ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1875 เถาฮวาจีที่มาถึงฟาร์มปลา

บทที่ 1875 เถาฮวาจีที่มาถึงฟาร์มปลา

ตอนนี้ฉินสือโอวถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ลูกสาวเขาโตแล้ว เริ่มคิดเยอะแล้ว

เขายิ้มแล้วอุ้มสาวน้อยขึ้นมาทำท่าเหมือนจะโยนออกไป “ปาป๊าไม่ชอบเด็กขี้แย ถ้าหนูยังร้องอีกปาป๊าก็จะทิ้งหนุแล้วนะ…”

สาวน้อยรีบพึมพำใหญ่ “ไม่ร้อง ไม่ร้อง หนูไม่ร้องแล้ว ปาป๊าจริงๆ หนูกำลังโกหกปาป๊าอยู่ ไม่สิ กำลังล้อเล่นอยู่ หม่าม๊าบอกว่าโกหกคนอื่นไม่ได้”

ฉินสือโอวมองไปที่วินนี่ วินนี่กะพริบตาปริบๆ แล้วถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรกับการสั่งสอนของฉันไหมคะ?”

“เยี่ยมไปเลย!”

ในเวลานี้เองบูลเดินเข้ามาในวิลล่า ได้ยินคำชมเชยของฉินสือโอว เขาจึงถามขึ้นว่า “เฮ้ บอส คุณเห็นเถาฮวาจีแล้วเหมือนกันเหรอ? จริงครับ เยี่ยมจริงๆ พวกมันมาถึงที่ฟาร์มปลาแล้ว”

ฉินสือโอวตะลึงงัน ย้อนถามกลับไปว่า “เถาฮวาจี อะไรคือเถาฮวาจี? เค้กเออเจียวน่ะเหรอ? ที่บ้านเกิดฉันมีขนมเค้กเออเจียวยี่ห้อหนึ่งมีชื่อมากก็ชื่อนี้”

บูลตอบว่า “เถาฮวาจีก็คือแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อไงครับ คุณยังไม่เห็นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อกี้คุณบอกอะไรเยี่ยมยอด?”

ด้านหนึ่งฉินสือโอวก็ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปในทะเล อีกด้านหนึ่งก็ล้วงเอามือถือออกมาหาข้อมูลแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อ

แมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อเป็นแมงกะพรุนขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดเป็นหลัก ปัจจุบันโลกมีการบันทึกถึง 11 ชนิดและยังมีแมงกะพรุนทะเลขนาดเล็กชื่อแมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติก

แมงกะพรุนชนิดนี้มีชื่อเสียงมากในด้านความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำของโลกและเกี่ยวข้องกับประเทศจีนเป็นหลัก ตอนนี้มีการค้นพบแมงกะพรุนน้ำจืดนี้ 11 ชนิดซึ่งมี 9 ชนิดเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของจีน แต่ที่จีนมีเฉพาะแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อ ส่วนแมงกระพรุนดอกท้ออาร์กติกที่อยู่ในทะเลโดยปกติจะสามารถพบเห็นได้ในอเมริกาเหนือ

ไม่ว่าจะเป็นแมงกะพรุนน้ำจืดหรือแมงกะพรุนในทะเลล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ระดับโลก เป็นสัตว์คุ้มครองชั้นหนึ่งในประเทศต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาสัตว์น้ำของจีนเรียกพวกมันว่า “แพนด้ายักษ์ในน้ำ หรือ ฟอสซิลที่มีชีวิต” และมีมูลค่าการวิจัยและมูลค่าในตัวมันเองที่สูงมาก

ในความเป็นจริงคุณค่าที่แท้จริงของแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นในกระบวนการวิวัฒนาการทางชีววิทยาและสถานะของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแพนด้ายักษ์ สิ่งมีชีวิตชนิดนี้บันทึกพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วยรูปแบบชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเอง ยีนที่เป็นเอกลักษณ์ของมันมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับการวิจัยทางพันธุวิศวกรรมสมัยใหม่ และยังให้เงื่อนไขในการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนวิ่งรอบไปในฟาร์มปลาหนึ่งรอบแล้วแต่ก็ยังไม่พบแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อ ฉินสือโอวจึงถามบูลว่า “เจอแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อที่ไหนเหรอ? มีแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อมาที่ฟาร์มปลาเหรอ?”

บูลพยักหน้าอย่างมีชัย “ใช่ครับ ใช่ ผมไม่ได้เป็นคนหาเจอนะ บอส ดูท่าแล้วคุณภาพน้ำของฟาร์มปลาเราใสสะอาดมาก เกือบจะเท่าน่านน้ำอาร์กติกที่ไร้ซึ่งมลพิษใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วยจริงๆ ครับ!”

เป็นจริงดั่งว่า แมงกะพรุนน้ำจืดไม่มีประโยชน์ในแง่ของการนำไปใช้ แม้ว่าพวกมันจะสวยงาม แต่ก็หายากเกินไปและก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงแบบเทียม ดังนั้นพวกมันจึงมีประโยชน์น้อยสำหรับคนทั่วไป

แต่มันมีความสำคัญมากสำหรับพื้นที่ทะเล เนื่องจากเป็นมาตรฐานที่ดีที่สุดในการวัดคุณภาพน้ำของพื้นที่ทะเล วงจรชีวิตของแมงกะพรุนน้ำจืดเป็นวงจรชีวิตแบบสลับคือการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศและการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศสลับกัน ช่วงที่แมงกะพรุนยังเป็นตัวอ่อน “วัยเด็ก” มีข้อเรียกร้องในด้านสภาพแวดล้อมต่ำมาก แต่เมื่อแยกแมงกะพรุนออกมาแล้วพวกมันมีความต้องการที่สูงมากต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำ ตราบใดที่คุณภาพน้ำไม่เป็นไปตามมาตรฐานพวกมันก็ไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้

การมาถึงของแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อที่ฟาร์มปลาเป็นการพิสูจน์ว่าคุณภาพน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินนั้นดีที่สุดในโลก!

นี่เป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ที่ดี สำหรับวินนี่แล้ว หลังจากที่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อ เธอรีบขอให้ ชาร์คพาฉินสือโอวไปถ่ายทำและบันทึกชีวิตของแมงกะพรุนในฟาร์มปลา จากนั้นจะโปรโมตเมืองโดยใช้ประโยชน์ของคุณภาพน้ำที่ยอดเยี่ยมมาเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยว

ฉินสือโอวเห็นแววตาที่เปล่งประกายของเธอก็รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ จึงทำได้เพียงยิ้มแห้ง พูดกับบูลว่า “ไปเถอะเพื่อน เอาชุดดำน้ำแล้วก็กล้องถ่ายวิดีโอใต้น้ำไปด้วย พวกเราไปดูว่าแมงกะพรุนที่สวยที่สุดนี่มันสวยขนาดไหนกัน!”

ระหว่างทางบูลบอกเขาว่า การที่เจอเถาฮวาจีเป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด เมื่อเขาพาชาวประมงออกไปล่องเรือ เขาสุ่มทิ้งอวนและได้แมงกะพรุนเล็กๆ สองสามตัวมา จากนั้นการจ้องมองอย่างมืออาชีพของเขาก็ประสบความสำเร็จในเวลานี้เอง เขาจดจำตัวตนของพวกมันได้

เขามาที่วิลล่าก็เพื่อจะมาแจ้งให้วินนี่ทราบ แต่ปรากฏว่าเขาได้ยินฉินสือโอวบอกว่าเยี่ยมจริงๆ เลย จึงนึกว่าฉินสือโอวเจอแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อแล้ว

ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เป็นไปได้อย่างไรกัน ฉันเพิ่งมาถึงฟาร์มปลาวันนี้ ยังไม่ได้ไปดูที่ทะเลเลย จะไปเจอสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ที่น่ารักพวกนี้ได้อย่างไรกัน?”

บูลพูดไปตามเหตุผล “แต่ว่าคุณมีห้าธาตุพิชิตมังกร พอใช้ห้าธาตุพิชิตมังกรก็จะสามารถเจอสายพันธุ์ที่ต่างออกไปได้ไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อเช่นกันใช่ไหมครับ? บอส คุณไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้นะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง ดูท่าแล้วภาพจำของเขาสำหรับชาวประมงจะดูดีทีเดียวเชียว เขาเก็บความลับมาโดยตลอด ชาวประมงจึงรู้สึกว่าเขาเป็นอะไรที่ไม่สามารถคาดเดาได้เล็กน้อย

บูลขับพาเขาไปที่น่านน้ำทางตอนเหนือด้วยเรือและเมื่อเข้าใกล้บริเวณทะเลที่พบแมงกะพรุนเรืองแสงก่อนหน้านี้ถึงค่อยจอด เขากล่าวว่า “พวกเราเจอแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อที่นี่ ถ้าคุณโชคดีเมื่อมองลงไปในน้ำอย่างพินิจพิจารณา คุณก็จะเจอพวกมัน”

แมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อมีขนาดเล็กมาก แมงกะพรุนน้ำจืดทั่วไปเมื่อบานออกจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 25 มิลลิเมตร แมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติกถือว่ามีขนาดใหญ่ ขนาดที่ใหญ่ที่สุดสามารถมีความยาวมากกว่าสิบเซนติเมตร แต่พวกมันเกือบจะโปร่งใส มีโทนสีขาวหรือสีเขียวจึงมองเห็นได้ยากในน้ำทะเล

แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ เขามีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนซึ่งมีความสามารถที่แข็งแกร่ง เพียงปล่อยออกไปก็สามารถเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในผืนน้ำทะเลนี้ได้ทั้งหมด

ทันทีที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าสู่มหาสมุทรครั้งแรก เขาก็เห็นฝูงเล็กๆ ของปลากะพงญี่ปุ่นลายว่ายเข้ามา จากนั้นก็เห็นกลุ่มล็อบสเตอร์ขนาดใหญ่อพยพอยู่ที่ก้นทะเล ล็อบสเตอร์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีการอาศัยอยู่ด้วยกันของล็อบสเตอร์ทั่วไปและล็อบสเตอร์สีรุ้งซึ่งหาดูได้ยากในฟาร์มปลา

ล็อบสเตอร์สีรุ้งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ขายดีมีราคาของฟาร์มปลาต้าฉิน ไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น แต่ยังสวยงามอีกด้วย ปัจจุบันงานทำมือที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาคือการกินเนื้อล็อบสเตอร์สีรุ้งแล้วประกอบเปลือกมัน ดูลวดลายบนเปลือกเพื่อจินตนาการ

ฉินสือโอวคิดว่างานทำมือนี่ไม่เห็นจะน่าสนใจ มันเหมือนกับการทรมานศพหลังจากกินเนื้อสัตว์ แต่คนอเมริกันชอบเล่นวิธีนี้โดยเฉพาะชายหนุ่มและหญิงสาวที่หมกมุ่นอยู่กับมัน

ระหว่างพื้นผิวทะเลและก้นทะเลแมงกะพรุนขนาดใหญ่และขนาดเล็กบางชนิดจะอาศัยอยู่ที่นี่ พวกมันน่าจะจะไหลมาตามน้ำแข็งอาร์กติกตลอดทาง

ฉินสือโอวมองไปที่พื้นที่ทะเลบริเวณนี้ก็เข้าใจว่าทำไมแมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติกจึงอยู่ที่นี่ เนื่องจากพื้นที่ทะเลตรงนี้มีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านและอุณหภูมิของน้ำค่อนข้างสูง เพราะแมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติกชอบอุณหภูมิสูง

ในประเทศจีนที่มาของชื่อแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อเชื่อว่าเป็นเพราะพวกมันมักปรากฏในฤดูใบไม้ผลิและจะมาพร้อมกับดอกท้อเมื่อพวกมันปรากฏตัว

จริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้นเสมอ ในทางวิชาการก็เรียกชื่อแมงกะพรุนชนิดนี้เช่นกันว่าแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อ เหตุผลก็คือรูปร่างของมันสวยงามราวกับดอกท้อ เพียงเห็นแมงกะพรุนว่ายน้ำไปมาในน้ำที่ใสสะอาด ร่างของมันมีลักษณะโปร่งใส มีสีใสและเขียว เหมือนร่มใสขนาดเล็กที่ลอยอยู่ในน้ำอย่างสบายๆ

แมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติกมีความสวยงามเป็นพิเศษ มันมีลักษณะกลมไม่มีหัวและหาง ส่วนนูนที่เหมือนร่มของมันใสวาว และนุ่มเหมือนไหม ลำตัวปกคลุมด้วยหนวดรอบลำตัวและมีหนวด 5 เส้นอยู่ตรงกลาง หนวดเหล่านี้เมื่อแยกออกก็จะมีลักษณะเหมือนกลีบดอกท้อ…

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท