ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1869 สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด

บทที่ 1869 สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด

หลังจากฉินสือโอวลงไปในน้ำทะเล ในใจของเขาก็รู้สึกสงบ เขาลากอวนค่อยๆ ดำลงไปด้านล่าง เนื่องด้วยปลาเพิร์ชเป็นสัตว์น้ำตื้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องวางอวนให้ลึก แค่ 10 กว่าเมตรก็พอแล้ว

ประโยชน์ของชาวประมงที่อยู่ในทะเลก็เพื่อช่วยป้องกันอวนที่ลงไปในทะเลพันกัน พวกเขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าอวนจับปลานั้นยืดออกได้อย่างราบรื่น อย่างที่เราทราบกันดีว่าเมื่ออวนจับปลาพันกันก็ไร้ซึ่งประโยชน์แล้ว

ส่วนของอวนที่ฉินสือโอวดูแลเป็นส่วนที่กว้างที่สุด นอกจากนี้แล้วยังมีเกิง จุนเจี๋ยและชาวประมงอีก 4 คนดำลงไปในน้ำด้วยกัน เนื้อที่ของอวนที่พวกเขาดูแลจะแคบหน่อย เพราะอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้มีทักษะที่ดีเท่าฉินสือโอว

เมื่ออยู่ในทะเล ฉินสือโอวนายใหญ่จะรู้สึกสุขสบายมากเป็นพิเศษ อีกทั้งในเวลานี้ตอนที่เขาปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป จะรู้สึกได้เลยว่าจิตสำนึกแห่งโพไซดอนชัดเจนมากกว่าเดิม และเคลื่อนไหวในทะเลได้ว่องไวกว่า และก็สามารถควบคุมทะเลได้ดีกว่าเดิม

ที่ความลึก 10 กว่าเมตร ปล่อยอวนจับปลาลงไปอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวว่ายไปตามแนวอวน ครั้งนี้วางอวนได้ราบรื่นมากทีเดียว ไม่มีจุดไหนของอวนจับปลาที่พันกันเลยสักนิด แน่นอนว่าสิ่งนี้ก็เข้าใจได้เพราะนี่เป็นอวนสำหรับเพราะพันธุ์อันใหม่

ทันใดนั้นในช่วงเวลานี้เอง ก็มีแสงสีแดงสดก็สว่างวาบขึ้นซึ่งห่างจากเขาไปสองร้อยกว่าเมตร แสงนี้กะพริบเร็วมาก ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงส่วนของทะเลลึก แสงส่องสว่างมากซึ่งฉินสือโอวสังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

เมื่อเห็นแสงนี้ ฉินสือโอวใจเต้นแรง แม่งเอ๊ย สถานการณ์ไม่ปกติ นี่แสดงว่ามีคนเจอปัญหาในทะเลแล้ว

ชุดดำน้ำที่เขาซื้อเป็นชุดดำน้ำที่ทันสมัยที่สุดพร้อมไฟเตือน หากนักดำน้ำประสบปัญหา เพียงแค่เปิดสวิตช์ก็จะมีเลเซอร์สีแดงส่องแสงไปรอบๆ

พลังเลเซอร์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ สามารถส่องแสงในน้ำทะเลได้ไกลถึง 10 กว่าเมตร ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่ฉินสือโอว พวกชาวประมงคนอื่นๆ ที่ดำน้ำลงมาก็เห็นถึงปัญหาเช่นกัน และมีเลเซอร์สีขาวตอบสนองทันที นั่นหมายความว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยเหลือในทันที

ฉินสือโอวกังวลว่าลูกน้องของเขาจะเกิดอันตราย การดำน้ำเป็นหนึ่งในกีฬาผาดโผนที่น่ากลัวที่สุดในโลก โชคดีที่นี่ไม่ใช่การดำน้ำลึก บางครั้งเวลากู้ภัยสำหรับการดำน้ำลึกจะมีเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น…

แต่สิ่งที่เขากังวลก็คือ แสงเลเซอร์สีแดงกะพริบเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็หายไปอย่างรวดเร็ว แล้วทุกอย่างในทะเลก็คืนสู่สภาพมืดดำนิ่งสงบ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก

เทคโนโลยีสมัยใหม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อุปกรณ์เปล่งแสงเลเซอร์บนชุดดำน้ำจึงไม่น่าจะเสียง่าย และพลังงานก็เพียงพอที่จะรองรับการกะพริบได้ทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นการที่แสงเลเซอร์ดับลงกะทันหัน แสดงอย่างเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ข้างๆ เขาก็คือเกิง จุนเจี๋ย ตำแหน่งห่างออกไป 400 กว่าเมตร ซึ่งในทะเลนั้นระยะทาง 400 ว่าเมตรไม่นับว่าใกล้ ภายใต้ความกังวลของเขา เขาใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนขยับตัวเขาเอง ดูเหมือนกับเขากำลังถือใบพัดใต้น้ำอยู่ เพียงชั่วครู่ก็เข้าไปใกล้เกิง จุนเจี๋ยอย่างว่องไว

หลังจากเข้าใกล้แล้ว เขาก็พบว่า แสงเลเซอร์ไม่ได้ดับไป แต่เพราะแสงที่ส่องสว่างออกมาอ่อนแรง อันที่จริงแล้วเลเซอร์บนหลังของเกิง จุนเจี๋ยยังคงกะพริบอยู่ แต่มันถูกบางอย่างปิดทับไว้ จึงทำให้แสงที่ส่องออกมาริบหรี่มาก

สิ่งที่มาปิดทับแสงเลเซอร์ไว้เหมือนจะเป็นหมึกสายตัวหนึ่ง มันแนบติดอยู่กับแสงเลเซอร์ ลำตัวของมันเผยให้เห็นสีแดงเข้มแปลกๆ ชนิดหนึ่ง

ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปดู ก็แน่ใจว่ามันเป็นหมึกสายที่นอนอยู่บนร่างของเกิง จุนเจี๋ย แต่ไม่ใช่เพียงตัวเดียว แต่มีอยู่หลายตัว พวกมันติดอยู่กับชุดดำน้ำของเกิง จุนเจี๋ย และหนึ่งในนั้นนอนปิดทับแสงเลเซอร์อยู่ สถานการณ์ของเกิง จุนเจี๋ยยังดูปกติดี

หลังจากว่ายเข้าไปหา ฉินสือโอวก็ตั้งค่าความถี่การกะพริบของแสงเลเซอร์ของเขาให้สูงที่สุด ซึ่งหมายถึงเป็นการบอกกับเกิง จุนเจี๋ยว่าเขามาถึงแล้วเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกังวลใจ ในขณะเดียวกันเขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ในใจคิดว่าเฒ่าเกิงเป็นทหารผ่านศึกที่แข็งแกร่ง เขาทำตัวแย่เกินไปแล้วในทะเล มีหมึกสายสองสามตัวอยู่บนตัวก็กลัวแล้วเหรอ?

แต่สภาพจิตใจของเขาก็ยังถือว่าดีอยู่ มือที่อยู่ในถุงมือชูนิ้วโป้งขึ้น หลังจากที่ฉินสือโอวเข้าใกล้เขาก็ยื่นมือออกไปชูนิ้วโป้งเช่นกัน ในเวลานี้เองหมึกสายที่แนบอยู่บนตัวของเกิง จุนเจี๋ยลอยหลุดออกจากตัวเขาแล้วว่ายมาหาทางฉินสือโอว

ฉินสือโอวเตรียมที่จะใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมเจ้าหมึกสายตัวนี้ให้มันจากไป แต่ทว่าตอนที่เจ้าหมึกสายนี้เข้าใกล้เขา เขาก็ตกใจในทันที เชี่ย ประหลาดมาก ทำไมตาของเจ้าหมึกสายนี่ถึงมีสีแดงสดขนาดนี้?!

เมื่อตรวจสอบสถานการณ์ก่อนหน้านี้ของเกิงจุนเจี๋ย เขาสังเกตเห็นว่าดวงตาของหมึกสายที่นอนอยู่บนหลังของเขาเป็นสีแดง แต่เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดง่ายๆ เพียงว่าสีตาสะท้อนจากแสงเลเซอร์สีแดง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อย่างนั้น

เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมาสังเกตความแปลกประหลาดของเจ้าปลาหมึกนี่ เขาควบคุมปลาหมึกตัวที่เหลือบนตัวเกิง จุนเจี๋ยก่อน หลังจากนั้นก็แกะพวกมันออกจากตัวเขา เมื่อเป็นแบบนี้ถึงค่อยมีเวลามาสังเกตปลาหมึกเหล่านี้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขามองอย่างละเอียด กลับเจอกับสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจ จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่หมึกสาย เพียงแค่มีรูปร่างคล้ายหมึกสาย ถ้ามองอย่างละเอียดแล้วล่ะก็ พวกมันเหมือนสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ประหลาดๆ วิ่งออกมาจากภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ตอนเที่ยงคืน แม้ว่าทั้งตัวจะคล้ายกับหมึกสาย แต่ก็มีครีบขนาดใหญ่ 2 อันที่ด้านหลังของลำตัวซึ่งมีลักษณะเหมือนหู 2 ข้าง นอกจากนี้ยังมีลักษณะคล้ายเยลลี่เหมือนแมงกะพรุนมากกว่าปลาหมึกหรือหมึกกระดอง

ตัวของเจ้านี่ไม่ใหญ่มาก มีขนาดความยาวสิบถึงยี่สิบเซนติเมตรและมีดวงตาคู่โตที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับขนาดตัวของมัน ดวงตาคู่นี้ไม่นับว่าเล็ก ยังใหญ่กว่าดวงตาของหู่จือและเป้าจืออีก แต่ควรรู้ไว้ว่าขนาดลำตัวของแลบราดอร์มีความยาวมากกว่าหนึ่งเมตร

ฉินสือโอวสังเกตอย่างตั้งใจอีกครั้งและพบว่าสิ่งมีชีวิตนี้แตกต่างจากพวกปลาหมึก หมึกกระดอง หมึกสายส่วนใหญ่ที่เห็นเด่นชัดนั่นก็คือพวกมันไม่มีถุงหมึก หนวดของพวกมันไม่เรียบและมีสิ่งที่คล้ายฟันปกคลุมอยู่ทั่วด้านบน มองแล้วดูน่ากลัวมาก!

เห็นได้ชัดว่า เกิง จุนเจี๋ยพบความประหลาดของหมึกสายพวกนี้ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเขารู้แล้วว่า สิ่งนี้ไม่ใช่หมึกสายจึงไม่กล้าขยับไปไหน

ฉินสือโอวเริ่มมองเจ้าสัตว์ประหลาดนี่เป็นหมึกสาย นั่นก็เพราะว่ารูปร่างของมันเหมือนหมึกสายมีรูปร่างเหมือนกระสวย และยังมีหนวดมากมาย แต่ทว่าเขาดูผิดไปแล้ว หนวดของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นแตกต่างจากหนวดหมึกสาย ประการแรกจำนวนจะแตกต่างกัน หมึกสายมีสิบหนวด แต่สิ่งมีชีวิตนี้มีเพียงแปดหนวด นอกจากนี้พวกมันยังมีลักษณะที่แตกต่างกัน พวกมันมีหนวดคู่หนึ่งที่ยาวเป็นพิเศษ คือสามสิบหรือสี่สิบเซนติเมตรได้ ในนั้นมีฟันเต็มไปหมด จึงเดาได้ว่าตอนที่พวกมันเจอเหยื่อ แน่นอนว่ามันจะต้องยื่นหนวดนี้ออกไป และใช้ฟันที่อยู่ด้านในหนวดกันกินเหยื่อ

หลังจากที่ควบคุมเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ได้แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจในพลังทำลายล้างของพวกมัน แต่ฉินสือโอวก็ไม่กลัว จึงเข้าไปใกล้เกิง จุนเจี๋ยและดึงเอาพวกมันออกมา และยังแนบมันเข้ากับดวงตาของเขาเพื่อมองดูด้วยความสงสัยอีกด้วย

สัตว์ประหลาดมีทั้งหมดหกตัว พวกมันต้องเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แต่พื้นผิวของร่างกายบางตัวก็เป็นสีแดงเข้ม แต่บางตัวเป็นสีเทาดำ ฉินสือโอวมองดูและก็รู้สึกประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง

หลังจากกำจัดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เกิง จุนเจี๋ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฟองอากาศพ่นออกมาจากปากเขา เขานับว่ามีความกล้ามาก เมื่อเห็นฉินสือโอวมือจับเจ้าสัตว์ประหลาดนี้อยู่จึงว่ายเข้ามาร่วมวงด้วย

แต่พอมองไปมองมา ทั้งสองก็จำแนกประเภทของสิ่งมีชีวิตนี้ไม่ได้ ฉินสือโอวต้องการทราบว่ามันคืออะไรและมันปรากฏตัวได้อย่างไรในฟาร์มปลาของเขา ดังนั้นเขาจึงคว้าเอาตัวหนึ่งและว่ายน้ำขึ้นไปเหนือผิวน้ำ

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท