบซ่อนตัวได้ดี จึงไม่เคยโดนชาวบ้านเจอตัวก็เท่านั้นเอง อีกทั้งฝูงพันธุ์ชนิดนี้น่าจะมีไม่น้อยด้วย ไม่เช่นนั้นคงจะขยายพันธุ์ไม่ได้ แต่ทว่าพวกมันก็ไม่สามารถขยายพันธุ์ให้ใหญ่ไปกว่านี้ได้ เนื่องด้วยเทือกเขาเคอร์บัลเล็กเกินไป อาหารก็น้อย เลี้ยงหมาป่าขาวฝูงใหญ่ไม่เพียงพอ

นีลเซ็นก็ทราบดีว่ามีความลับของฝูงหมาป่าขาวที่เทือกเขาเคอร์บัลอยู่ เขาฝืนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “บอส ไม่อย่างนั้นก็จับเจ้านี่กลับไปบ้านก็จบเรื่องแล้ว บอกนายหญิงว่าเป็นหัวไชเท้าน้อย…”

ฉินสือโอวกลอกตามองบน พูดอย่างเคืองๆ ว่า “จับไปบ้านแกสิ นายคิดว่าวินนี่โง่เหรอไง เธอฉลาดกว่าฉันมาก…”

ในช่วงเวลานี้เอง เจ้าสามเวหาก็ร้องเสียงดังขึ้นมาทันใดอีกครั้ง เสียงร้องครั้งนี้ดูร้อนรนและมีพลังมากกว่าเก่า เหมือนกับแตรที่ดังอยู่กลางอากาศ

สีหน้าของหู่จือ เป้าจือและฉงต้าที่ติดตามหมาป่าขาวพลันตึงเครียดขึ้นมา พวกมันค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง ถอยจนมายืนอยู่ข้างฉินสือโอว ขนบนตัวชี้ตั้ง เกร็งและตึง ราวกับเจอศัตรูที่ต่อกรด้วยยาก

ในเวลานี้ ที่ขอบป่ารอบๆ เนินเขาหมาป่าหลายตัวค่อยๆ ก้าวออกมา ล้วนเป็นหมาป่าขาวที่มีขนราวกับหิมะ!

“ฝูงหมาป่าหิมาลายันนิวฟันด์แลนด์!” นีลเซ็นดวงตาหดเล็ก กระซิบด้วยเสียงตกใจว่า “เชี่ย หนึ่งสองสามสี่ห้า…มีตั้งเจ็ดตัว? ไม่น้อยเลยนะเนี่ย!”

หมาป่าขาวที่ออกมาล้วนเป็นหมาป่าเด็กขนาดครึ่งตัวหรือหมาป่าโตเต็มวัย หมาป่าที่ถูกล้อมไว้ก่อนหน้าเห็นเพื่อนของมันมาก็รู้สึกโล่งใจทันที เปลี่ยนท่าทีป้องกันเป็นท่าโจมตีและหันไปทางฉินสือโอว ขยับเข้าไปใกล้

ฉินสือโอวไม่กลัวหมาป่าขาวพวกนี้ แค่เจ็ดตัวเอง ในมือเขามีธนูยิงปลา ที่เอวยังมีปืนเหน็บอยู่ ส่วนนีลเซ็นถือปืนไรเฟิล ต่อให้พวกเขาไม่ออกโรง แค่มีฉงต้าร่วมมือกับหู่จือและเป้าจือก็สามารถจัดการหมาป่าขาวเจ็ดตัวนี้ได้

พลังการต่อสู้ของหมาป่านั้นสุนัขเทียบไม่ได้เลย แม้ว่ามันจะเป็นสุนัขที่ดุร้ายเช่นสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ แต่พลังการต่อสู้ของหู่จือและเป้าจือบ้าคลังดุเดือดมากในหมู่ฝูงสุนัข เมื่อต้องเผชิญหน้าหมาป่าสีขาวตัวต่อตัว พวกมันไม่กลัวอย่างแน่นอน หรือจะจัดการหมาป่าขาวหนึ่งต่อห้า สำหรับฉงต้าแล้วไม่มีความกดดันแม้แต่น้อย

ฉงต้าเป็นหมีสีน้ำตาลโตเต็มวัยแล้ว!

ฉินสือโอวหยิบปืนพกออกมาและเตรียมพร้อมที่จะยิงขู่หมาป่าขาวพวกนี้ออกไป หมาป่าหิมาลายันนิวฟันด์แลนด์มีไม่มากนัก แม้ว่าพวกมันดูเหมือนจะโจมตีเขา แต่เขาก็ยังไม่ต้องการทำร้ายพวกมัน

ก่อนที่เขาจะได้ยิง เงาสีขาวก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของป่า จากนั้นร่างที่แข็งแกร่งของหมาป่าสีขาวก็รีบวิ่งออกมาจากมุมป่า มันรีบวิ่งไปที่หมาป่าขาวที่ต้องการโจมตีฉินสือโอวด้วยพลังที่รุนแรงและกระแทกมันลงกับพื้น

หลังจากกระแทกล้มหมาป่าขาวดุร้ายได้ หมาป่าขาวที่ออกมาจากด้านหลังก็หยุดและเงยหน้าขึ้นมองฉินสือโอว หางของมันแกว่งไปมาสองสามครั้งเหมือนสุนัข อ้าปากร้องเห่าโฮ่งๆ ขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท