ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1865 การซื้อขอaงมหึมาของฟาร์มปลาแห่งที่สาม

บทที่ 1865 การซื้อขอaงมหึมาของฟาร์มปลาแห่งที่สาม

หลังจากการซื้อฟาร์มปลาแห่งที่สาม ฉินสือโอวก็ได้ว่าจ้างบริษัททำความสะอาดเพื่อทำความสะอาดและตกแต่งวิลล่าและห้องสันทนาการ เออร์บักเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการห้องสันทนาการ ตอนนั้นชายชราพาเพื่อนเก่าอันเดร์มาพักอยู่ที่ฟาร์มปลาแห่งที่สามด้วย ทำความสะอาดแล้วอาศัยอยู่ที่ห้องสันทนาการที่ว่างเปล่านี้มาสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยกลับเกาะแฟร์เวล

เมื่อเขาออกเดินทางออกจากเกาะแฟร์เวลเมื่อสองวันก่อน เขาก็ได้นำเอาฝูงปลาจำนวนหนึ่งมาด้วย ความเร็วในการว่ายน้ำของฝูงปลาช้ากว่าเรือปริ้นเซสเมล่อน ตอนนี้เขาจึงรอฝูงปลามาถึงฟาร์มปลาแห่งนี้ หลังจากนั้นก็จะลงทุนการก่อสร้าง

ฟาร์มปลา พื้นที่ทำนาและฟาร์มปศุสัตว์ที่แคนาดาต่างมีวิลล่าในชนบททั้งนั้น ฟารืมปลาแห่งที่สามเคยเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของครอบครัวจับบาร์ เขาจึงมีสร้างวิลล่าจากไม้เนื้อแข็งไว้เช่นเดียวกัน

ในความเป็นจริงวิลล่าเหล่านี้มีขนาดเท่ากับบ้านในชนบทเล็กๆ ซึ่งเทียบไม่ได้กับวิลล่าในเขตชานเมือง สิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับก็ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่นหากต้องการไปซื้อของ หรือไปซูเปอร์มาร์เก็ต ต้องขับรถไปที่เมืองเล็กๆ ซึ่งห่างออกไปถึง 20 กิโลเมตรถึงจะได้

หลังจากส่งชาลส์กลับ ฉินสือโอวพาชาร์ค เกิงจุนเจี๋ยและคนอื่นๆ ไปซื้อของ ของที่ต้องซื้อก่อนเลยก็คือเรือและรถ

เหตุผลที่เขาลังเลที่จะสร้างฟาร์มปลาแห่งที่สามอีกเหตุผลหนึ่งก็คือที่นี่ต้องทำใหม่ตั้งแต่ต้น เท่ากับว่าต้องทำฟาร์มปลาต้าฉินใหม่แบบนั้น ซึ่งต้องใช้แรงงานและพลังงานมาก ทว่าในเมื่อมาแล้วก็ต้องเริ่มทำแล้วล่ะ

เมื่อเทียบกับการสร้างฟาร์มปลาต้าฉินตอนนั้น ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของเขาในตอนนี้คือเขามีประสบการณ์และกลุ่มลูกน้องที่มีประสบการณ์มากกว่าเขา เขาไม่จำเป็นต้องลงมือทำงานหลายอย่าง เช่น เกิงจุนเจี๋ยจะรับผิดชอบในการซื้อรถ บูลจะพาคนไปซื้ออวนจับปลา ซื้ออุปกรณ์ตกปลา ส่วนชาร์คพาคนไปที่ เมืองคาร์กิลิกเพื่อซื้อเรือประมงขนาดเล็ก

การซื้อรถเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แคนาดามีระบบการซื้อรถออนไลน์ที่พัฒนามาอย่างดี ฉินสือโอวจะเลือกรถทางออนไลน์ จากนั้นจึงทิ้งข้อมูลติดต่อของเขาไว้ ผู้ช่วยซื้อรถจะติดต่อเขา และทั้งสองฝ่ายจะมีการพูดคุยกันถึงรายละเอียดเพื่อที่เขาจะได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย ผู้ช่วยซื้อรถจะช่วยเขาหาจุดขาย 4S ที่ใกล้ที่สุด ดังนั้นเขาก็แค่ไปจ่ายเงินและรับรถได้เลย

อย่างตอนที่ฉินสือโอวมาเพิ่งมาแคนาดาเป็นครั้งแรก เขาซื้อรถคาดิลแลควันเพราะเออร์บักเป็นพาไปคาร์ซิตี้ อันที่จริงเขาไม่ต้องการมันเลย อย่างไรก็ตามชายชราคนนี้เป็นคนสไตล์เก่าไม่ชอบช้อปปิ้งออนไลน์ จึงชอบไปถึงที่ช้อปของจริงมากกว่า

ที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีรถฟอร์ดเอฟ650 สองคันแล้ว ดังนั้นฉินสือโอวยังคงเลือกซื้อสัตว์ร้ายตัวนี้เพราะเมื่อเทียบกับมันแล้วรถปิคอัพที่ผลิตโดยแบรนด์อื่นๆ เช่น โตโยต้า และ เชฟโรเลต นั้นยอดเยี่ยมมาก แต่พวกมันยังถือว่าห่างไกลเมื่อมาใช้งานในฟาร์มปลา

ก่อนอื่นมาพูดถึงแรงขับเคลื่อนก่อน ฟอร์ด F650 ใช้ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6.7 LV8 พลังขับเคลื่อนเต็มเปี่ยม ขอเพียงแค่มีถนนบนภูเขา จะขับเจ้าสัตว์ร้ายนี้ขึ้นเขาก็ไม่ใช่ปัญหา การใช้งานที่ฟาร์มปลา มันสามารถเอามาใช้ลากเรือ ตัวอย่างเช่น เรือบางลำตอนจะจอดเทียบท่าเรือตำแหน่งที่จอดยังไม่ดี เข้าที่จอดไม่ได้ ก็ใช้เจ้าสัตว์ร้ายนี้ลากเอาก็จะสามารถนำเข้าที่จอดที่จัดไว้แล้วล่วงหน้าของท่าเรือได้

ประการที่สองเรื่องยางรถ ยางรถของสัตว์ร้ายนี้สูงถึง 1.1 เมตร เป็นยางรถแบบ 425/65R 22.5 และยังสามารถปรับเปลี่ยนเป็นใช้ยางที่กำหนดเองแบบกว้างได้ ซึ่งสิ่งนี้สำคัญต่อฟาร์มปลามาก เพราะฟาร์มแลามีถนนลูกรังหลายสาย ถ้ายางรถไม่ใหญ่พอ เวลาขับจะลำบากไม่น้อย

ประการอื่นก็คือรูปลักษณ์ ฉินสือโอวยังไม่เคยเจอรถปิคอัพที่รูปลักษณ์ดูดุร้ายและน่าเกรงขามได้เท่านี้มาก่อน สำหรับผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นเขา รถยนต์ที่จับยิ่งดูน่าเกรงขามยิ่งดี ทางที่ดีที่สุดคือให้เขาขับออพติมัสไพร์ม

ซื้อรถฟอร์ด F650 สองคันตามปกติ ราคาทั้งหมดคือ 500,000 ดอลลาร์แคนาดา ตอนนั้นราคาคันแรกที่ซื้อคือ 340,000 ดอลลาร์แคนาดา แน่นอนว่านั่นเป็นรุ่นไฮเอนด์ แต่ครั้งนี้ที่ซื้อเป็นรุ่นมาตรฐาน ราคาจึงถูกลงมาหน่อย

อีกอย่างครั้งนี้เขาได้ส่วนลดในการซื้อรถด้วย ลดไปสองครั้งด้วยกัน ประการแรกเพราะเพราะฟอร์ดและบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสมีความร่วมมือกัน ดังนั้นเมื่อใช้การ์ดนี้จึงได้รับส่วนลดเล็กน้อย ประการที่สองเพราะจำนวนรถปิคอัพที่ฉินสือโอวซื้อเกินห้าคันแล้ว เขาเคยซื้อเองสองคัน เรค เหมาเหว่ยหลง ชาร์คและแซ็กก็เคยซื้อฟอร์ดเทอมิเนเตอร์ผ่านเขา ดังนั้นจึงได้รับส่วนลดเพิ่มอีกเล็กน้อย เมื่อหักส่วนลดไปแล้วจึงเหลือราคา 250,000 ดอลลาร์แคนาดา

เกิงจุนเจี๋ยและลูกน้องทหารยานยนต์คนหนึ่งขับฟอร์ดเทอมิเนเตอร์กลับมา รถมีแถมเสื้อหนังและแว่นกันแดดโบลอนมาด้วย ทั้งสองจึงแสดงท่าทางเป็นชายแกร่งตอนลงจากรถ พอฉินสือโอวเห็นก็หัวเราะใหญ่ แล้วพูดว่า “รูปร่างพวกนายไม่ได้ ตัวเล็กเกิน กลับไปกินโปรตีนผงสร้างกล้ามเนื้อหน่อย ดูแล้วไม่น่าเกรงขามเลยสักนิด”

เกิงจุนเจี๋ยหัวเราะแล้วถามว่า “ได้เลยครับ บอส แต่ว่าเสื้อพวกนี้ แว่น แล้วยังมีรองเท้าปีนเขาให้พวกเราสองคนได้ไหมครับ? ”

ปกติฉินสือโอวจะใจกว้างในเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาโบกมืออย่างไม่ได้สนใจ “แน่สิ ไม่มีปัญหา พวกนายชอบก็เอาไป”

เกิงจุนเจี๋ยและทหารยานยนต์ทั้งสองคนกอดรองเท้าสองคู่ที่อยู่หลังรถไว้อย่างดีใจ พวกเขาไม่ได้ใส่ เพราะถ้าใส่แล้วฉินสือโอวก็จะใส่ต่อไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องให้เจ้านายเห็นด้วยก่อนถึงค่อยใส่ได้

กระบวนการเรื่องรถยังดำเนินการอยู่ ทั้งป้ายทะเบียน ประกันรถ เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะมีผู้ช่วยขายรถคอยช่วยเหลือ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือแค่ใช้รถ พักเดียวพิธีการเหล่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

เมื่อมีรถจะทำเรื่องอื่นก็ง่ายดายแล้ว ฉินสือโอวขับรถไปเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไป 20 กิโลเมตรก่อน ชื่อเมืองคือพริ้นทาวน์ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดารอบๆ เมืองคาร์กิลิก ไม่ได้เล็กไปกว่าเกาะแฟร์เวลเลย ภายในเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับครบครัน และยังมีวอลมาร์ตที่มีเนื้อที่กว่า 2,000 ตารางเมตรแห่งหนึ่งด้วย

จำนวนชาวประมงเยอะ สิ่งของที่ต้องการจึงมีจำนวนเยอะไปด้วย ดังนั้นจึงขับรถปิคอัพเข้าไปในเมืองทั้งสองคัน

รถปิคอัพจอดในลานจอดรถ ฉินสือโอวและกลุ่มชาวประมงหลายคนลงจากรถ เดินเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างเสียงดัง เมื่อเห็นกลุ่มเขาที่มีร่างกายกำยำเดินใกล้เข้ามา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็รู้สึกเกร็ง มือจับไปที่กระบองที่เหน็บตรงเอวแกล้งเดินไปใกล้พวกเขาอย่างเนียนๆ

แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะพวกชาวประมงตัวใหญ่ ไหล่กว้างและมีเอวหนา และส่วนใหญ่ก็ยังมีรอยสัก ทำงานที่ทะเลก็ไม่สะดวกที่จะไว้ผมยาว นอกจากฉินสือโอวแล้ว คนอื่นๆ ก็ต่างทำสกินเฮด แม้แต่เกิงจุนเจี๋ยและทหารคนอื่นๆ ก็ยังเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามทำผมสกินเฮดเช่นกัน มองดูแล้วก็เหมือนพวกแก๊งสกินเฮดหรือแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ที่มาหาเรื่องจริงๆ

ต่อมาเมื่อพวกเขาเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนุ่มตามพวกเขามาอยู่ พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวรู้สึกไม่โอเคแล้ว จึงเดินเข้าไปถามว่า “เพื่อน นายตามพวกฉันมานี่จะเอายังไง ดูถูกพวกเราเหรอ?”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นลุกลี้ลุกลนถามขึ้น “พวกคุณเป็นชาวประมงเหรอ?”

ชาวประมงอยู่อาศัยกินกับทะเลมายาวนาน ดังนั้นกลิ่นไอของทะเลจึงได้แทรกซึมเข้าไปในผิวหนังและเส้นผมของพวกเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะหาย ดังนั้นตัวตนของชาวประมงจึงสามารถตัดสินได้จากกลิ่นกายเมื่อเข้าใกล้

“เป็นชาวประมงเลยดูถูกพวกเราอย่างนั้นเหรอ?” เกิงจุนเจี๋ยที่เป็นคนตรงไปตรงมาพอได้ยินแบบนี้ก็โกรธทันที

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกล่าวอย่างระแวดระวัง “ไม่ครับ เพียงแต่ว่ามีชาวประมงจากฟาร์มปลามอร์รี่ พอ ชาวประมงที่นั่นพอมาซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มักจะก่อความเดือดร้อน พวกเราเลยต้องคอยจับตาดูพวกชาวประมง”

ฉินสือโอวไปต่อไม่ถูก แม่งนี่มันเรื่องตกกระไดพลอยโจนเหรอเนี่ย? ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้องจริงๆ…

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท