ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1859 ของเล่นใหม่ในฟาร์มปลา

บทที่ 1859 ของเล่นใหม่ในฟาร์มปลา

เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมาป่าโชคร้ายตัวนี้ถูกมนต์เสน่ห์ของหัวไชเท้าน้อยสะกดไว้ จึงไม่เสียใจที่ทรยศพรรคพวกตัวเองแล้ววิ่งตามลงเขามา สัตว์นิสัยไม่ดีที่พึ่งพามนุษย์ ถ้าไม่เพราะรักหัวไชเท้าน้อยมากเหลือเกิน หมาป่าผู้หล่อเหลาตัวนี้คงตัดขาดกับฉินสือโอวนายใหญ่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

ดังนั้น ตอนที่มันโดนหัวไชเท้าน้อยผลักจนล้มไปอยู่บนพื้น นี่ไม่ใช่การผลักล้มด้วยความรัก แต่เป็นการผลักไสแบบด้านๆ ผลักเพื่อต่อสู้ เฉกเช่นเดียวกับที่มันผลักกระต่ายสโนว์ชูที่น่ารักแต่รสชาติอร่อยแบบนั้น หัวใจของเจ้าหมาป่าโชคร้ายจึงเจ็บปวดแล้ว

ต่อมาตอนที่ฉินสือโอวพาพวกมันลงจากเขา เจ้าหมาป่าโชคร้ายก็เดินตามหลังอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปมองยอดเขาด้วยความเสียใจ ก้าวไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปมองทีหนึ่ง เดินไปก็มองไปจนสุดท้ายเดินมาจนถึงเชิงเขาและเห็นรถจอดอยู่

ฉินสือโอวคุยกับเจ้าหมาป่าผู้เคราะห์ร้ายว่า “ถ้าแกขึ้นรถคันนี้ ก็เท่ากับว่าแกเป็นของฉันแล้ว และแน่นอนว่าหากแกจีบลูกสาวฉันติด ก็เท่ากับว่าแกแต่งเข้าฟาร์มปลา แต่ถ้าแกจีบไม่ติด แกก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงอีกตัวของฉันนะ”

หมาป่าผู้โชคร้ายตัวนี้ไม่ได้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนหัวไชเท้า หู่จือและเป้าจือแบบนั้น มันเห็นฉินสือโอวอ้าปากคุยกับมัน แต่ไม่รู้ว่าเขากำลังสื่อสารกับมันอยู่ แต่เมื่อเห็นฟันของฉินสือโอวกลับนึกว่าเขากำลังขู่มันอยู่ จิตใจจึงสั่นคลอน แววตาดุร้ายทำท่าทางน่ากลัว ยื่นคอออกไปเตรียมจะขู่คำราม

เมื่อมันอ้าปาก หู่จือเป้าจือ ฉงต้าและหลัวปอที่อยู่รอบข้างก็ล้อมมันไว้และทำท่าราวกับจะจับมันกดไว้ที่พื้นอีกครั้ง

เมื่อเห็นแบบนี้ หมาป่าผู้เคราะห์ร้ายที่เคยโดนทำร้ายก็นับว่าฉลาด มันเคยได้รับบทเรียนแล้วครั้งหนึ่ง มันจึงหุบปากและถอยออกห่าง ใช้สายตาน่าสงสารมองไปที่หญิงที่รักอย่างหัวไชเท้าน้อย ผมลงมาจากเขาก็เพื่อคุณนะ คุณช่วยทำตัวน่ารักกับผมหน่อยไม่ได้เหรอ?

ฉินสือโอวเปิดกระโปรงรถกระบะออก ฉงต้า หู่จือ เป้าจือและแมวป่ากลับขึ้นไปนั่งเบาะท้ายรถ หัวไชเท้าน้อยยื่นศีรษะไปมอง แล้วก็ปีนขึ้นไปหลังกระโปรงรถ

เมื่อเป็นเช่นนี้หมาป่าผู้โชคร้ายก็ทำตามปีนขึ้นไปหลังกระโปรงรถโดยไม่ต้องให้ฉินสือโอวสั่ง

ในขณะที่รถสตาร์ท เครื่องยนต์ก็สั่นและส่งเสียงอู้อี้ หมาป่าผู้โชคร้ายตกใจ ขนขาวๆ ที่คลุกฝุ่นจนสกปรกชี้ตั้งขึ้นมา ดวงตากลมจ้องมองไปรอบๆ หัวไชเท้าน้อยไม่พอใจกลับการแสดงออกของมัน จึงอ้าปากร้องเสียงใส เจ้าหมาป่าดูท่าจะหลงไปกับเสียงของหญิงที่รัก ลำตัวอ่อนลงและนั่งนิ่ง

รถกระบะเคลื่อนตัวออกจากเชิงเขา หมาป่าผู้โชคร้ายเห็นบ้านเกิดตัวเองไกลออกไปเรื่อยๆ มันพิงศีรษะขนแผ่นไม้หลังรถ ส่งเสียงร้องครวญคราง “อูวววว อูวววว…”

ฉินสือโอวไม่อยากให้วินนี่เป็นกังวล ตอนที่เจอหัวไชเท้าน้อยเขาจึงใช้วิทยุสื่อสารไร้สายแจ้งข่าวไปที่ฟาร์มปลา ด้วยเหตุนี้ตอนที่รถขับถึงบ้าน วินนี่จึงอุ้มลูกชายวิ่งออกมาทันที

รถยังไม่ทันได้จอด หัวไชเท้าน้อยร้องโหยหวนแล้วกระโดดลงจากหลังรถ วิ่งเข้าหาอ้อมกอดวินนี่ ใช้หัวนุ่มๆ ของมันเคลียคลอตรงส่วนท้องของวินนี่ไปมา หางสะบัดไปมาอย่างงุ่มง่าม แสดงให้เห็นถึงความดีใจที่อยู่ภายในใจ

เมื่อเห็นลูกสาวที่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวัน วินนี่ดีใจเหลือเกิน เธอฝากซีกวาไว้กับฉินสือโอว เธออุ้มหัวไชเท้าน้อย ด้านหนึ่งก็ลูบขนมันไป ด้านหนึ่งก็ถามมันว่า “เด็กนิสัยเสีย ทำไมข้ามคืนแล้วถึงไม่กลับบ้าน? ไปไหนมาฮึ? แล้วไปทำอะ…เอ่อ นี่เกิดอะไรขึ้น?”

ประโยคสุดท้าย เธอพูดเพราะเห็นหมาป่าผู้โชคร้ายกระโดดลงมาจากรถ เจ้าหมาป่าโชคร้ายตัวนั้นพอลงจากรถก็มองไปรอบด้านอย่างระมัดระวังตัว หลังจากนั้นก็มุดเข้าไปใต้รถทันที เผยให้เห็นแค่ดวงตาสีเขียวใส ท่าทางเหมือนบอกว่าข้าตอบสนองไวประสบการณ์โชกโชน พวกแกทำอะไรข้าไม่ได้หรอก

ฉินสือโอวไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหนึ่งรอบ บอกว่าหัวไชเท้าน้อยน่าจะไม่รู้ว่าไปหาเผ่าพันธุ์หมาป่าขาวเจอได้อย่างไร ช่วงสองวันนี้ก็อยู่กับพรรคพวกมัน ส่วนตัวนี้ก็เป็นหนึ่งในพรรคพวก และยังเป็นผู้ที่ชื่นชอบมันด้วย

หลังจากฟังคำอธิบายจบ วินนี่ก็เข้าใจ เธอมองไปที่หมาป่าผู้โชคร้ายที่หลบอยู่ใต้รถแล้วโผล่ออกมาแค่ครึ่งหัวแล้วก็หัวเราะ หลังจากนั้นก็ลูบไปที่หัวของหัวไชเท้าน้อยแล้วหัวเราะอย่างยินดี “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง หลัวปอของพวกเราโตแล้ว หาเจ้าชายของตัวเองเจอแล้ว จริงไหม?”

หลัวปอน้อยไม่มีจิตใต้สำนึกแบบอิสระ ไม่อย่างนั้นมันคงพูดว่า เจ้าชายบ้าบออะไร มีเจ้าชายที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? องค์หญิงอย่างฉันไม่แต่งให้ไอ้บ้าบอแบบนี้หรอก

หมาป่าผู้โชคร้ายมอมแมมมาก ขนของมันเกาะติดกัน ไม่รู้ว่าเป็นอุจจาระหรือดินโคลน พวกปรสิตบนตัวยิ่งเยอะ ฉินสือโอวพามันไปชำระร่างกายที่ทะเล แต่มันกลัวน้ำทะเล เรียกยังไงก็ไม่ไป

วินนี่เอาอ่างใบใหญ่ของมาสเตอร์ออกมา ปรับน้ำในอ่างให้พอเหมาะ แล้วอาบน้ำให้กับหลัวปอ

เมื่อมีหัวไชเท้าน้อยเป็นแบบอย่าง มีหู่จือเป้าจือคอยเห่าไล่ตลอด หมาป่าผู้โชคร้ายก็หงุดหงิดใจ โดนบังคับให้ลงไปในอ่าง ฉินสือโอวเป็นห่วงว่าเจ้านี่จะกัดวินนี่ จึงจัดการอาบน้ำให้มันเอง แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นได้ป้อนพลังโพไซดอนเข้าสู่ร่างกายของมันก่อน

เมื่อได้รับพลังโพไซดอน คาดว่าหมาป่าผู้โชคร้ายรู้สึกสบาย จึงผ่อนคลายมากขึ้น ตอนที่ฉินสือโอวเอาแปรงเข้าไปแปรงขนเบาๆ ให้มัน แววตาของมันเผยให้เห็นความชื่นชม อืม สบายจัง เสี่ยวฉินทำงานเจ้าให้ดีๆ ตรงก้นนี่มีอุจจาระติดอยู่เยอะเลย ล้างออกให้ดีๆ ล่ะ…

หลังจากหมาป่าผู้โชคร้ายอาบน้ำเสร็จ น้ำในอ่างก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักจำนวนมากลอยอยู่บนผิวน้ำ ฉินสือโอวคาดว่าเจ้านี่หลังจากอาบน้ำเสร็จ น้ำหนักน่าจะลดไปห้ากิโลกว่า

แต่ทว่าลักษณะรูปร่างของหมาป่าผู้โชคร้ายถือว่าไม่เลวเลย โครงสร้างกระดูกมันใหญ่ ลายเส้นกล้ามเนื้อเด่นชัด ขนมันสั้นแต่ตั้งตรง ใบหน้ามีราศีดูสง่า และเนื่องด้วยมันโตอยู่ในป่าตั้งแต่เด็ก มันจึงมีกลิ่นอายแห่งความดื้อรั้น เมื่อมองไปรอบๆ แล้วบรรยากาศแห่งความกล้าหาญก็กระจายไปทั่ว

อาบน้ำให้มันเต็มๆ ทั้งหมดห้าครั้ง ขนขาวๆ ดั้งเดิมของมันถึงค่อยเผยออกมาให้เห็นเด่นชัด เถียนกวาเข้ามาลูบไล้ด้วยความอยากรู้ มันแยกเขี้ยวข่มขู่เถียนกวาไม่ให้เข้าใกล้ตัวมัน แล้วในเวลานี้เองหู่จือและเป้าจือก็ปกป้องอยู่ข้างๆ ซ้ายขวา เพียงแค่เห็นหน้าโหดร้ายของมัน ทั้งสองตัวไม่กล่าวอะไรก็จู่โจมผลักมันและกดไว้ในอ่างจนมันดื่มน้ำสกปรกไปสองอึก

เพียงเท่านี้หมาป่าผู้โชคร้ายก็ทำตัวเชื่องแล้ว มันรู้ว่ามันสู้หู่จือและเป้าจือสองตัวนี้เวลาร่วมมือกันไม่ได้ จึงยอมให้เถียนกวาลูบตัวมัน ก้มหน้าอย่างหดหู่ ยอมรับชะตากรรมตัวเองที่เปลี่ยนจากเจ้าชายน้อยในฝูงหมาป่าเป็นของเล่นใหม่ในฟาร์มปลา

ความจริงแล้วที่หมาป่าผู้โชคร้ายยอมอ่อนข้อให้ เพราะหลังจากที่มันดูดซับพลังโพไซดอนแล้ว มันก็จะมีความรู้สึกที่ดีต่อหู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและเถียนกวาที่ได้รับพลังโพไซดอนเข้าไปปรับเปลี่ยนเช่นกัน ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ยอมละทิ้งความดุร้ายไปง่ายๆ

ถึงแม้จะยอมอ่อนข้อแล้ว แต่หมาป่าผู้โชคร้ายก็ยังไม่เต็มใจที่จะเป็นของเล่นใหม่ในฟาร์มปลา ธรรมชาติของหมาป่าที่หยิ่งผยองของมันไม่ยอมให้เพื่อนของมันบังคับโดยพลการ แต่มันก็สู้กับหู่จือ เป้าตือ ฉงต้า หมีโลลิไม่ได้ แต่ในที่สุดตอนที่เขาเห็นต้าป๋าย โอพอสซัมนอน***อาบแดดอยู่อย่างขี้เกียจ จึงคิดว่าโอกาสที่ตัวเองจะได้เป็นพี่ใหญ่มาถึงแล้ว

หมาป่าขาวคุ้นเคยหนูโอพอสซัมในอเมริกาเหนือเป็นอย่างดี คืออาหารที่พวกมันไม่คิดจะแยแส ดังนั้นมันจึงทำหน้าเคร่งขรึมเดินไปอยู่ด้านหน้าต้าป๋าย ส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ หรี่ตามองคิดจะแกล้งขู่ให้ต้าป๋ายกลัว

ต้าป๋ายมองไปที่มันอย่างเกียจคร้าน ราวกับชายชรามองเด็กที่ยั่วเย้า คิดแล้วก็รู้สึกน่าขัน

หมาป่าผู้โชคร้ายโมโห มันรู้สึกว่าได้รับความอัปยศ แต่ก็ยังไม่ทันได้แสดงความสามารถของตัวเอง เงาร่างมหึมาเงาหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมเสียงดังกึกก้อง ตามด้วยฝ่ามือยักษ์ฟาดลงไป หมาป่าผู้โชคร้ายกลับลอยละล่องจากไปเอง…

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท