ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1874 ร้องไห้

บทที่ 1874 ร้องไห้

คนที่ไล่ตามเถียนกวามาด้านหลังคือเด็กน้อยตัวอวบอ้วน บูลซื้อรถสามล้อให้กับเขา เขากำลังออกแรงถีบเต็มที่

สาเหตุที่เขาถีบอย่างแรง เพราะการตกแต่งที่ซับซ้อนบนสามล้อซึ่งสร้างขึ้นมาใหม่เหมือนรถออกศึก ดังนั้นเด็กอ้วนตัวโตจึงรู้สึกว่าเขากลายเป็นทหารและเต็มไปด้วยความสนใจในรถสามล้อคันนี้

“โอ้ โอ้ โอ้ เถียนกวา ฉันจะไล่ตามเธอสำเร็จแล้วนะ!” เด็กอ้วนตัวโตร้องอย่างดีใจอยู่ด้านหลัง “ฉันเป็นวัวออกศึกตัวใหญ่ ฉันจะล้มเธอซะ!”

เถียนกวาหันไปมอง เธอเผยให้เห็นสีหน้าเหยียดหยามบนใบหน้าอวบอ้วนของเธอ เธอเบะปากแล้วยื่นมือไปตบหมาป่าผู้เคราะห์ร้ายชี้ไปที่ด้านหลังแล้วตะโกนว่า “หันหลังกลับ อัศวินของฉัน ไปฆ่าวัวโง่ตัวนี้กัน!”

หากไม่มีเถียนกวาตัวอ้วนขี่อยู่บนหลังมัน หมาป่าขาวคงกระโดดหันหลังกลับได้อย่างแข็งแรง ผลปรากฏว่าตอนนี้ไม่ได้แล้ว ส่วนเอวของเจ้าหมาป่าขาดพละกำลัง มันพยายามกระโดดจนเอวเกือบพลิก

ไม่รู้ว่าใครทำอานเบาะนุ่มนี้ให้กับเถียนกวา เห็นได้ชัดว่าผู้สร้างมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างส่วนกระดูกของหมาป่า เขาจงใจเลื่อนอานไปข้างหน้าและใกล้กับไหล่ของหมาป่าสีขาว ส่วนครึ่งหน้าของหมาป่าทรงพลัง ถ้าไม่เป็นเช่นนี้เถียนกวาสามารถนั่งทับจนเอวมันหักได้

หมาป่าผู้โชคร้ายแสยะยิ้มและร้องคร่ำครวญ แต่เด็กอ้วนตัวโตนึกว่าหมาป่าคำรามเพื่อที่จะเริ่มทำการโจมตี ไขมันบนใบหน้าของเขาไหวสั่นด้วยความกลัว เขาบิดมือจับและพยายามจะหันหลังและหนีไป

แต่เขาอ้วนเกินไป พอพยายามจะบิดรถตัวก็เลยบิดไปด้วย รถสามล้อเลย ‘โครม’ พลิกคว่ำอย่างกะทันหัน…

ฉินสือโอวนิ่งงัน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามและทนไม่ได้ที่จะดูฉากนี้ รถสามล้อใช้โครงสร้างที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเสถียรภาพทางกล แม้แต่แบบนี้รถยังทรงตัวไว้ไม่อยู่ แสดงให้เห็นว่าเด็กอ้วนตัวใหญ่แค่ไหน!

เมื่อรถพลิกคว่ำเด็กอ้วนก็ถูกทับไว้อยู่ข้างใต้ เขาพยายามจะหงายตัวพลิกกับขึ้นมา แต่ผลสุดท้ายก็เหมือนกับปูเสฉวนบกที่กำลังจะลอกคราบ บิดตัวไปมาอยู่ตรงนั้นสักพัก สุดท้ายก็ไม่สามารถพลิกตัวขึ้นมายืนได้

ในเวลานี้เองหมาป่าผู้โชคร้ายวิ่งมาพอดี เถียนกวาโอบหัวของหมาป่าไว้แล้วร้องอย่างดีใจว่า “อ๋า เจ้าวัวโง่ เจ้าวัวโง่ นายทำไมถึงโง่ขนาดนี้? ยังโง่กว่าน้องชายฉันอีก ฮ่าๆ!”

บูลน้อยแม้จะโง่แต่ก็มีศักดิ์ศรี เมื่อโดนเถียนกวาพูดเสียดสีแบบนี้ เขาหลับตาเล็กๆ ของเขาแล้วก็ร้องไห้เสียงดังโหวกแหวกขึ้นมา

ฉินสือโอวส่ายศีรษะพร้อมกับฝืนยิ้ม เดินไปแล้วก็พูดไปว่า “โอเค โอเค ที่รัก อย่าร้องเลยนะ ฉันจะอุ้มหนูขึ้นมา…”

เถียนกวาบ่นพึมพำอยู่ตรงนั้น “ร้อง ร้อง ร้องอยู่นั่นแหละ โตขนาดนี้แล้วยังจะร้อง พวกเราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ พวกเราก็มี ก็มีอายุหลายขวบแล้ว หม่าม๊าบอกว่า จะเตรียมส่งให้ฉันไปเรียนหนังสือแล้ว นายยังจะร้องอีก น่าอายจริงๆ!”

“แงๆๆ…” เด็กอ้วนร้องหนักกว่าเดิม ตัวเองไม่ได้โง่อย่างเดียวแต่ยังทำให้คนอื่นขายขี้หน้าด้วย

เถียนกวาตบที่ไปคอของหมาป่าผู้โชคร้าย แล้วตะโกนไปที่บูลน้อย “นายยังจะร้องอีกเหรอ? ถ้ายังร้องอีกฉันจะให้หมาป่ากินนายทิ้งซะ!”

หมาป่าผู้โชคร้ายร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการอ้าปากแล้วคำรามใส่ “บรู้วววว…บรู้ววววว!”

เสียงหอนที่แหลมคมของหมาป่านั้นทะลุทะลวงและมีพละกำลังในการยับยั้งมาก น่าเกรงกลัวและไม่มีใครเทียบได้ เต็มไปด้วยแรงปะทะ!

ถ้าเกิดอยู่ในป่าแล้วฉินสือโอวได้ยินเสียงหอนแบบนี้ จะต้องหวาดระแวงแล้วแน่นอน แค่พิจารณาจากเสียงเพียงอย่างเดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเจ้าหมาป่านี้แล้ว

เขาไม่คิดว่าช่วงเวลาที่เขาห่างบ้านไป หมาป่าผู้โชคร้ายที่ดูดซึมพลังโพไซดอนจะมีความเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ ตอนนี้เจ้านี่คือมีความสามารถและท่าทางที่เหมือนสัตว์ป่าดุร้ายเต็มกระบวน

เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของหมาป่าผู้โชคร้าย ก็มีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นที่ประตูวิลล่า เสียงนี้เป็นที่คุ้นเคยของฉินสือโอว มันคือหัวไชเท้าน้อย เสียงแหลมและนุ่มนวลขึ้นพร้อมกับมีความความเย่อหยิ่งเล็กน้อย

เมื่อเสียงหอนของหมาป่าสองตัวดังขึ้นพร้อมกัน เด้กอ้วนตกใจกลัวไปหมด เขายังจะกล้าร้องไห้อีกที่ไหน? เขาเช็ดหน้า หดคอแล้วรีบซ่อนตัวอยู่ใต้รถสามล้อ

ฉินสือโอวดึงรถสามล้อออก แล้วประคองเด็กอ้วนขึ้นมา หลังจากนั้นก็พูดอย่างเคืองๆ ว่า “พอได้แล้วเถียนกวา อย่าไปแกล้งเพื่อน แล้วก็เจ้าหมาป่าตัวซวยด้วย ไม่ต้องร้องแล้ว!”

หมาป่าผู้โชคร้ายกลับหอนอย่างร่าเริงมากขึ้น การตอบสนองของหัวไชเท้าน้อยก็เหมือนกับหญิงที่รักตอบกลับแชทของมัน จึงทำให้มันตื่นเต้นมาก

หมาป่าผู้โชคร้ายกำลังกลั้นหายใจและเตรียมที่จะส่งเสียงคำรามที่น่ากลัว ฉินสือโอวเหลือบตามองบนใส่มัน ทันใดนั้นมันก็ตกใจและเกือบหมดลมหายใจ ส่วนเถียนกวางที่หลังของมันก็ยื่นมือออกมาเพื่อหยิกแก้มของมัน เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงทำได้เพียงหุบปากอย่างไม่เต็มใจเท่านั้น

เมื่อกลับไปที่วิลล่า ฉินสือโอวยกเถียนกวาขึ้นมา หมาป่าผู้โชคร้ายรีบสะบัดตัวไปมาคิดที่จะสะบัดอานที่อยู่บนหลังให้หลุดออก แต่ผลสุดท้ายสะบัดไปหลายรอบก็ไม่หลุด มันก็เลยช่างมัน วิ่งไปหาหัวไชเท้าน้อยเหมือนเด็กน้อยเอาหัวถูๆ อยู่ด้านหน้า

ห้องนั่งเล่นปูพรม และมีซีกวาตัวน้อยๆ นอนอยู่เงียบๆ ถือขวดนมขนาดใหญ่และดื่มนม วินนี่กลอกตามองบนเมื่อเห็นเขากลับมาและพูดว่า “คุณยังรู้ว่ามีบ้านต้องกลับด้วยเหรอคะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะอิอิ “ผมก็ไปประชุมที่เมืองหลวงมาไง คุณก็รู้นี่ ผมก็โดนบังคับไปตามสภาพน่ะ จริงสิ หน้าร้อนมาถึงแล้ว ครั้งนี้พวกเราไปฟาร์มปลาแห่งที่สามทั้งครอบครัวกัน อุทยานแห่งชาติคีจิมคูจิกในฤดูร้อนสวยมากเลยนะ”

วินนี่ยักไหล่แบบช่วยไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องลางานอีกแล้วน่ะสิ? พระเจ้า นายกเทศมนตรีอย่างฉันดูจะไม่ค่อยเหมือนที่เขาร่ำลือกันไว้”

ฉินสือโอวดูออกว่าภรรยาของเขาเริ่มไหวหวั่นกับข้อเสนอแล้ว วินนี่ไม่ได้ต้องการพวกอาหารเลิศรส เสื้อผ้า เครื่องสำอางและกระเป๋ามากนัก แต่เธอชอบทิวทัศน์ที่สวยงามเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่เธอสามารถอยู่ได้อย่างสบายใจหลังจากมาถึงเมืองเล็กๆ ที่นี่

คุยกับวินนี่สักพัก เขาก็เข้าไปอุ้มลูกชายของเขา เจ้าตัวเล็กเอาแต่จับขวดนมและดูดจุกนมเล่นตลอด พอเขาอุ้ม ลูกชายก็ไม่พอใจทันที คายจุกนมออกแล้วอ้าปากร้องไห้

เมื่อได้ยินเสียงลูกชายร้องไห้ พ่อและแม่ของฉินสือโอวที่กำลังยุ่งอยู่ในครัวก็วิ่งออกมา เมื่อเห็นฉินสือโอวกำลังยุ่งกับการจัดการลูกชายตรงหน้า แม่ของฉินสือโอวก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูเราสิ เป็นพ่อประสาอะไรกัน แม้แต่ลูกตัวเองยังอุ้มไม่เป็น?”

วินนี่รับลูกชายมาอุ้มต่อและจูบเขาที่หน้าผาก เจ้าตัวเล็กก็แค่ร้องไห้ระงม แต่ไม่มีน้ำตา เขาจ้องไปที่วินนี่และเมื่อเขาพบว่าเป็นแม่ที่คุ้นเคยเขาก็ปิดปากและหยุดร้องไห้ ยื่นมือน้อยๆ ออกไปเพื่อเล่นกับผมของเธอ

ฉินสือโอวอยากจะอุ้มลูกชายอีก แต่พอเขาจะเข้าไปอุ้ม เจ้าลูกชายก็รีบอ้าปากเตรียมร้องโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

เมื่อเป็นเช่นนี้ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ตกลงแล้วนี่มันลูกชายผมหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมเห็นหน้าผมแล้วเหมือนเห็นศัตรู?”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ วินนี่ก็เข้าไปหยิกเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ กัดฟันและขมวดคิ้ว “คุณยังมีหน้าจะพูดแบบนี้อีกเหรอคะ? ตั้งแต่ลูกชายเกิดมาคุณเจอเขากี่ครั้ง? ไม่ได้กลับมาบ้านตั้งหลายวัน คุณคิดว่าสมองของลูกชายเป็นคอมพิวเตอร์หรือไงคะ? เขาจำคุณได้สิถึงแปลก!”

ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ตระหนักได้ว่าเมื่อกี้เขาพูดคำพูดงี่เง่าอะไรออกไป เขาจึงรีบขอโทษ แล้วก็รีบรับปากทุกวิถีทางว่าวันหลังจะไม่หายหน้าจากแม่ลูกไปอีกแล้ว

ดวงตากลมโตของเถียนกวาเปล่งประกาย สักพักพอฉินสือโอวจะเข้าไปกอดเธอ เธอก็อ้าปากร้องคร่ำครวญทันที

เจ้าเด็กอ้วนตัวโตที่กำลังเล่นอยู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเห็นเถียนกวาร้องไห้เขาก็วิ่งมา แล้วยืนเกาจมูกของเขาพร้อมยิ้มกว้างเมื่อเห็นเธอเป็นทุกข์ “เฮ้ เฮ้ น่าอาย น่าอาย ร้องไห้ขี้มูกโป่งมันน่าอายนะ…”

เถียนกวาหลับตาและยื่นขาเตะออกไป เตะไปที่ร่างเจ้าเด้กอ้วนอย่างแม่นยำ เด็กอ้วนตัวโตก็เริ่มร้องไห้เช่นกัน คราวนี้ไม่ใช่ร้องแห้งๆ แต่ร้องโหยหวนเสียงดัง

ฉินสือโอวหมดความอดทนแล้ว เพิ่งกลับบ้านทำไมเรื่องถึงเยอะขนาดนี้นะ?

เขาประคองเจ้าเด็กอ้วนขึ้นมาอีกครั้ง มองไปที่เถียนกวาแล้วถามขึ้นว่า “คราวนี้หนูร้องไห้ทำไมอีกล่ะ?”

เถียนกวาหลับตาแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ร้อง ปาป๊าก็ไม่อยู่กับเถียนกวาน่ะสิ!”

ฉินสือโอว “…”

…………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท