ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1877 กลับบ้านไปแต่งงาน

บทที่ 1877 กลับบ้านไปแต่งงาน

เมนูหลักของมื้อเย็นคือซี่โครงทอดซึ่งซี่โครงนี้แตกต่างจากที่อื่น เหมาเหว่ยหลงส่งลูกแพะมาให้ และพอครั้งนี้ฉินสือโอวกลับมา พ่อของฉินสือโอวก็ตั้งใจฆ่าแพะตัวนี้ ซึ่งซี่โครงแพะก็เอามาจากแพะตัวนี้นี่เอง

เมื่อล้างซี่โครงแพะจนสะอาดก็ใช้กะปิหมักต่อ เพราะบางทีที่ฟาร์มปลาก็จะจับพวกเศษกุ้งเศษปูได้ เมื่อก่อนมักจะโยนกลับไปในทะเลไปเป็นอาหาร แต่พ่อแม่และของฉินสือโอวเป็นคนประหยัด จึงเก็บขึ้นมาทำเป็นกะปิ

เพราะอย่างไรก็ตามก็เป็นกุ้งและปูที่ได้รับการปรับปรุงโดยพลังงานแห่งโพไซดอน รสชาติของกะปิที่ทำออกมาได้จึงมีรสหวาน สด อร่อยมากๆ

ฉินสือโอวเริ่มชักชวนพ่อกับแม่ว่าไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ถ้าอยากจะกินกะปิ ก็ไปจับลูกกุ้งแดงในทะเลขึ้นมาสักหน่อยเอามาทำกะปิ นี่แหละถึงจะเป็นอาหารที่ดีที่สุด แต่พ่อและแม่ฉินสือโอวไม่ยินยอม พวกเขาบอกว่ากะปิต้องใช้เศษกุ้งพวกนี้มาทำถึงจะอร่อย

แน่นอน กะปิที่พ่อและแม่ฉินสือโอวทำอร่อยมาก และทั้งสองก็ยังนำกะปิไปสานสัมพันธ์ต่อด้วย กะปิที่พวกเขามีจำนวนเยอะกินเองไม่หมด เริ่มแรกก็ให้กับพวกชาวประมง ต่อมาเมื่อไปเที่ยวในเมืองก็ไปให้คุณลุงคุณป้าที่พวกเขารู้จัก ทุกคนต่างเอ่ยชมว่าอร่อยทำให้ทั้งคู่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

กะปิชั้นดีคู่กับซี่โครงแพะชั้นเลิศ ไม่ต้องใส่อะไรเพิ่มทั้งนั้น รอจนทอดซี่โครงเสร็จ เอาขึ้นจากกระทะ แล้วก็กินได้เลย

เมื่อเด็กอ้วนเห็นซี่โครงแพะที่พ่อฉินสือโอวทำ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมกลับบ้าน พอพลบค่ำก็กอดถือแก้วน้ำใบใหญ่คอยบ้วนปากอยู่ตลอด วินนี่ถามด้วยความแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องให้ฉินสือโอวเอ่ยปากเลย เถียนกวาก็แย่งเล่าเรื่องโชคร้ายที่เด็กอ้วนเจอในสวนผักให้ฟังไปรอบหนึ่ง

หลังจากที่เด็กอ้วนกินมะระเข้าไป ก็ไม่ได้กินสิ่งอื่นต่ออีกเลย มะระเหล่านี้ก็ได้รับการปรับปรุงคุณภาพจากพลังโพไซดอนเช่นกัน จึงขมมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าได้ต้มในน้ำเดือดทิ้งสักรอบ ก็จะมีเพียงรสชาติกรอบอร่อยเหลืออยู่

ฉินสือโอวพูดอย่างดีใจว่า “ตอนนั้นลูกสาวทำดีมาก เธอบอกกับบูลน้อยว่ากินไม่ได้ แต่ว่าบูลน้อยไม่ฟัง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เถียนกวารีบวิ่งหนี ฉินสือโอวยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูสิ ลูกสาวช่างถ่อมตัวจริงๆ อายจนไม่กล้ารับคำชื่นชมเลยเหรอเนี่ย?”

วินนี่ยืนคิ้วขมวดอยู่ตรงนั้น ท้าวสะเอวแล้วตะโกนว่า “เถียนกวา กลับมาหาหม่าม๊าเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

เถียนกวาวิ่งหอบหนีไป แล้วหันกลับมาบอกว่า “เถียนกวาไม่เอาหม่าม๊าแล้ว เถียนกวาจะไปหาคุณย่า”

ฉินสือโอวมึนงงไปหมด ถามขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

วินนี่ตอบด้วยอารมณ์ขุ่นๆ ว่า “ไม่น่าบูลน้อยถึงไม่ฟังคำพูดของเราแล้วดึงดันจะกินให้ได้ เถียนกวาเด็กนิสัยไม่ดี ปกติตอนที่เธออยู่กับบูลน้อย ของที่อร่อยเธอก็จะบอกว่าไม่อร่อย ยิ่งของอร่อยเท่าไรก็จะบอกว่าไม่อร่อยเท่านั้น บูลน้อยถูกเธอหลอกตั้งหลายครั้ง ตอนหลังมารู้เรื่องนี้เข้า พอเถียนกวายิ่งบอกว่าไม่อร่อย เขาก็จะต้องกินให้ได้”

ฉินสือโอวเพิ่งจะเข้าใจว่าตอนนั้นเมื่อได้ยินคำพูดชักชวนของเถียนกวาแล้ว บูลน้อยถึงดึงดันจะกินให้ได้ เขานึกว่าเด็กน้อยเข้าสู่วัยไม่เชื่อฟังก่อนถึงเวลา แต่ที่แท้โดนเถียนกวาหลอกนี่เอง!

ระหว่างรับประทานอาหาร ฉินสือโอวเรียกบูล แซ็ก นีลเซ็นและคนสนิทของเขามากินด้วยกัน ชาร์คและซีมอนสเตอร์เป็นคนคอยดูแลฟาร์มปลาแห่งที่สาม ส่วนเกิง จุนเจี๋ยจัดการคนงานที่ฟาร์มปลาแห่งที่สอง และเบิร์ดประจำอยู่ที่นิวยอร์กดูแลร้านอาหารต้าฉินในอเมริกาเหนือ

วินนี่เตรียมพริกไทยดำ เกลืองา พริกป่น ซอสมะเขือเทศและเครื่องปรุงอื่นๆ ไว้ให้เรียบร้อย เนื้อทอดจะมีรสชาติดีขึ้นถ้าได้โรยเครื่องปรุงเหล่านี้

เมื่อมองไปที่ชาวประมงที่เหลือเพียงไม่กี่คน ไม่รู้ทำไมฉินสือโอวนายใหญ่ถึงรู้สึกอยู่ดีๆ ก็เสียใจ พูดขึ้นว่า “เพื่อนผองทั้งหลาย ทำไมพวกเราถึงมีเหลือกันแค่นี้แล้วล่ะ? ให้ตายเถอะ เมื่อไรจะเรียกคนอื่นๆ กลับมา มาจัดปาร์ตี้ให้ทุกคนครึกครื้นกันดีกว่า!”

บูลเอาซี่โครงโรยพริกไทยดำยัดใส่ปากลูกชาย หัวเราะแล้วพูดว่า “กัปตันนี่เป็นเรื่องดีเลย ฮ่าๆ พวกตัวใหญ่ทุกคนอยู่ข้างนอกคนเดียวและชีวิตของทุกคนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความสุขไม่น้อยเลย”

ฉินสือโอวกลอกตามองบน มีความสุขบ้าบออะไร!

ขณะที่หู่จือและเป้าจือกำลังสะบัดหางไปมาเพื่อรอกินกระดูกอยู่นั้น อยู่ดีๆ พวกมันก็วิ่งออกไป หลังจากนั้นก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวรู้ว่านี่หมายถึงมีคนรู้จักมาหา

เป็นจริงดั่งคาด ชายหญิงคู่หนึ่งเดินตามเข้ามา คือโหวจื่อเซวียนและหวงเจียเจีย

ฉินสือโอวไม่ได้เจอโหวจื่อเซวียนมาสักพักแล้ว ตั้งแต่สองปีที่แล้ววินนี่คาดหวังว่าจะมีลูกเขาก็ไม่ค่อยได้เข้าไปในเมือง จึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหวงเจียเจียมาถึงที่เมืองเมื่อไร

รีบทักทายทั้งคู่และเชื้อเชิญให้นั่งกินข้าวด้วยกัน โหวจื่อเซวียนหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่ นี่ผมมาตามกลิ่นหอมเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ ผมตั้งใจพาเจียเจียมาขอกินข้าวที่นี่ด้วย พี่จะยินดีต้อนรับไหมครับ?”

หวงเจียเจียดึงเขาเบาๆ สีหน้าตำหนิเขาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกว่าเขาพูดแบบนี้ไม่เหมาะสมเท่าไร

แต่ฉินสือโอวไม่ถือสา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีสิ ยินดีต้อนรับแน่นอน! รีบนั่งเร็ว บูล เทเหล้าให้โฮ่วจื่อมันหน่อย ในเมื่อเขามาขอข้าวกิน ฉันก็ต้องดูแลให้อิ่มท้องสำหรับอาหารทุกอย่าง”

โฮ่วจื่อกินซี่โครงแพะกับกะปิไปชิ้นหนึ่ง รีบยกนิ้วหัวแม่มือเอ่ยปากชมว่า “อืม อร่อยมาก รสชาติของซี่โครงแพะคือที่สุด! คุณลุงกับคุณป้าต้องเป็นคนทำแน่ๆ คุณลุงกับคุณป้าทำอาหารเก่งมากเลยครับ!”

พ่อของฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราชอบกินก็กินเถอะ ฮ่าๆ กินเยอะๆ หน่อย ซี่โครงแพะทั้งตัวฉันทอดไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนกินเต็มที่้เลยนะ!”

ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่าโหวจื่อเซวียนมาหาตัวเองต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาถึงฟาร์มปลาด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงรอเขาเอ่ยปาก

เป็นไปดั่งคาด เมื่อทานไปได้สักพัก โหวจื่อเซวียนก็พูดขึ้นว่า “พี่ ผมอาจจะต้องลาหยุดยาว หรือเป็นไปได้แม้กระทั่งว่าจะลาออก”

ฉินสือโอวตกใจ ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น? นายจะกลับจีนแล้ว?”

“จะแต่งงานแล้ว ใช่ไหม?” วินนี่ที่อยู่ด้านข้างยิ้มตาหยีแล้วถามขึ้น จากนั้นเธอก็เอาซี่โครงชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากเถียนกวาที่กำลังกินอย่างมูมมาม

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ หวงเจียเจียรีบก้มหน้างุด ส่วนโหวจื่อเซวียนยิ้มอย่างโง่เขลา แล้วพูดขึ้นว่า “ใช่ครับ พี่สะใภ้เก่งมากเลยครับ ดูออกด้วย ใช่แล้วครับ ผมจะแต่งงานกับเจียเจียแล้ว ต้องกลับไปเตรียมงานแต่งและอย่างอื่นอีก ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยครับ”

เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวค่อยเบาใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตามใจนายเลย จะหยุดนานแค่ไหนก็ได้ นายแล้วก็คู่เกย์ของนายจะกลับไปด้วยกันใช่ไหม? ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันให้พอลหาคนงานชั่วคราวมาเพิ่มได้”

โหวจื่อเซวียนลูบหัวแล้วบอกว่า “แบบนี้ก็ไม่ค่อยดีหรอกครับพี่ อีกอย่าง พูดตามตรงแล้ว พวกเราพอแต่งงานกันแล้วก็คงไม่ได้ไปไหนแล้ว ก็คงขยายกิจการอยู่ที่จีนแล้ว”

ฉินสือโอวถามขึ้นว่า “นายอยู่ที่เกาะแฟร์เวลไม่มีความสุขเหรอ?”

วินนี่ที่ไปที่หลังมือของเขาแล้วพูดว่า “ฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องมีความสุขหรือไม่มีความสุขหรอก ฉันเข้าใจโฮ่วจื่อ คนคนหนึ่งไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้นนะ เขาก็ไม่ได้มีกิจการที่แคนาดา อีกอย่างเพื่อนเขา ญาติเขาและเพื่อนของภรรยาต่างก็อยู่ที่จีนหมด”

โหวจื่อเซวียนมองไปที่เธออย่างซาบซึ้ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่ครับ เป็นแบบที่พี่สะใภ้พูดเลย ทั้งครอบครัว ญาติและเพื่อนต่างอยู่ที่จีน ทางที่ดีที่สุดคือทำงานขยายกิจการที่ประเทศจีนต่อไป เพราะอย่างไรก็ตามพ่อแม่ของผม แม่สามีของผมและพ่อตาของผมก็แก่แล้ว ดังนั้นเราต้องเป็นคนกตัญญูครับ”

ฉินสือโอวอยากจะบอกว่าอพยพมาทางนี้ก็ได้แล้ว แต่เมื่อมองไปที่พ่อแม่ของตัวเองที่ไม่ยอมย้ายมา เขาจึงเก็บคำพูดนี้กลับคืนไป หลังจากนั้นก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะค่อนอึมครึม เถียนกวาและบูลน้อยอยู่ดีๆ ก็งัดข้อกันเอง

บูลน้อยเห็นว่าพออยู่ด้านข้าง จึงเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาใช้ประโยชน์จากน้ำหนักของเขากระแทกเถียนกวาล้ม ตะโกนขึ้นว่า “วันนี้หนิวหนิวจะเอาชนะเธอ!”

เถียนกวาไม่กลัว ตะโกนใส่ว่า “หู่จือ เป้าจือ หมาป่าตัวซวย มานี่เดี๋ยวนี้ จัดการมันซะ!”

ฉินสือโอว “…”

………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท