ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1856 ตามหาหลัวปอ

บทที่ 1856 ตามหาหลัวปอ

ผ่านไปสองวัน หลัวปอก็ยังหายตัวไป ตอนนี้ไม่ใช่แค่วินนี่ที่ร้อนใจ ฉินสือโอวเองก็ร้อนใจเช่นกัน เพราะไม่ใช่นิสัยของหลัวปอ ปกติไม่ว่าจะไปเล่นที่ไหนก็จะกลับมาในวันนั้น เพราะอย่างไรก็ตามเกาะแฟร์เวลก็มีขนาดเล็ก

ฉินสือโอวลูบหน้าผาก คาดเดาว่า “พวกนายคิดว่า พ่อแม่ของหลัวปอมาเอาตัวไปแล้วหรือเปล่านะ?”

วินนี่ตอบว่า “ถ้าหมาป่าขาวคู่สามีภรรยามาเอาหลัวปอไป ก็น่าจะมีเงื่อนงำอะไรบอกก่อน หลัวปอไม่ควรจะหายไปแบบไร้ร่องรอยอย่างนี้ คุณลองคิดดูดีๆ ช่วงเวลานี้คุณอยู่ที่ฟาร์มปลาตลอดไม่ใช่เหรอคะ?”

ฉินสือโอวส่ายศีรษะ เขาคิดแล้วคิดอีก ไม่มีความทรงจำอะไรที่เกี่ยวข้องกับหมาป่าขาวคู่สามีภรรยาโผล่ออกมาเลย แต่เขากลับนึกถึงฉากที่หัวไชเท้าน้อย หู่จือและเป้าจือขุดแก่นตะวันด้วยกัน ตอนนั้นหู่จือและเป้าจือช่วยมันขุดแก่นตะวันอย่างมีความสุข แต่หลัวปอกลับเดินวนแปลงแก่นตะวันเป็นวงกลมไป สีหน้าดูงุนงง

แต่สิ่งนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับที่หลัวปอหายตัวไป เพราะอย่างไรก็ตามจากวันนั้นหลัวปอก็อยู่ในบ้านหลายวันอย่างว่านอนสอนง่าย

คิดไม่ออกว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ฉินสือโอวจึงทำได้แค่ออกไปตามหา วินนี่มองหลัวปอเป็นเหมือนลูกสาวคนโต ก่อนที่หัวไชเท้าน้อยนี้จะมาที่ฟาร์มปลา พวกสัตว์พวกนี้ต่างก็เป็นตัวผู้ มันจึงเป็นสาวน้อยตัวแรก และยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่วินนี่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต ความรู้สึกจึงแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นถ้าหัวไชเท้าน้อยหายไปจริงๆ วินนี่ก็อาจจะเป็นบ้าได้ เพราะแค่สองวันนี้เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานอยู่แล้ว

ฉินสือโอวใช้ช่องทางวิทยุสาธารณะไร้สายถามประชาชนในเมืองก่อน “ทุกท่าน มีใครเห็นหัวไชเท้าน้อยบ้านผมไหม? มันหายตัวไปสองวันได้แล้ว ถ้าใครพบเห็นช่วยแจ้งมาทางผมด้วยนะครับ”

แลร์รี ฮิวจ์พอไม่มีอะไรทำก็มานั่งชิลล์อยู่แถววิทยุสาธารณะไร้สาย พอได้ยินคำพูดของเขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หัวไชเท้าน้อยคือใคร? นายเก็บสัตว์อะไรมาเลี้ยงเพิ่มอีกเนี่ย? หัวไชเท้าคงไม่ใช่ชื่อเฟอเรทคู่นั้นหรอกมั้ง? เฟอเรทบ้านนายหายตัวไปแล้วเหรอ?”

พอเจอเขาทักมาแบบนี้ ฉินสือโอวก็เริ่มรู้ว่าวิธีการถามของเขาไม่ถูกต้อง เขาจึงรีบเสริมว่า “ก็คือหมาป่าขาวของบ้านผม ชื่อของมันคือหลัวปอ หัวไชเท้าเป็นชื่อเล่นของมัน”

“หมาป่าขาวตัวนั้นหายตัวไปงั้นเหรอ เป็นไปได้อย่างไร เจ้านั่นมันฉลาดและหัวไวมาก มันคงไปเล่นที่ไหนแล้วมั้ง? คงไม่ได้ถูกใครจับไปใช่ไหม?”

“ไม่ใช่แน่นอน ถึงแม้ว่าช่วงสองวันนี้จะมีนักท่องเที่ยวแปลกหน้าเข้ามาในเมือง แต่พวกเขาจะเข้าออกที่ท่าเรือต้องได้รับการตรวจสอบกระเป๋าเดินทางก่อน ไม่มีสิ่งของต้องห้ามในกระเป๋าเดินทางเลย”

“เฮ้ ฉิน ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกได้เลยนะ พวกเราจะไปช่วยนายหาด้วย”

ไม่มีข่าวของหมาป่าขาวจากวิทยุสาธารณะไร้สายเลย ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงพาหู่จือ เป้าจือและฉงต้าออกไปตามหา เพราะการรับรู้กลิ่นของเจ้าสามตัวนี้ดีที่สุด ถ้าหมาป่าขาวมีทิ้งกลิ่นไว้ พวกมันต้องหาได้อย่างแน่นอน

แต่สถานที่ที่หมาป่าขาวจะทิ้งกลิ่นไว้มากที่สุดก็คือที่ฟาร์มปลา เจ้าสามตัวทำจมูกฟุดฟิดไปมา วนรอบฟาร์มปลาไปเรื่อยๆ

เวลานี้เองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไกด์คนหนึ่งในเมืองโทรมาบอกว่า “เฮ้ ฉิน ผมได้ยินมาว่าคุณกับนายกเทศมนตรีวินนี่กำลังหาหมาป่าขาวอยู่เหรอ? มันหายไปนานเท่าไรแล้ว? เมื่อวานตอนกลางวันผมพานักท่องเที่ยวขึ้นเขา เหมือนมีคนบอกว่าเห็นหมาป่าขาว”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบถามอย่างร้อนรนว่า “อะไรนะ? เจอหมาป่าขาวของบ้านผมงั้นเหรอ? ที่ไหนกัน? บนเทือกเขาเคอร์บัลใช่ไหม? บอกตำแหน่งเป๊ะๆ มาให้ผมหน่อย ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้!”

ไกด์บอกว่า “ใช่ เมื่อวานเราปีนขึ้นไปบนภูเขาจากถนนสายใหม่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาเคอร์บัล น่าจะอยู่ช่วงกลางภูเขา ตอนที่พวกเราพักมีคนไปเอาน้ำ บอกว่าเห็นหมาป่าขาวดื่มน้ำอยู่ตรงแม่น้ำ ผมคิดว่าน่าจะเป็นหลัวปอของบ้านคุณ เพราะประการแรกหมาป่าสีเทากลายพันธุ์เป็นของหายาก ประการที่สองหมาป่าขาวไม่ได้โจมตีหลังจากที่เห็นนักท่องเที่ยว แต่กลับจากไปอย่างช้าๆ”

ตอนนี้ผู้คนบนเกาะยังไม่ได้เปรียบหัวไชเท้าน้อยกับหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ที่สูญพันธุ์ในทางทฤษฎีว่าคือสิ่งเดียวกัน พวกเขาคิดเพียงว่าหัวไชเท้าน้อยเป็นหมาป่าสีเทากลายพันธุ์เช่นเดียวกับปอหลัวก็คือกวางมูสที่กลายพันธุ์ การกลายพันธุ์เป็นแนวคิดของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วถึงเรียกว่าการกลายพันธุ์ เพราะต่อให้ปอหลัวเปลี่ยนเป็นสีทองก็เรียกได้ว่าการกลายพันธุ์อย่างหนึ่ง

หลังจากที่รู้ตำแหน่งคร่าวๆ แล้ว ฉินสือโอวก็บอกวินนี่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง พาหู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและสามหนุ่มเวหาขึ้นรถไปด้วยกัน เถียนกวาก้าวขาสั้นๆ ของเธอไล่ตามมา พูดเสียงหอบว่า “ปะป๊า หนูก็จะไปหาหลัวปอด้วย”

ฉินสือโอวตอบว่า “หนูอยู่เป็นเพื่อนหม่าม๊าที่บ้านดีไหมคะ? หนูยังเล็ก ปีนเขาเหนื่อยมากนะ”

เถียนกวาส่ายศีรษะด้วยความดื้อดึง เบะปากน้อยๆ แล้วพูดว่า “ไม่เอา หลัวปอกลับมาหม่าม๊าถึงจะมีความสุข เถียนกวาถึงจะมีความสุข หลัวปอไม่กลับบ้าน เถียนกวาไม่มีความสุข เถียนกวาจะไปหามันด้วย”

เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่ดื้อรั้นของลูกสาว ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพาอีวิลสันไปด้วย แน่นอนว่าหลังจากปีนขึ้นไปบนภูเขาได้เพียงไม่กี่ก้าวเจ้าตัวเล็กก็จะเหนื่อยและเดินไม่ไหว ถึงตอนนั้นให้อีวิลสันแบกเธอก็โอเคแล้ว

เมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะขึ้นเขาจากถนนสายใหม่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือ นีลเซ็นกับชาร์คก็ขับรถขึ้นไปพร้อมกับปืนและอธิบายว่า “ถนนใหม่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือเป็นถนนบนภูเขาที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสัตว์ป่าดุร้ายจำนวนมาก ฝูงหมาป่าสีเทาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่นเกือบทั้งหมด ทางที่ดีที่สุดคือรวมตัวกันไปเยอะหน่อยจะเหมาะมากกว่า”

ฉินสือโอวกลับไม่กังวลสัตว์ร้ายบนเขา เขามีฉงต้าจอมโหดที่อยู่ใต้คำสั่งเขา ต่อให้มีเสือดุร้ายมาก็สามารถปะทะด้านหน้าได้ แถมยังมีเจ้าสามหนุ่มเวหาอีก พวกมันไม่ได้กินมังสวิรัติสักหน่อย

รถทั้งสองคันขับไปที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะอย่างรวดเร็ว ด้านนี้เป็นด้านที่มีร่มเงาของเทือกเขาเคอร์บัล มีความสูงและชันมากเป็นพิเศษ มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากที่สุด มีพุ่มไม้และวัชพืชอยู่ทุกหนทุกแห่ง แสงแดด ส่องแสงในเวลาเที่ยงวัน แต่ไม่สามารถเจาะเรือนยอดที่เขียวชอุ่มลงมาได้ แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่เรือนยอดก็ไม่มีใบไม้ที่เจริญเติบโตยาวเต็มที่

ถนนบนภูเขาที่นี่เพิ่งเปิดใช้ ตามริมถนนจึงยังมีวัชพืชที่พยายามเจริญเติบโตขึ้นมาอยู่ ฉินสือโอวปล่อยให้ฉงต้าและเจ้าสามตัวลงมา ให้พวกมันดมดูว่ามีกลิ่นของหมาป่าขาวหรือเปล่า

ฉงต้าเบิกตาเล็กๆ ของมันออกกว้างแล้วทำจมูกฟุดฟิด ใบหน้าอวบอ้วนของมันแสดงความลังเลออกมา ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนภูเขา ดูท่าแล้วน่าจะมีกลิ่นของหมาป่าขาวอยู่

เมื่อเห็นแบบนี้ฉินสือโอวก็ตื่นเต้น ปล่อยสามหนุ่มเวหาออกไปตระเวนดูบนท้องฟ้า หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มปีนเขา

ชาร์คเดินบนถนนบนภูเขาที่สูงชันและยากลำบากและส่ายศีรษะตลอดเวลาโดยกล่าวว่า “บ้าเอ๊ย ไม่เข้าใจจริงๆ นักท่องเที่ยวพวกนี้มีถนนอิฐบล็อกดีๆ กลับไม่เดิน ทำไมพวกเขาถึงยอมเดินบนถนนห่วยๆ แบบนี้ด้วย?”

ฉินสือโอวไม่มีอารมณ์มาอธิบาย จึงอธิบายง่ายๆ ว่า “พวกเขามองสิ่งเหล่านี้เป็นการผจญภัย ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ไปปีนเขาหิมาลัย สำหรับนักท่องเที่ยวประสบการณ์บนเส้นทางภูเขาที่แห้งแล้งจะทำให้พวกเขามีพื้นที่ให้คุยโวได้มากขึ้นในอนาคต”

เถียนกวาถือว่าเป็นอัจฉริยะในกลุ่มวัยเด็กด้วยกันเองแล้ว เธอแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางกีฬาที่ยอดเยี่ยม หลังจากเดินบนภูเขามานานกว่าสิบนาที ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ขาสั้นๆ ของเธอยังมีพลังพอที่จะปีนขึ้นภูเขาได้ต่อ

ฉินสือโอวไม่สามารถเดินไปตามถนนบนภูเขาได้ บางครั้งเขาต้องเดินไปตามแนวขวางสักระยะหนึ่ง ตะโกนเรียกชื่อหัวไชเท้าน้อย ซึ่งในเวลานี้ต้องใช้แรงกายมากกว่าเดิม หลังจากเดินต่อไปได้อีกสิบนาทีกว่า ในที่สุดเถียนกวาน้อยก็เหนื่อยจนเดินต่อไปไม่ไหว

ฉงต้านั่งยองอยู่หน้าเธอให้เธอปีนขึ้นหลังอย่างอ่อนโยน เตรียมที่จะแบกเธอไว้ด้านหลัง และในช่วงขณะนี้เอง แคลร์นกอินทรีทองที่ลาดตระเวนบนท้องฟ้าจู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา ปากของมันส่งเสียงร้องดังแหลม ดูเหมือนว่าจะค้นพบบางสิ่ง!

………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท