ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1866 การก่อสร้างอันแสนวุ่นวายของฟาร์มปลาแห่งที่สาม

บทที่ 1866 การก่อสร้างอันแสนวุ่นวายของฟาร์มปลาแห่งที่สาม

ฉินสือโอวอธิบายว่าพวกเราไม่เหมือนกับชาวอเมริกันพวกนั้นที่อยู่ฟาร์มปลามอร์รี่ พวกเราเป็นชาวแคนาดา ไม่เหมือนคนอเมริกันที่หยาบคาย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิ้มแล้วจากไป ที่จากไปไม่ใช่เพราะฉินสือโอวพูดจนเข้าใจ แต่เพราะพวกชาวประมงที่เหมือนโจรพวกนั้นล้อมเข้ามา เขาจึงกลัวว่าถ้ายังไม่ไปอีกคงจะโดนรุมก่อน

ฟาร์มปลาแทบจะขาดของทุกอย่าง ดังนั้นจึงแทบจะต้องซื้อทุกอย่าง ของที่ใช้ในชีวิตประจำวันฉินสือโอวได้คิดไว้ก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว เขาใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์รายการออกมา ทุกคนต่างมีของที่ตัวเองต้องรับผิดชอบในการซื้อ ฉินสือโอวมีหน้าที่ในการซื้ออาหาร เขาจึงดูแลส่วนนี้

เขาเอาเนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อห่านมาจากเกาะแฟร์เวล เขาซื้อพวกเนื้อวัว เนื้อแพะ ผักและผลไม้ในซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะอย่างไรก็ตามพวกชาวประมงเป็นพวกกินจุ อะไรก็กินเข้าไปได้หมด ส่วนเขาก็อะไรก็ได้ ดังนั้นพอเขาเห็นอะไรก็หยิบลงรถเข็นไปหมด หยิบจนเต็มห้าคันรถเข็น ถึงค่อยชะลอฝีเท้าลง

ขณะที่เดินเล่นในซูเปอร์มาร์เก็ต เขาไม่คาดคิดว่าจะเจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ่งอี ซึ่งเขารู้สึกทอดถอนใจ ไม่ได้กินสิ่งนี้มาหลายปีแล้ว พอเจอกะทันหันแบบนี้ก็รู้สึกคิดถึง จึงรีบหยิบมาสองลังใหญ่

สำหรับเขาที่ทานอาหารรสชาติเป็นเลิศคุณภาพเยี่ยมจนติดเป็นนิสัย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ถือว่ามีแรงดึงดูดสำหรับเขาเลย แต่ถ้าเอาเจ้านี่มาเป็นของกินเล่นตอนกลางคืน ก็ไม่เลวทีเดียว

เมื่อทุกคนซื้อของเสร็จ ฉินสือโอวเป็นคนจ่ายเงิน ซูเปอร์มาร์เก็ตเปิดช่องแคชเชียร์ให้พวกเขาได้ใช้เป็นพิเศษก่อน เพราะครั้งนี้พวกเขาซื้อของไปเยอะมาก ทั้งเครื่องครัว อาหารและของใช้ในชีวิตประจำวัน 50,000 ดอลลาร์แคนาดาก็เอาไม่อยู่

รถปิคอัพสองคันท้ายมีของเต็มรถไปหมด แต่พอมีของใช้พวกนี้ ก็เท่ากับมีของพื้นฐานที่จำเป็นกับความต้องการในฟาร์มปลาแล้ว

ฝูงปลาที่พามาจากฟาร์มปลาต้าฉินยังคงมาไม่ถึง ตอนเย็นฉินสือโอวเลยเรียกรวมกลุ่มชาวประมงมากินมื้อดึกด้วยกัน แน่นอนว่าอาหารมื้อดึกก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ก่อนจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฉินสือโอวตั้งใจถามชาวประมงก่อนเลยว่าใครจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ้าง พวกชาวประมงไม่เคยทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผลิตในประเทศจีนมาก่อนจึงถามเขาว่ารสชาติเป็นแบบไหน ฉินสือโอวตอบว่ารสชาติสิ่งนี้มันก็ไม่มีมาตรฐานมาวัดซะด้วย เขาจึงไม่กล้ารับปาก

เกิงจุนเจี๋ยส่ายศีรษะบอกว่าไม่กิน ชาวประมงคนอื่นๆ ก็บอกว่าไม่กินเช่นกัน บูลและคนอื่นๆ จึงถามด้วยความสงสัยว่าทำไมไม่กิน เกิงจุนเจี๋ยบอกว่าตอนอยู่ที่บ้านกินสิ่งนี้จนเบื่อแล้ว รสชาติไม่อร่อย

ฉินสือโอวพยักหน้า บอกว่าสมัยก่อนเขาก็กินจนเลี่ยนไปหมด แต่ครั้งนี้ที่กินก็อยากจะย้อนรำลึกชีวิตในอดีตของเขา พอได้ยินแบบนี้ พวกชาวประมงก็ไม่มีใครสนใจเลย

แต่ทว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของแบบนี้ หลังจากต้มเดือดแล้วจะไม่ปิดฝา โดยเฉพาะตอนนี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เขาต้มอยู่เป็นยี่ห้อถ่งอีรสหมาล่าเนื้อวัว พอเปิดฝาหม้อออก กลิ่นหมาล่าก็กระจายออกไปทั่วอย่างเต็มที่ จนพวกชาวประมงเริ่มนั่งไม่ติด ทำจมูกฟุดฟิด ยืนอยู่หน้าประตูเมียงมอง

ฉินสือโอวเป็นคนทำอาหารมีข้อดีอยู่อย่าง นั่นก็คือตั้งใจ เอาการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปครั้งนี้มาเป็นตัวอย่าง เขาทำตามที่เขียนบนซอง เนื้อวัวชิ้นใหญ่ที่ต้มจนเดือดปุดๆ ผักสีเขียวๆ คู่กับบะหมี่สีเหลืองทอง พอออกจากหม้อก็คือบะหมี่หมาล่าเนื้อวัวแบบต้นตำรับดีๆ นี่เอง

บูลเลียริมฝีปากแล้วพูดขึ้น “เชี่ย หอมมาก นี่บะหมี่อะไรเนี่ย? กลิ่นยังน่าดึงดูดกว่าสปาเกตตีอีก”

พวกชาวประมงพยักหน้ารัวๆ เห็นด้วย เกิงจุนเจี๋ยพาลูกน้องทหารหลายคนไปยืนอยู่ด้านหลังแล้วก็ทำตัวไม่ถูก เขาถามคนข้างๆ ว่า “กลิ่นบะหมี่อันนี้มันไม่เลวเลยจริงๆ เดี๋ยวกินกันสักหน่อยไหม?”

ชายคนนั้นยิ้มอย่างขมขื่น “อย่าเลย หัวหน้าเกิง ตอนอยู่ที่จีนผมกินทุกวัน พอออกต่างประเทศแล้วพวกเราก็มีอาหารทะเลกินแล้ว ทำไมยังต้องกลับไปทรมานแบบนั้นอีกนะ?”

ฉินสือโอวตักขึ้นมาชิมหนึ่งคำก่อน รสชาติยังอร่อยกว่าบะหมี่ทะเลอะไรนั่นที่เขาทำมากกว่าอีก เพราะเส้นเหล่านี้จะหนึบกว่า มีความหนึบหนับอยู่ในปากเวลาเคี้ยว ส่วนซุปก็เป็นซุปหมาล่าเนื้อวัวแบบต้นตำรับ ดังนั้นบะหมี่หมาล่าเนื้อวัวที่ทำออกมาจึงมีรสชาติดีแน่นอน

บูลและชายร่างใหญ่สองสามคนเบียดเสียดกันแย่งเข้ามา รีบหยิบเอาบะหมี่ที่เหลืออยู่ในหม้อ ฉินสือโอวคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะทนกลิ่นของหมาล่าเนื้อวัวที่กระตุ้นแบบนี้ได้ จึงต้มไม่เยอะ พอเป็นแบบนี้เมื่อพวกเขาแย่งกัน แม้แต่ซุปในหม้อก็หมดเกลี้ยง

ถ้ารสชาติของบะหมี่หม้อนี้ธรรมดาก็ช่างมันแล้ว แต่ว่าเขากลับรู้สึกว่าเขาต้มได้ดีทีเดียว ดังนั้นพอเห็นพวกชาวประมงแย่งอาหารรสเลิศของตัวเองที่กำลังจะเข้าปากก็โมโหขึ้นมาทันที ตะคอกใส่ว่า “พวกนายอยากกินทำไมไม่บอกล่วงหน้า? เมื่อกี้ฉันก็ถามแล้วว่ากินไหม พวกนายก็บอกว่าไม่กินไม่ใช่เหรอ?”

ชาร์คพูดอย่างน่าสงสารว่า “บอส อันนี้บอสต้องไปโทษพวกเกิง เพราะพวกเขาทำให้พวกเราเข้าใจผิดแล้วบอกว่าไม่อร่อย แต่จริงๆ แล้วรสชาติของบะหมี่อันนี้คือสุดยอดมาก อร่อยกว่าทั้งสปาเกตตี ทั้งมะกะโรนี อร่อยมากกว่ามาก”

เดิมทีงานต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นงานง่ายๆ แต่บะหมี่ที่ฉินสือโอวต้มใส่ซุปเนื้อวัว แล้วเมื่อกี้เขาก็ต้มไว้นิดเดียว เอาไปใช้หมดแล้ว ถ้าจะให้ต้มอีกก็ยุ่งยากไม่น้อย

แต่ทว่าต่อให้ยุ่งยากอย่างไรก็ต้องทำ เพราะเมื่อกี้เขาตักใส่ชามเพื่อชิมแค่นิดเดียว หลังจากนั้นก็ถูกพวกชาวประมงแย่งกินไปจนเกลี้ยง

ครั้งนี้เขาใช้หม้อใบใหม่ตุ๋นน้ำซุปเนื้อวัวหนึ่งหม้อ ต้มจนรสขาติของเนื้อวัวออกมา แล้วค่อยใส่บะหมี่ลงไปครึ่งลัง แม้แต่เกิงจุนเจี๋ยและพรรคพวกก็ลงมือกิน กินจนท้องอิ่มอืดไปหมด

ผ่านไปสองสามวัน ฝูงปลายังคงอยู่ระหว่างเดินทาง แต่ปลาชนิดพิเศษบางชนิดที่เขาเลี้ยงไว้ อย่างกุ้งกุลาดำ ปลาลิ้นหมา ปลาตัวลาย ปลาไหลญี่ปุ่น ปลาดาบเงิน ปลาไส้ตันสีเงิน เป็นต้น ปลาเศรษฐกิจพวกนี้ทยอยมาถึงแล้ว

ปลาพวกนี้เป็นฝูงปลาที่ผ่านการคัดเลือกจากพันธมิตรที่เหมาะจะเอามาเพาะพันธุ์ในฟาร์มปลาแห่งที่สาม เมื่ออยู่ในที่ที่มีสิทธิประโยชน์ก็ได้รับสิทธิ์ก่อนใคร ฉินสือโอวในฐานะที่เป็นประธานพันธมิตร เขาจึงคุ้นเคยกับฝูงปลาชนิดพิเศษของแต่ละฟาร์มปลาเป็นอย่างดี ปลาที่ได้รับการคัดเลือกมาย่อมเป็นปลาที่มีความสามารถในการพัฒนามากที่สุด

ส่วนเจ้าของฟาร์มปลาต่างก็ดีใจที่ปลาของตัวเองได้รับการคัดเลือกจากเขา พวกเขาเต็มใจที่จะมอบฝูงปลาให้ฉินสือโอว แถมพวกเขายังไม่ต้องการเงินด้วย แต่ต้องการอาหารเลี้ยงปลาแบรนด์ต้าฉินมาแลกเปลี่ยนแทน!

ประสิทธิภาพของความแข็งแกร่งของอาหารปลาแบรนด์ต้าฉินยิ่งมากขึ้นทุกวัน พวกเจ้าของฟาร์มได้ทำการทดลองการเพาะพันธุ์ด้วยอาหารปลาแบรนด์ต้าฉิน พวกปลาไม่เพียงแต่เจริญเติบโตได้ไว คุณภาพเนื้อก็ดีมาก อีกทั้งยังสุขภาพแข็งแรงด้วย ดังนั้นฟาร์มปลาในพันธมิตรตอนนี้จึงยอมรับที่จะใช้อาหารปลาแบรนด์ต้าฉินในการเพาะพันธุ์

ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหามาตลอด เพราะฟาร์มปลายิ่งเยอะ ตวามต้องการก็มากตามไปด้วย ทางด้านฉินสือโอวใช้ไลน์การผลิตแปดไลน์ด้วยกันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด

สายการผลิตอื่นๆ อีกแปดสายอยู่ระหว่างดำเนินก่อสร้างเช่นกัน แต่นี่ไม่สามารถดำเนินการเสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นเพราะว่าไลน์ผลิตสายใหม่ต้องสร้างโรงงานใหม่ ไลน์การผลิตสมัยก่อนสร้างขึ้นใหม่จากโกดังของฟาร์มปลา ซึ่งโรงงานพวกนั้นก็ถูกใช้จนหมดแล้ว

ดังนั้นพวกเจ้าของฟาร์มปลาก็ฉลาดในการเรียนรู้ พยายามติดต่อฉินสือโอวทุกวิถีทาง ใช้เส้นสายในการได้มาซึ่งอาหารเลี้ยงปลา เขารู้สึกปวดหัวกับสิ่งนี้มาก แต่ก็ไม่มีวิธีแก้ไข จึงทำได้เพียงเน้นระเบียบวินัย ไม่อนุญาตให้เจ้าของฟาร์มปลาใช้เส้นสายตามอำเภอใจและปล่อยให้พวกเขาต่อแถวซื้ออาหารปลาพอ

ไม่สามารถแซงคิวได้ พวกเจ้าของฟาร์มปลาก็เริ่มถกเงื่อนไขกับฉินสือโอว ดังนั้นตอนที่เขาจะซื้อลูกปลาเพื่อไปพัฒนาฟาร์มปลาแห่งใหม่ เจ้าของฟาร์มปลาทุกคนต่างขอให้เขาเริ่มต้นธุรกิจกับเขา นั่นก็คือลูกปลาแลกกับอาหารปลา แลกกันด้วยราคาที่เท่ากันอย่างยุติธรรม!

…………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท