ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1880 แผนไม้ตาย

บทที่ 1880 แผนไม้ตาย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเรือขโมยปลาเล็งฟาร์มปลาต้าฉินมานานแล้ว เจ้าของฟาร์มปลารอบเขตทะเลนิวฟันด์แลนด์ทั้งหมดต่างก็รู้ถึงสมบัติที่ฟาร์มปลาต้าฉินมี ราคาอาหารทะเลต้าฉินแพงมาก แล้วยังผลิตไม่พอขายในตลาดด้วย

ตอนนี้อาหารทะเลของฟาร์มปลาได้กลายเป็นสินค้าสำหรับนักกีฬาและเศรษฐี อาหารทะเลชั้นเลิศมากมายยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ แต่พอส่งไปที่ร้านขายอาหารทะเลต่างๆ เจ้าของร้านก็จะติดต่อเศรษฐีหรือนักกีฬาในพื้นที่ พวกเขาจะซื้อไปในราคาสูง

ฉะนั้นแล้วสำหรับเรือขโมยปลา ที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีไม่ใช่แค่ปลาแต่เป็นทองที่ว่ายน้ำได้!

แม้ว่าสภาพอากาศหมอกลงจะน่ากลัว แต่กำไรร้อยพันเท่าก็พอให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาคว้าโอกาสหายากในร้อยปีนี้ลองเสี่ยงดู สำหรับพวกเขาแล้วถ้าจับปลาที่ฟาร์มปลาต้าฉินและขายหมดเรือก็ไม่ต้องทำงานทั้งปีหรือกระทั่งสองสามปี

เทียบกับการเสี่ยงเรือชนกับโขดหิน เงินที่ได้จากฟาร์มปลาน่าดึงดูดกว่าเยอะ

ตั้งแต่กลางวัน เรดาร์ก็เริ่มปรากฏร่องรอยของเรือขโมยปลาประปรายที่ยิ่งมากขึ้นไปทุกที พอถึงตอนตกกลางคืนแรกของคืนหมอกลง เรือขโมยปลาที่เข้ามาในฟาร์มปลาต้าฉินมีมากถึงสิบลำ!

ฉินสือโอวสงสัยเสียด้วยซ้ำว่าเรือหาปลาพวกนี้วางแผนเข้ามาไว้ก่อนแล้ว พวกเขาอาจจะเป็นพวกเดียวกัน อย่างน้อยก็คือร่วมมือกันมาขโมยปลา ฉะนั้นการจะรับมือพวกเขา ฉินสือโอวก็จะไม่เกรงใจ

เขาคิดว่าเขาได้สยบเจ้าพวกขี้ขโมยแถวนี้ไว้แล้ว ดูท่าจะไม่เป็นอย่างนั้น พอดีกับที่ฉวยโอกาสหมอกลง เขาต้องแสดงถึงพลังการอารักขาของฟาร์มปลาออกสู่สายตาประชาชนเสียหน่อยแล้ว!

แค่หมอกทะเลยังไม่พอ ฉินสือโอวยังรอจนถึงเที่ยงคืน แล้วเขาค่อยเรียกคราเคนที่หมอบหลับอยู่ในก้นทะเลออกมา

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมร่างกายของคราเคน หลังผ่านการกินอาหารมาทั้งปีก่อนและการรับพลังโพไซดอน คราเคนจึงได้กลายเป็นสัตว์ขนาดมหึมา ลำตัวของมันบวกเข้ากับหนวดที่ยาวที่สุดมีความยาวถึงเกือบร้อยเมตร นี่เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คนไม่เคยเห็นมาก่อน!

คราเคนค่อยๆ ว่ายขึ้นมาที่ผิวน้ำ ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปหาเรือขโมยปลา บังเอิญว่าเหนือจุดที่คราเคนนอนหลับขึ้นไปก็มีอยู่ลำหนึ่งแถมยังเป็นลำใหญ่เสียด้วย ใหญ่ถึงพันตันเลยทีเดียว!

สำหรับเรือประมงน้ำลึก เรือประมงพันตันก็ไม่อะไรเท่าไร แต่สำหรับเรือขโมยปลาแล้ว นั่นถือว่าเป็นเรือใหญ่ เรือขโมยปลาทั่วไปก็จะจำกัดอยู่ที่หลายร้อยตัน ยิ่งลำใหญ่ยิ่งถูกพบได้ง่าย ลำใหญ่เลี้ยวก็ยาก ยิ่งถ้าถูกจับได้ตอนหนีก็ยิ่งยาก

โจรขโมยปลากลุ่มนี้เตรียมเรือใหญ่มาก็เท่ากับเป็นการดูถูกว่าฟาร์มปลาไม่ส่งเรือมาไล่พวกเขาในสภาพอากาศหมอกลงแบบนี้ ส่วนพวกตำรวจน้ำคู่ปรับก็ติดอยู่ปากอ่าวออกมาไม่ได้

แต่พวกเขานึกไม่ถึงว่า สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ในฟาร์มปลาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่เรือกำปั่นทะเลหรือตำรวจน้ำ แต่เป็นราชาน่าสะพรึงในท้องทะเลลึก!

หลังจากปรับตัวเข้ากับความดันบนผิวน้ำได้แล้ว คราเคนก็เข้าประชิดเรือลำพันตันมหึมาอย่างว่องไว

หมอกทะเลลงหนักมาก ถึงแม้จะดูใกล้ๆ แต่ก็เห็นเพียงแค่แสงไฟสลัวบนเรือลำยักษ์นั้นเท่านั้น หลอดทังสเตนไอโอดีนที่หัวเรือท้ายเรือและในท้องเรือภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ดูสลัวราวกับโคมไฟ ดูจากตรงนี้ก็รู้ได้ว่าหมอกในทะเลหนักขนาดไหน

คราเคนเข้ามาใกล้เรือขโมยปลา หนวดหกเส้นกางออกเพื่อพยุงสมดุลร่างกาย อีกสี่เส้นเหวี่ยงออกไปราวกับวงล้อไฟใต้น้ำแล้วฟาดลงบนเรือประมงผ่านแรงต้านของน้ำทะเลลงไปตามกันทีละเส้นๆ

จะบอกว่า หนวดพวกนั้นคว้ากระบองฟันหมาป่าเหล็กกล้าไร้สนิมร้อยกิโลกรัมไว้ด้วย!

‘ตึงๆๆ’ เสียงดังทุ้มดังต่อเนื่องกันครู่หนึ่ง น้ำทะเลกระเซ็นไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง ตอนนั้นเองเรือพันตันก็เริ่มโคลงเคลง

ฉินสือโอวใช้แรงเยอะไปหน่อยจนรู้สึกว่าตัวของคราเคนก็สั่นไปด้วย แต่ทำไงได้ เปลือกนอกของเรือพันตันหนามาก คราเคนต้องออกแรงโจมตีเยอะๆ ถึงจะเจาะเข้าไปได้!

แน่นอนว่าความพยายามของเขาก็เป็นผล ก้นเรือลำนี้มีรูรั่วใหญ่สองรูเรียงกัน ท้องเรือแทบจะโดนฉีกออกมาหมดแล้ว น้ำทะเลจำนวนมากเริ่มพุ่งเข้าภายในเรือประมง…

เหล่ากะลาสีที่กำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ในห้องโดยสารต่างอึ้งไป รอจนเรือประมงโคลงเคลงและค่อยๆ จมลงพวกเขาถึงรู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไร

เจอแบบนั้นพวกกะลาสีก็ตกใจตัวโยน พวกเขากรีดร้องยกใหญ่ รีบขึ้นไปบนดาดฟ้ากับด้านข้างเรือแล้วมองไปในน้ำโดยไม่ได้สนใจเอาสิ่งของของตัวเองติดตัวไปด้วย ส่วนกัปตันกับผู้ช่วยก็ตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“กัปตัน สถานการณ์ไม่สู้ดี เรือชนโขดหินแล้ว!” มีคนตะโกนเสียงหลง

“มีวิธีแก้ไหม? เรือปิดดาดฟ้าชั้นล่าง!” กัปตันตะโกน

“ไม่ ไม่มีประโยชน์”

“รีบหนีเถอะ! แย่แล้ว เรือจะล่มแล้ว!”

“โอ้ พระเจ้า ช่วยด้วย ฉันยังไม่อยากตายอยู่ที่เฮงซวยนี่!”

กัปตันกับผู้ช่วยตะโกนให้เหล่ากะลาสีใจเย็นลง แต่พอรู้ว่าตัวเองตกที่นั่งแบบไหนอยู่ตัวพวกเขาเองก็เริ่มจะใจเย็นไม่ได้ รีบปล่อยเรือชูชีพกับเรือคายัค คนกลุ่มหนึ่งพกเอาอาหารน้ำร้อนไปด้วยก่อนจะหนีตาลีตาเหลือกไปขึ้นเรือชูชีพ

ในตอนนี้ขอแค่คราเคนสะบัดหนวดบนผิวน้ำ คนพวกนี้ก็จะโดนฝังใต้ทะเล และหลังจากนี้ก็จะตรวจสอบอะไรไม่ได้ เพราะหมอกเป็นทั้งเครื่องปกปิดความผิดและเครื่องมืออำพรางอย่างดี

แต่ฉินสือโอวไม่ได้ทำแบบนั้น แม้ว่าเขาจะโมโหกับการกระทำของคนพวกนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายพวกเขา เขาก็ยังคงคิดว่า หัวใจโพไซดอนไม่ควรเอาไว้ฆ่าใคร

ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากจะเอาชีวิตไอ้พวกต่ำพวกนี้มาทำให้ฟาร์มปลาของเขาแปดเปื้อน

คราเคนผละออกมาและมุ่งไปยังเป้าหมายต่อไป จิตสำนึกแห่งโพไซดอนหาเรือที่ใกล้ตรงนี้ที่สุดได้แล้ว

เขาปล่อยคนพวกนั้นไป แต่คนพวกนั้นจะรอดชีวิตไหมก็คงต้องดูประสงค์ของพระเจ้าแล้ว หมอกลงขนาดนี้ พวกเขาไม่มีทางหาทิศทางเจอเลย หลงทางในทะเลได้ง่ายๆ และตำรวจน้ำก็มาช่วยพวกเขาไม่ได้ นี่แหละน่ากลัวกว่า

ที่น่ากลัวที่สุดก็ยังคงเป็นหมอกทะเล อุณหภูมิของหมอกต่ำแต่กลับนำความร้อนได้ดีมาก อย่างน้อยก็เสถียรกว่าอากาศมาก หมอกทะเลที่หนาขนาดนี้ล้อมรอบตัวคนไว้ถ้าไม่รีบหาที่อุ่นๆ สุดท้ายเสี่ยงตายได้

หลังสิ้นเสียงทุ้มที่ดังติดกัน ท้องเรือประมงอีกลำก็แยกเป็นรู ภาพก่อนหน้านี้ย้อนเล่นอีกครั้ง พวกโจรขโมยปลาร้องน้ำหูน้ำตาไหลพลางปล่อยเรือชูชีพลง เบียดเสียดพากันพายไปที่ไกลๆ ในขณะเดียวกันก็ใช้โทรศัพท์ดาวเทียมส่งข้อความขอความช่วยเหลือ

จัดการกับเรือขโมยปลาลำแล้วลำเล่า ฉินสือโอวไม่อยากปล่อยเรือขโมยปลาสิบลำที่เข้ามาในฟาร์มปลาต้าฉินไปสักลำเดียว

แต่งานทำลายล้างแบบนี้ก็มีผลเสียต่อคราเคน หลังจากที่จัดการเรือขโมยปลาไปแปดลำ คราเคนก็ตัวอ่อนปวกเปียก กระทั่งกระบองฟันหมาป่าสองซี่ก็ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว

แบบนี้ฉินสือโอวก็ได้แต่ยั้งมือ ไม่อย่างนั้นคราเคนจะต้องได้รับความเสียหายที่รักษาไม่ได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเห็น

ถ่ายพลังโพไซดอนจำนวนมากให้คราเคนให้มันไปพักผ่อน ฉินสือโอวมีวิธีอื่นที่จะรับมือกับสองลำนี้ เขายังมีไพ่ใบเด็ดให้ใช้นะ อย่างเช่นกั้งตั๊กแตนเจ็ดสี

ฝูงกั้งตั๊กแตนแพร่พันธุ์จำนวนมากในฟาร์มปลาหลายปีมานี้พวกมันไม่มีศัตรูธรรมชาติใช้ชีวิตสุขสำราญ ตอนนี้มีกั้งตั๊กแตนสุดแสบหลายหมื่นตัวอาศัยที่นี่แล้ว

ฉินสือโอวหาพวกกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีขนาดราวผ่ามือ จากนั้นก็ถือโอกาสยามราตรี เขาใช้หนวดของคราเคนแอบเอากั้งตั๊กแตนพวกนั้นส่งขึ้นเรือขโมยปลาสองลำที่เหลือ บนเรือทุกลำมีกั้งตั๊กแตนห้าหกร้อยตัว

แบบนี้ก็น่าสนุกขึ้นมาแล้ว พอเหล่ากั้งตั๊กแตนเข้าไปในห้องโดยสารก็มีเสียงร้องโหยหวนน่าสงสารของโจรขโมยปลาดังมาจากเรือสองลำตามๆ กัน

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท