ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1864 ที่แท้ก็แบบนี้

บทที่ 1864 ที่แท้ก็แบบนี้

เรื่องที่ชาลส์กำลังพูดก็เป็นเรื่องจริง การลงทุนในฟาร์มปลาของพวกเขาไม่ได้รับการควบคุมดูแลที่ดี จึงมีทรัพยากรที่เป็นผลผลิตจำนวนหนึ่งมาที่ฟาร์มปลาแห่งที่สามเช่นกัน

โอเค ความจริงแล้วมีทรัพยากรที่เก็บเกี่ยวได้จำนวนไม่น้อยเลยที่มาฟาร์มปลาแห่งที่สาม ฉินสือโอวก็ลงทุนซื้อสาหร่ายทะเลและพืชน้ำจำนวนมากมาไว้ที่ฟาร์มปลาแห่งนี้ อีกทั้งในบางครั้งก็ป้อนพลังโพไซดอนเข้าไปปรับปรุงอีก ดังนั้นฟาร์มปลาแห่งที่สามจึงมีแรงดึงดูดพวกปลามาก และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เรือของพวกเขามาจับปลาในฟาร์มปลาแห่งนี้

แต่นี่จะมาโทษเขาได้เหรอ? ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกเหมือนโดนกลั่นแกล้ง ทรัพยากรของฟาร์มปลานายเองกลับไม่ดูแลให้ดี พวกมันวิ่งมาหาฉันเอง เขาก็ไม่ได้ไม่ยั่วให้พวกมันมาสักหน่อย ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็ไม่น่าต้องรับผิดชอบนะ?

ไม่มีทางที่เขาจะขายฟาร์มปลาแห่งที่สามให้ชาลส์ บางทีทรัพยากรที่จะเก็บเกี่ยวได้ที่นี่ยังไม่เยอะ แต่สาหร่ายทะเลและพืชน้ำได้กลายเป็นอาณาเขตไปแล้วโดยปรากฏในรูปแบบทุ่งหญ้าใต้น้ำแบบเดียวกับฟาร์มปลาอีกสองแห่ง นี่คือการเก็บเกี่ยวที่เขาใช้เวลานานกว่าหนึ่งปีและพลังโพไซดอนที่เขาใช้ไปในปีนี้ก็คุ้มค่าแล้ว!

ฉินสือโอวปฏิเสธเขา บอกว่า “คุณอาจจะไม่เข้าใจนะเพื่อน ผมชอบฟาร์มปลาแห่งนี้จริงๆ ไม่เพียงแค่ทรัพยากรที่เก็บเกี่ยวได้ แต่ยังเป็นเพราะตำแหน่ง ด้านข้างนี้ก็เป็นเคจิมกูจิก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สิ่งแวดล้อมดีมากในแคนาดา เป็นอะไรที่เกาะแฟร์เวลเทียบไม่ได้เลยสักนิด”

เขาหยุดสักพัก แล้วก็พูดต่อ “คุณรู้ไหมว่าหน้าร้อนสามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ที่นี่ หน้าหนาวสามารถมองเห็นแสงออโรร่า ในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงก็มีอุณหภูมิและความชื้นที่พอเหมาะ เหมาะกับการอยู่อาศัยมาก แม้กระทั่งในอนาคตในช่วงเวลาหนึ่ง ผมก็จะย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ เข้าใจไหมครับ? ที่นี่เป็นบริเวณบ้านใหม่ที่ผมเลือกไว้แล้ว ผมจะขายมันทิ้งได้อย่างไรกันล่ะครับ?”

ชาลส์ยังพยายามอย่างหนัก “ฉิน ผมเข้าใจความหมายคุณดี แต่ว่าสำหรับคุณแล้ว เกาะแฟร์เวลถึงจะถือว่าเป็นถิ่นที่ตั้งรกรากไม่ใช่เหรอ? ถ้าหากคุณแค่ชอบที่นี่ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ตระกูลของผมสามารถซื้อวิลล่าที่อยู่รอบๆ อุทยานแห่งชาติให้คุณได้ คุณแค่ปล่อยฟาร์มปลานี้ให้พวกเราจะได้ไหม?”

ฉินสือโอวทราบดีว่า ตระกูลมอร์รี่หลงใหลในทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่นี่แล้ว ตราบใดที่ชาวประมงของพวกเขาขยันและอดทน หากใช้เครื่องหาปลาเพื่อนับทรัพยากรที่จับได้จะพบความแตกต่างได้ง่ายระหว่างทรัพยากรที่จับได้ในฟาร์มปลาแห่งที่สามกับบริเวณน่านน้ำโดยรอบ

หรือเป็นได้แม้กระทั่งว่า พวกเขาอาจจะค้นพบว่า คุณภาพของผลผลิตที่ได้จากฟาร์มปลาแห่งที่สามดีกว่าฟาร์มปลาคาร์เตอร์ที่อยู่ข้างเคียงมาก ดังนั้น เหตุผลที่ชาลส์มามอบของขวัญให้เขาถึงที่ ค่อยๆ คุยกับเขาอย่างอดทนก็เป็นเหตุผลง่ายๆ

พวกเขาอยากซื้อฟาร์มปลาแห่งนี้ หลังจากนั้นใช้ผลผลิตที่ได้จากฟาร์มปลาแห่งนี้มาสู้กับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน

ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ ฉินสือโอวยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะขายฟาร์มปลาให้ตระกูลมอร์รี่ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ชาลส์มาพูดดีกับเขาหรือว่ามอบของขวัญให้เขาถึงที่แล้วจะแก้ปัญหาได้ อย่าว่าแต่ให้แค่รูปปั้นทองแดงหนึ่งชิ้น กับรูปปั้นหินอ่อนหนึ่งชิ้นแค่นั้น ต่อให้ให้รูปปั้นทองกับเขา เขาก็จะไม่เปลี่ยนความคิดเด็ดขาด

ชาลส์เสนอเงื่อนไขพิเศษมากมาย สุดท้ายพูดแม้กระทั่งว่า “ตระกูลของพวกเรายินดีที่จะซื้อฟาร์มปลาแห่งนี้ในราคาสองเท่า ตอนนั้นคุณซื้อมาราคาเท่าไร พวกเราจะซื้อในราคาสองเท่า!”

เมื่อพูดถึงเงิน ก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจแล้ว ฉินสือโอวพูดอย่างนิ่งๆ ว่า “ชาลส์ เพื่อน คุณเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย คุณต้องรู้ว่าแบรนด์อาหารทะเลต้าฉินของผมทำกำไรได้เท่าไหร่ต่อปี ในความเป็นจริงแบรนด์อาหารทะเลต้าฉินไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้มากที่สุดของผม คุณเข้าใจไหม? ตอนนี้มีเงินอยู่ในบัตรธนาคารเท่าไหร่ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมคิดว่ามันมากกว่า 5 พันล้านแล้ว ในกรณีนี้คุณยังคิดว่าผมจะยังคงสนใจเรื่องราคาของฟาร์มปลาสองเท่าอยู่อีกเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของชาลส์ก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู เขาคิดสักพักแล้วจึงพูดอย่างช้าๆ ว่า “ฉิน ผมอยากจะพูดอีกสักครั้ง ตอนที่พวกเราซื้อฟาร์มปลาคาร์เตอร์ นึกว่าน่านน้ำบนิเวณนี้ก็เป็นของฟาร์มปลาคาร์เตอร์เช่นกัน แล้วที่ผ่านมาสิบกว่าปีก่อน ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ดังนั้น ผมจึงคิดว่ากรรมสิทธิ์ของฟาร์มปลาแห่งนี้ยังโต้แย้งกันได้”

สีหน้าของฉินสือโอวก็ไม่น่ามองแล้วเช่นกัน เขาหรี่ตาแล้วถามขึ้นว่า “คุณหมายความอย่างไร? ขู่ผม? ผมมีใบรับรองทรัพย์สินทางทะเลซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย!”

ชาร์ลส์ดูหงุดหงิดมาก เขาส่ายศีรษะและพึมพำสองครั้ง จากนั้นก็จากไป

ฉินสือโอวนั่งอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็โทรหาจับบาร์ที่ขายฟาร์มปลาให้เขาตอนนั้น ซึ่งก็คือเจ้าของคนก่อนของฟาร์มปลาแห่งที่สามและเจ้าของฟาร์มปลาดารา

โทรศัพท์ถึงสองครั้งถึงจะติด ทันทีที่รับสายก็มีเสียงกลองและฆ้องเสียดแทงหูดังขึ้นมา ฉินสือโอวรีบดึงออกห่าง ไม่เช่นนั้นเขารู้สึกว่าหูของเขาจะเสียหายได้

“ฮัลโหล ใครครับ?” เสียงคำรามต่ำของจับบาร์ดังขึ้นมา

ฉินสือโอวพูดไปสองสามคำ เสียงหนวกหูทางฝั่งจับบาร์ดังมากจนได้ยินไม่ชัด ภายหลังเขาจึงเปลี่ยนสถานที่ เสียงหนวกหูถึงค่อยเบาลงมา ทั้งสองฝ่ายจึงสามารถสื่อสารกันได้

จับบาร์อธิบายก่อนว่า “ขอโทษด้วยเพื่อน เมื่อกี้ผมกับเพื่อนในวงดนตรีกำลังเฮ้ๆๆ กันอยู่ ดังนั้นคุณก็น่าจะรู้ คุณก็เข้าใจพวกเราศิลปินอยู่แล้ว ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวทำได้เพียงเข้าใจ เขาหาจับบาร์ไม่ได้มีเรื่องอื่นอะไร แค่อยากถามเกี่ยวกับฟาร์มปลาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมชาลส์ถึงบอกว่าสิบปีก่อนฟาร์มปลาแห่งนี้เป็นของฟาร์มปลาคาร์เตอร์?

เมื่อได้ยินข้อสงสัยของเขา จับบาร์ที่อยู่ทางนั้นก็โมโหขึ้นมา เขาตะคอกใส่ว่า “คาร์เตอร์มันเป็นโจร ไอ้หมาเวรนี่เป็นโจรที่สมควรตาย! ตั้งแต่พ่อผมป่วย เขายึดฟาร์มปลาของผมโดยใช้กลอุบาย! แต่นั่นมันไม่ถูกกฎหมาย สิทธิในการครอบครองฟาร์มปลามันเป็นของผม นี่เป็นฟาร์มปลาของบ้านพวกเรา…”

ฉินสือโอวพอจะเข้าใจแล้ว เขาขัดจับบาร์ที่กำลังโมโห ไม่สามารถปล่อยให้ผู้ชายคนนี้พล่ามต่อไปได้ ฉินสือโอวรู้ถึงความร้ายกาจของการพล่ามของเขาไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ตอนนั้นที่ซื้อฟาร์มปลา เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวต้องห้ามของอิโอริ ยางามิใน KOF เมื่อเคลื่อนไหวแล้วมันจะทำลายโลก! ดังนั้นถ้าจะจัดการการเคลื่อนไหวต้องห้ามนี้ เขาต้องสกัดก่อนที่มันจะเริ่ม

เขาเล่าการคาดเดาและสันนิษฐานของเขา น่าจะเป็นเพราะพ่อของจับบาร์ที่ยังมีปณิธานในการทำฟาร์มปลา ช่วงนั้นคาร์เตอร์ถึงยังไม่กล้าทำอะไร ต่อมาเมื่อพ่อเขาป่วย จับบาร์ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเลี้ยงปลา เวลาผ่านไปนาน ฟาร์มปลาก็ถูกทิ้งร้างและคาร์เตอร์ถือโอกาสครอบครองฟาร์มปลาแห่งนี้

คาดว่าจับบาร์น่าจะเคยต่อต้าน น่าเสียดายที่คาร์เตอร์เป็นผู้มีอำนาจด้านประมงในท้องถิ่นนั้น ด้วยพลังของ DJ ตัวน้อยๆ ของเขาจึงไม่สามารถสู้ได้เลย ด้วยเหตุนี้แม้ว่ากรรมสิทธิ์ในฟาร์มปลาของเขาจะอยู่ในมือของเขา แต่สิทธิ์ในการใช้ฟาร์มปลาคาร์เตอร์กลับเอาไปแล้ว

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจับบาร์จึงฟาร์มปลาของตัวเองในราคาเพียงหนึ่งในสิบของราคาฟาร์มปลาคาร์เตอร์ ก็ในเมื่อสิทธิ์ในการใช้ฟาร์มปลาไม่ได้อยู่กับตัวเองแล้ว ก็ไม่สู้ขายทิ้งเอาเงินแล้วไปตามความฝันตัวเอง

ฟังการคาดเดาของฉินสือโอว จับบาร์ก็แสยะยิ้ม เขาบอกว่า “ใช่แล้ว เพื่อน เรื่องก็ประมาณแบบนี้แหละ แต่ผมไม่ได้โกหกคุณ กรรมสิทธิ์ของฟาร์มปลาแห่งนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน อีกอย่างไอ้เลวคาร์เตอร์นั่นก็เข้าคุกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? คนที่มารับช่วงฟาร์มปลาคาร์เตอร์ต่อ คงไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง?”

เรื่องที่เหลือก็ไม่เกี่ยวกับจับบาร์แล้ว ฉินสือโอวรู้เรื่องราวความเป็นมาสาเหตุและผลลัพธ์แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นับว่าจับบาร์ยังโชคดี ขายฟาร์มปลาในราคาต่ำให้กับตัวเองได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นถ้าให้เขาไปเป็นเพื่อนบ้านกับตระกูลมอร์รี่ ตอนนั้นแม้แต่กระดูกก็คงไม่มีเหลือให้!

……………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท