ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1862 ฟาร์มปลาของฉัน ฉันตัดสินใจเอง

บทที่ 1862 ฟาร์มปลาของฉัน ฉันตัดสินใจเอง

ตำรวจทะเลของรัฐโนวาสโกเชียจัดการกับสถานการณ์ทางน่านน้ำได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับน่านน้ำนิวฟันด์แลนด์ที่มีพื้นที่กว้างขวาง อีกอย่างเนื่องจากที่นี่มีพรมแดนระหว่างแคนาดาและสหรัฐอเมริกา จึงทำให้กองกำลังตำรวจทางทะเลในท้องถิ่นเข้มแข็งและมีบุคลากรมากขึ้น

ไม่ถึงสองชั่วโมงหลังจากที่ชาวประมงของฟาร์มปลาตระกูลมอร์รี่แจ้งตำรวจ ตำรวจทางทะเลก็มาถึงด้วยเรือความเร็วสูง พวกเขาเข้าร่วมกับตำรวจทางทะเลและขับไปที่ท่าเทียบเรือของฟาร์มปลาแห่งที่สาม พวกเขาชี้ไปที่เรือปริ้นเซสเมล่อนที่จอดอยู่และตะโกนว่า “คือพวกมันครับ คุณตำรวจ พวกเลวสมควรตายพวกนี้มาที่ฟาร์มปลาของพวกเรามาแอบขโมยปลาครับ คุณตำรวจ ได้โปรดจับกุมพวกมันให้ได้นะครับ!”

ผู้หมวดที่นำทีมกำลังส่องดูเรือปริ้นเซสเมล่อนด้วยกล้องส่องทางไกลจากระยะไกล หลังจากที่เขาเห็นชื่อของเรือปริ้นเซสเมล่อน เขาก็พึมพำด้วยความสับสน “เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน คุ้นมากๆ แปลกจริงๆ เลย”

มีคนใช้ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตหาข้อมูลเรือปริ้นเซสเมล่อน แล้วบอกว่า “หัวหน้าครับ เรือลำนี้จดทะเบียนที่เมืองเซนต์จอห์น เจ้าของเป็นคนจีน ชื่อว่า ฉินสือโอว เชี่ย ฉินสือโอว ฉินคนจีนคนนั้นเหรอ?”

ชื่อของฉินสือโอวดังไปทั่วรัฐนิวฟันด์แลนด์ทุกที่ ในอีกแง่ความหมายหนึ่งคือฟาร์มปลาในพื้นที่ทะเลแห่งนี้ถูกควบคุมโดยเขาทั้งหมด น่านน้ำรัฐโนวาสโกเชียก็ถือว่าเป็นของน่านน้ำนิวฟันด์แลนด์ ดังนั้นตำรวจทางทะเลเคยได้ยินชื่อของฉินสือโอวจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ

อย่างไรก็ตามชาวประมงเหล่านี้ไม่ค่อยมีความรู้สึกอะไรต่อชื่อของฉินสือโอว เนื่องจากฟาร์มปลาของตระกูลมอร์รี่ไม่ได้เข้าร่วมพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ นอกจากนี้ชาวประมงเหล่านี้ได้รับคัดเลือกจากตระกูลมอร์รี่จากสหรัฐอเมริกาให้ทำงานให้ พวกเขามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับการประมงท้องที่ สำหรับพวกเขาชื่อฉินสือโอวนี้จึงเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคย

ดังนั้น พวกชาวประมงจึงไม่รู้ความหมายนัยของชื่อนี้ จึงยังถามอย่างมีความหวังว่า “คุณตำรวจเรือลำนี้เป็นเรือที่ขโมยมาหรือเปล่าครับ? ผมกล้าพนันเลยว่า พวกมันน่าจะเคยโดนจับหลายครั้งแล้ว จะต้องเป็นเรือขโมยปลาที่ชั่วช้าอย่างแน่นอน!”

ผู้หมวดส่ายศีรษะ แล้วพูดขึ้น “คุณผู้ชายครับ บางทีพวกคุณอาจจะมีอะไรเข้าใจผิดกัน แม้ว่าเรือปริ้นเซสเมล่อนจะมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างกับเรือขโมยปลา แต่ในเหตุการณ์ขโมยปลาทุกครั้งพวกเขาล้วนเป็นเหยื่อ”

เมื่อเห็นเรือของตำรวจทะเล เพ่าไห่ซึ่งคอยสอดส่องอยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อนโทรหาฉินสือโอวเพื่อแจ้งเรื่อง ฉินสือโอวนายใหญ่ที่กำลังต้มกาแฟอยู่ในห้องเดินออกมาอย่างองอาจ เดินมาที่เทียบท่าเรือ กอดอกและรอผู้มาเยือนด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

เรือเร็วของตำรวจทางทะเลจอดเทียบท่าเรือ ตำรวจทางทะเลหลายนายที่พกกระสุนจริงกระโดดลงมาและผู้หมวดนำทีมก็ทักทายและพูดขึ้นว่า “คุณฉิน? คุณคือเจ้าของเรือปริ้นเซสเมล่อนใช่ไหมครับ? พวกเราได้รับแจ้งเรื่องมา มีคนฟ้องว่าพวกคุณขโมยปลา!”

ฉินสือโอวส่งใบรับรองสินทรัพย์ฟาร์มปลาแห่งที่สามและแผนที่ทางทะเลที่เตรียมไว้ให้กับผู้หมวดแล้วกล่าวว่า “ก่อนอื่นคุณสามารถไปที่เรือประมงของผมดูก่อนว่า บนเรือผมไม่มีปลาอะไรสักตัว อย่างที่สองนี่คือฟาร์มปลาของผม หรือว่ามีคนคิดว่าผมจะขโมยของบนที่ของตัวเองงั้นเหรอ? สุดท้าย แม่งบ้าเอ๊ย พวกเราคนจีนมีสุภาษิตกล่าวไว้ว่า โจรเรียกคนมาจับโจร คนเป็นโจรก็ต้องทำให้ตัวเองรอดพ้น โจรขโมยปลาน่ะมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่พวกเรา เป็นไอ้พวกนี้ต่างหาก!”

ขณะที่พูดไป เขาเอื้อมมือออกไปและชี้ไปที่ชาวประมงอเมริกันที่ติดตามมาอย่างโหดเหี้ยม

ชาวประมงอเมริกันนึกว่ามีตำรวจทางทะเลสนับสนุนอยู่พวกเขาไม่ต้องกลัวอะไรทางนั้น ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าสุดยื่นมือออกไปอย่างดูถูกคว้าฝ่ามือของฉินสือโอว บีบมือของเขาและยิ้มอย่างเลือดเย็นพร้อมพูดว่า “นายพูดอะไร? นายแม่งในหัวคือ****บ้าอะไร เชี่ยเอ๊ย เจ็บชะมัด ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ…”

หลังจากที่จับมือแล้ว ฉินสือโอวก็ออกแรงเต็มที่ แม้มือของเขาจะเล็กกว่าชาวประมงคนนั้น แต่พละกำลังมีมากกว่ามาก ความแข็งแรงอย่างต่อเนื่องถูกส่งจากแขนของเขาไปยังฝ่ามือของเขา เขาบีบมือของชาวประมงอย่างแรงจนเกิดเสียง ‘เปราะ เปราะ’ เจ็บจนชาวประมงคนนั้นร้องโหยหวนไม่หยุด

ตำรวจทางทะเลสังเกตเห็นความขัดแย้งของทั้งสองคน จึงบอกว่า “ระวังพฤติกรรมของพวกคุณด้วย อยากจะมีความขัดแย้งที่รุนแรงหรือไงครับ?”

ฉินสือโอวยิ้มเย็น ขยับแขนของเขา ออกแรงแล้วเหวี่ยงออกไปเหมือนกระสอบ เขาเหวี่ยงชาวประมงตัวอ้วนล้มลงไปนอนกับพื้น

เมื่อเห็นฉากนี้ชาวประมงอเมริกันก็ลอบถอนหายใจ มีคนตื่นตระหนกและตะโกนว่า “เชี่ย กังฟูชาวจีนแม่ง? เจ้านี่เป็นกังฟูเหรอ?”

ยังมีคนหันไปฟ้องตำรวจทะเลด้วย “คุณตำรวจ พวกคุณจะทำเป็นไม่เห็นไม่ได้นะ ไอ้บ้าพวกนี้มันลงมือกับพวกเรา รีบจับพวกเขาสิครับ ต้องลงโทษพวกมันให้หนักๆ!”

ตำรวจทางทะเลไม่สนใจคำพูดพวกเขา ผู้หมวดอ่านใบรับรองทรัพย์สินของฟาร์มปลา รวบรวมไว้และกล่าวกับฉินสือโอวว่า “ขอโทษด้วยครับคุณฉิน เห็นได้ชัดว่าเราได้ข้อร้องเรียนที่เป็นเท็จมา นี่คือฟาร์มปลาของคุณ อย่างที่คุณพูดครับ คุณอยากจะทำอะไร ก็ทำได้หมด”

ทั้งคู่จับมือกันอย่างเป็นมิตร ตำรวจทางทะเลพวกนั้นจากไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

พวกชาวประมงของฟาร์มปลาตระกูลมอร์รี่งุนงงไปหมด ชายร่างใหญ่ที่กำลังกุมฝ่ามือของเขาและร้องโหยหวนคว้าผู้หมวด รั้งเขาไว้และตะโกนว่า “พวกคุณจะไม่ทำตามกฎหมายไม่ได้นะ พวกคุณรังแกคนต่างชาติอย่างเราอยู่! ผมจะติดต่อสถานทูตแล้วฟ้องพวกคุณ!”

รอจนเขาตะโกนเสร็จ ผู้หมวดก็พูดอย่างเยือกเย็นว่า “เชื่อผมเถอะ ทุกท่าน พวกคุณคงไม่คิดจะให้ผมทำตามกฎหมายแน่ๆ เพราะถ้าหากผมใช้ข้อบังคับทางกฎหมาย ก็คงทำได้แค่จับพวกคุณ เพราะพวกคุณแจ้งความเท็จ ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกคุณคือชาวอเมริกัน เรื่องในวันนี้คงไม่จบลงง่ายๆ แบบนี้ เข้าใจไหมครับ?”

“หมายความว่าอะไร?” ชาวประมงกลุ่มหนึ่งงงไปหมดแล้ว

ผู้หมวดยังนับว่าใจเย็น หรืออาจะเป็นเพราะเผชิญหน้ากับคนอเมริกันเขาเลยต้องยับยั้งชั่งใจ เมื่อได้ยินคำถามของพวกเขา เขาจึงอธิบายว่า “นี่คือฟาร์มปลาต้าฉินแห่งที่สาม เป็นถิ่นของเขา ผมคิดว่าเรือขโมยปลาน่าจะเป็นของพวกคุณ แต่ไม่ใช่ของคุณฉินและคนของเขา!”

ชาวประมงอเมริกันตะลึงงัน พวกเขางึมงำกัน “นี่เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นฟาร์มปลาของพวกเรา ฟาร์มปลาตระกูลมอร์รี่ ถ้าไม่เชื่อพวกเราสามารถติดต่อเจ้านายให้พวกคุณดูใบรับรองสินทรัพย์ได้! เรื่องซ่อนเร้น นี่มันต้องมีเรื่องซ่อนเร้นอยู่ข้างในแน่! พวกเราจะติดต่อสถานทูต!”

เมื่อเป็นแบบนี้ผู้หมวดก็ขี้เกียจจะอธิบายให้พวกเขาฟังแล้ว กลุ่มเขาเก็บของ สตาร์ทเรือเร็วและจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว

พวกชาวประมงถูกทิ้งไว้ที่ท่าเรือ ฉินสือโอวและเกิงจุนเจี๋ยพาชาวประมงที่หน้านิ่งล้อมพวกคนอเมริกันเอาไว้ เกิงจุนเจี๋ยชักมีดฆ่าปลาออกมา ด้านหนึ่งก็เล่นกับมีด อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “บอส บอกมาเลยครับ จะเล่นงานพวกหมาบ้านี้ยังไงดี!”

ชาวประมงอเมริกันรีบหนี ตะเกียกตะกายขึ้นเรือและหนีไปอย่างทุลักทุเล

หลังจากจากฟาร์มปลาแห่งที่สามไป พวกชาวประมงพวกนี้รีบโทรหาชาลส์ มอร์รี่ คุณชายแห่งตระกูลมอร์รี่ทันที

เดิมทีชาลส์ไม่สนใจ แต่เมื่อเขาได้ยินชื่อฉินสือโอวและชื่อเรือปริ้นเซสเมล่อนเขาก็ตกใจ รีบถามขึ้นว่า “เล่นอะไรกัน? รีบเล่ามาอีกทีซิว่าฟาร์มปลาเพื่อนบ้านเราเป็นของใคร เป็นของฉินสือโอวงั้นเหรอ? แม่งเอ๊ย ทำไมต้อมาเจออีกแล้วเนี่ย?”

ในใจของชาวประมงคนนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ อย่างไรเขาก็โดนฉินสือโอวและพรรคพวกรังแกอย่างน่าสมเพช ดังนั้นเขาจึงตะโกนจะแก้แค้นทางโทรศัพท์ตลอด

ชาลส์หมดความอดทนเมื่อเขาได้ยินจึงตะคอกใส่ “หุบปาก แกเจ้าพวกโง่ ถ้าฉันไม่ได้ไปที่ฟาร์มปลา พวกแกห้ามไปสร้างเรื่องเพื่อนบ้านที่สมควรตายนั่นเด็ดขาด เข้าใจไหม?!”

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท