ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1858 เอากลับไปสองตัว

บทที่ 1858 เอากลับไปสองตัว

เมื่อเห็นหมาป่าขาวตัวนี้ ฉินสือโอวดีใจมาก อดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไปข้างหน้าและตะโกนว่า “หัวไชเท้าน้อย!”

ฉินสือโอวนายใหญ่ก้าวไปข้างหน้าและหมาป่าสีขาวตัวอื่นๆ ก็คำรามอย่างหงุดหงิด หู่จือและเป้าจือจ้องตาถลึง พุ่งเข้าไปหาทั้งซ้ายและขวา ชูคอพร้อมอ้าปากร้องคำราม “โฮ่งๆๆๆ!”

หากพูดแบบจริงจัง ลำตัวของสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์เล็กกว่าหมาป่าขาวสองเท่า ถ้าเจอกันในป่าหมาป่าขาวหนึ่งตัวสามารถกัดสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ห้าตัวให้ตายได้และจากไปอย่างมีความสุข แต่หู่จือและเป้าจือไม่ใช่สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ธรรมดา พวกมันเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ในฝูงสุนัข มองดูรูปร่างไม่ใหญ่แต่กำลังต่อสู้นั้นยอดเยี่ยม

หู่จือและเป้าจือจ้องไปที่หมาป่าขาวพวกนี้อย่างเคร่งเครียด ราวกับจะบอกว่าเจ้าพวกนี้ถ้ากล้าก็ออกมา จะสู้แบบเดี่ยวหรือเป็นฝูงพวกข้าก็ไม่กลัวทั้งนั้น จะกัดพวกแกให้ตายให้หมด

เมื่อได้รับคำท้า หมาป่าขาวโกรธเหมือนภูเขาไฟจะระเบิด แต่พวกมันไม่กล้าผลีผลามลงมือ เพราะข้างหลังแลบราดอร์ยังมีหมียักษ์อีกตัวหนึ่งที่พวกมันแทบไม่เคยเห็นในชีวิต

บนเทือกเขาเคอร์บัลมีฝูงหมาป่าขาวอยู่ และก็มีหมีสีน้ำตาลเช่นกัน ฉงต้าไม่ใช่หมีที่เกิดจากก้อนหินสักหน่อย หมาป่าขาวปกติเคยเห็นหมีสีน้ำตาล บางทีทั้งสองฝ่ายอาจจะเคยต่อสู้กันอยู่บ้าง พวกมันรู้ถึงความเก่งกาจของหมีสีน้ำตาล ดังนั้นต่อหน้าฉงต้าพวกมันจึงยังยับยั้งตัวเองไว้

หัวไชเท้าน้อยเดินบิดตัวไปมา ฉินสือโอวรั้งมันเข้ามากอด สูดดมกลิ่นที่คุ้นเคยของเจ้าเด็กน้อยนี่ ในใจเขาเต็มไปด้วยความสุข ใช้นิ้วสางขนของมันให้เรียบร้อยแล้วกระซิบว่า “เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ ในที่สุดก็หาเจ้าเด็กน้อยนี่เจอจนได้ หม่าม๊าวินนี่ของเราเป็นห่วงเรามากเลยรู้ไหม?”

เมื่อคิดถึงวินนี่ที่เป็นห่วงจนกินไม่ได้มาสองวัน ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ไม่พอใจขึ้นมา ตีไปที่ก้นของเจ้าเด็กน้อยสองที พูดอย่างเคืองๆ ว่า “ทำไมถึงแอบหนีออกจากบ้านฮะ? ตั้งนานก็ยังไม่กลับบ้านอีก?”

หัวไชเท้าน้อยร้องเสียงเอ๋งๆ สองที หลังจากนั้นใช้ก้นหนีบหางไว้ อ้าปากแลบลิ้นเลียไปที่หลังมือของฉินสือโอวอย่างเอาใจ

ส่วนหมาป่าขาวที่ถูกกระแทกไปพอเห็นฉินสือโอวตีหัวไชเท้าน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างร้อนรน แต่ฉงต้าก็พุ่งเข้าไปอย่างดุเดือด ตบไหล่ของหมาป่าสีขาวผู้โชคร้ายด้วยความเร็วดุจสายฟ้า จนก้นมันไถลไปบนพื้นดินไกลหลายเมตร

หมาป่าขาวตัวอื่นๆ เริ่มหงุดหงิดมากขึ้น ฉงต้าตบพื้นอย่างรุนแรงด้วยอุ้งเท้าใหญ่ของมันและส่งเสียงอู้อี้ราวกับลิงกอริลล่าที่กำลังจะแสดงพลัง น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง

หัวไชเท้าน้อยผละออกจากอ้อมกอดของฉินสือโอวและจ้องไปที่หมาป่าขาวตัวอื่นๆ เงยศีรษะขึ้นเพื่อส่งเสียงหอนเป็นเวลานานราวกับจะเตือนพวกมันว่าอย่าผลีผลาม

หมาป่าขาวตัวอื่นก็ส่งเสียงหอนเช่นกัน แววตามองไปฉินสือโอวอย่างไม่พึงพอใจ

ฉินสือโอวพอจะเข้าใจแล้ว หัวไชเท้าน้อยอาจจะไม่รู้ว่าโดนพรรคพวกพันธุ์เดียวกันเจอตัวมันได้อย่างไร บางทีเจ้าหมาป่าขาวพวกนี้อาจจะเคยไปสวนแก่นตะวัน แล้วปัสสาวะอุจจาระอยู่แถวนั้น หัวไชเท้าน้อยดมกลิ่นเหมือนของตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ว่าต่อมาเป็นอย่างไร จนมาเจอพรรคพวกพันธุ์เดียวกัน แล้วอยู่มาจนถึงตอนนี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหัวไชเท้าน้อยเป็นกลุ่มเดียวพันธุ์เดียวกับหมาป่าขาวอย่างแน่นอน แต่มันเป็นของฟาร์มปลา เพราะได้รับการเลี้ยงดูจากวินนี่

ฉินสือโอวรู้สึกกังวลใจขึ้นมา เจ้าพวกนี้เปลี่ยนเป็นหมาป่าขาวขี้ขลาดไม่ได้หรืออย่างไร? เขาลองกวักมือเรียกหัวไชเท้าน้อยดู ชี้ไปที่ฟาร์มปลาที่อยู่ด้านล่างเขา “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ หม่าม๊าวินนี่รออยู่นะ แล้วยังทำของอร่อยๆ ไว้เยอะเลยด้วย”

หัวไชเท้าน้อยรีบวิ่งไปอยู่ข้างเขาทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย อีกทั้งยังส่ายหางดุ๊กดิ๊กแสดงท่าทีมีความสุขด้วย

ฝูงหมาป่าเดินวนไปวนมาอยู่ตรงนั้นอย่างร้อนใจ หัวไชเท้าน้อยไม่มองพวกมันแม้แต่น้อย นั่งยองๆ อยู่หน้าฉินสือโอวมองเขาอย่างมีความหวัง ราวกับว่ารอเขาพามันกลับบ้าน

หมาป่าโชคร้ายตัวนั้นที่โดนฉงต้าฟาดกระแทกกับพื้นลุกขึ้นมา มันส่งเสียงร้องหาหัวไชเท้าน้อย ส่วนหัวไชเท้าน้อยก็หันกลับไปมองมันแล้วร้องเรียกกลับเช่นกัน

เจ้าหมาป่าโชคร้ายทำจมูกฟุดฟิด สายตาปราดมองไปที่พวกเดียวกันอย่างเลื่อนลอย หลังจากนั้นก็เดินก้มหัวไปอยู่หน้าหัวไชเท้าน้อย

ทันใดนั้นฝูงหมาป่าก็ตื่นตัวและโจมตีทันที พวกมันพุ่งเข้ามาหาโดยไม่สนการข่มขู่ของฉงต้า ฉงต้า หู่จือและเป้าจือคิดจะโจมตีกลับ แต่ฉินสือโอวยับยั้งพวกมันไว้ เพราะเขาดูออกว่าหมาป่าพวกนี้ไม่ได้พุ่งมาที่ตน

เป็นจริงดั่งคาด ฝูงหมาป่าล้อมหมาป่าโชคร้ายตัวนั้นและหัวไชเท้าน้อยไว้ อ้าปากเตรียมทั้งจะกัดและฉีกเป็นชิ้นๆ แต่เจ้าหมาป่าโชคร้ายและหัวไชเท้าน้อยกลับไปมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทำเพียงแค่หลบ อย่างมากหากถูกกัดจนเจ็บก็ร้องคำรามให้มันกลัว

เมื่อเห็นหัวไชเท้าน้อยโดนกัด ฉินสือโอวก็ทนไม่ไหว เขาชี้ฉงต้าไปทางด้านหน้า ฉงต้าพุ่งเข้าไปหาพร้อมคำรามเสียงราวกับรถถังเสียงดังหึ่มๆ พุ่งไปในฝูงแกะ ทั้งชนทั้งกัดขจัดฝูงหมาป่าออกไปได้อย่างง่ายดาย

ฉินสือโอวอุ้มหัวไชเท้าน้อยมาอยู่ในอ้อมแขนแล้วสำรวจตรวจตรา มันไม่มีบาดแผลบนตัว เพียงแต่ขนละเอียดนุ่มของมันยุ่งเหยิงไม่น้อย

หัวไชเท้าน้อยม้วนตัวไปมาอยู่บนตัวเขา ทีแรกฉินสือโอวนายใหญ่นึกว่ามันจะหยอกเล่นและบ่นนึกโทษเขา แต่ตอนหลังกลับพบว่า เจ้าเด็กน้อยกำลังจัดการกับขนตัวเองอยู่…

สุดท้ายเขาก็พาหัวไชเท้าน้อยกลับไปยังเส้นทางที่เดินมา เจ้าหมาป่าโชคร้ายยังเดินโซซัดโซเซตามมา มันเลียไปที่ก้นของหัวไชเท้าน้อย หัวไชเท้าน้อยรังเกียจจนรีบวิ่งออกไปหลายก้าวเมื่อเห็นแบบนี้เจ้าหมาป่าโชคร้ายก็รีบวิ่งตามไปติดๆ เดินตามหลังไปด้วยท่าทีเคอะเขิน

เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมาป่าผู้โชคร้ายจะติดตามหัวไชเท้าน้อยและออกมาจากฝูงหมาป่าขาว แค่ได้ยินเสียงคำรามอย่างไม่พอใจของฝูงหมาป่าขาวก็พอรู้แล้ว

แต่ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจ ไม่ถูกนี่นา ฝูงหมาป่าไม่เหมือนมนุษย์ ในเผ่าพวกมัน ราชาหมาป่าจะมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ แต่สำหรับฝูงหมาป่าขาวกลับไม่มีวี่แววของราชาหมาป่าปรากฏตัวขึ้น

แต่เขาก็ไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะบางทีฝูงหมาป่าขาวอาจจะแตกต่างจากฝูงหมาป่าเทาทั่วๆ ไป เพราะอย่างไรก็ตามพันธุ์หมาป่าขาวนี้ก็ใกล้สูญพันธุ์แล้วคาดว่ากฎของฝูงหมาป่าหลายข้อคงไม่ได้สืบทอดต่อกันมา พวกมันก็แค่อยู่ไปวันๆ ด้วยกันแค่นั้นเอง

พาหัวไชเท้าน้อยและหมาป่าโชคร้ายที่เดินตามพวกเขาหน้าตายกลับไปหาอีวิลสันและลูกสาวของเขาเพื่อเตรียมตัวลงเขา

เมื่อเห็นหัวไชเท้าน้อย เถียนกวาดีใจมาก เลื่อนลงมาจากร่างอีวิลสันมันแล่นลงจากสไลเดอร์ วิ่งเข้าไปหาหัวไชเท้าน้อยด้วยความดีใจและโอบกอดมันอย่างปรีดา หัวไชเท้าน้อยเป็นคนที่เห็นเถียนกวาเติบโตขึ้นมา เพราะตอนที่เถียนกวายังเล็ก แล้วหากวินนี่ยุ่งกับงานก็ให้หัวไชเท้าน้อยเป็นแม้กระทั่งคนดูแลเถียนกวา

ดังนั้นหัวไชเท้าน้อยจึงเอ็นดูเจ้าเด็กน้อยคนนี้มาก คอยหยอกล้อเธอด้วยอุ้งเท้าของมันตลอดเวลา อ้าปากแล้วใช้ฟันโขกไปที่เธอเบาๆ เล่นด้วยกันสนุกสนาน

เมื่อเล่นไปสักพัก เถียนกวาก็สังเกตเห็นหมาป่าผู้โชคร้าย และชี้ไปที่หมาป่าตัวนั้นอย่างองอาจพยายามจะจับมัน

อย่างไรเจ้าหมาป่าโชคร้ายก็เป็นหมาป่าขาวที่มีความดุร้ายอยู่ ตาจ้องมอง ร้องคำรามอย่างน่ากลัวและเผยให้เห็นฟันพุ่งไปที่เถียนกวาทันที

ผลปรากฏว่ามันยังไม่ทันได้แสดงฤทธิ์เดช หัวไชเท้าน้อยก็พุ่งเข้าไปกัดที่ปากมันก่อน ส่วนฉงต้าก็วิ่งเข้าไปหาฟาดอุ้งเท้าเข้าไปจนมันล้มไปที่พื้น หู่จือและเป้าจือกัดขากดรั้งมันไว้

หมาป่าโชคร้ายนอนอยู่ที่พื้นด้วยความอัปยศ ผิวหน้าของมันถูกหัวไชเท้าน้อยกัดโดน อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก จึงทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เถียนกวาเหยียบบนตัวมัน

………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท