ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1884 โลงศพใต้ทะเล

บทที่ 1884 โลงศพใต้ทะเล

เขาอยากจะแก้แค้นตระกูลมอร์รี่ แต่ว่าเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป จะรีบร้อนไม่ได้ เพราะเขาขาดวิธีที่จะต่อกรกับตระกูลมอร์รี่ แม้ตระกูลนี้จะไม่ถึงขั้นมีอิทธิพลกว้างขวางในอเมริกาแต่ก็มีฐานที่มั่นคง วิธีแก้แค้นที่ฉินสือโอวคิดได้ก็มีแต่การแย่งลูกค้ากับแหล่งลูกค้าของพวกเขาไปทั้งหมดจนสุดท้ายให้ธุรกิจตระกูลพวกมันล้มละลาย

คิดได้ก็ลงมือเลย ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกโพไซดอนลงไปในฟาร์มปลาของตระกูลมอร์รี่ตั้งแต่ชายฝั่งยันน่านน้ำลึกแล้วดึงฝูงปลาทั้งหมดเข้าไปในฟาร์มปลาเบอร์สาม ในขณะเดียวกันเขาก็เรียกฝูงฉลามของเฮยป้าหวังฉลามขาวยักษ์มา กะว่าจะให้พวกมันมาอยู่ที่ฟาร์มปลาของตระกูลมอร์รี่ยาวๆ

ขอแค่ฝูงฉลามอยู่ที่นี่ งั้นฟาร์มปลาของตระกูลมอร์รี่ไม่สามารถเลี้ยงปลาออกขายได้ก็จะมีคำอธิบายที่ดีมาก ฉลามมาอาศัยในฟาร์มปลาตั้งเยอะ ต้องกินปลาไปเยอะขนาดไหน? อีกอย่าง ต่อให้ฝูงปลาในฟาร์มปลาเยอะก็ไม่สู้การไล่ล่าของฉลาม ต้องหนีไปจากฟาร์มปลาแน่

งั้นก็เป็นข้อด้อยทางธรรมชาติของฟาร์มปลา ถ้าฟาร์มปลาเกิดเรื่องขึ้นมา ปลาที่เลี้ยงก็จะว่ายหนีไป ถ้าหนักหน่อยก็สามารถทำให้เจ้าของฟาร์มปลาไม่คืนทุนได้เลย

จิตสำนึกโพไซดอนแหวกว่ายไปในน่านน้ำชายฝั่งของฟาร์มปลา จิตสำนึกทั้งแปดออกจู่โจมทั้งหมด เขาเริ่มค้นฟาร์มปลาแบบหว่าน ขอแค่เจอปลาไม่ว่ามันจะเป็นฝูงปลาอะไรหรือขนาดไหน ก็จะดึงไปที่ฟาร์มของตัวเองทั้งหมด

งูเหลือมทะเลกับเหล่าฉลามมาแถบชายฝั่งไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องกวาดแถบชายฝั่งทะเลให้เรียบเอง ส่วนทะเลน้ำลึกก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ ฝูงปลาที่เหลือก็ให้เป็นอาหารของพวกฉลามก็เรียบร้อย

จิตสำนึกโพไซดอนแหวกว่ายไปในใต้ทะเลครู่หนึ่ง จู่ๆ ฉินสือโอวก็สังเกตเห็นว่ามีแถบหนึ่งในก้นทะเลที่ดูต่างกับรอบด้าน

ตามปกติแล้ว เพราะใต้ทะเลกว้างใหญ่ได้รับผลกระทบจากมนุษย์น้อย และไม่มีสัตว์ทะเลที่จะตั้งใจทำลายแถบใดแถบหนึ่งของทะเล เพราะฉะนั้นแถบใต้ทะเลที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายกัน พันธุ์ของสาหร่ายทะเลกับพืชน้ำและจำนวนจะคล้ายกัน

แต่ว่าเขาสังเกตเห็นแถบทะเลเล็กๆ ว่ามีสาหร่ายสีน้ำตาลขึ้นอยู่ สาหร่ายสีน้ำตาลพวกนนี้ไม่ได้รับการกระตุ้นจากพลังโพไซดอนเลยไม่ได้โตมาก แต่ก็ยาวถึงสิบกว่าเมตร แพร่กระจายพลิ้วไสวอยู่ใต้น้ำดูขัดกับสภาพรอบด้านมากๆ

ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ไม่ได้ปลูกสาหร่ายสีน้ำตาล เขาเลี้ยงปลาด้วยอาหารปลา แม้จะลงทุนสูง แต่ว่าก็เห็นผลได้ไว้

สาหร่ายสีน้ำตาลโผล่มากะทันหันไปหน่อย ก้นทะเลรอบๆ ยังมีสาหร่ายเล็กๆ อย่างสาหร่ายเขียวแกมน้ำเงินกับตะไคร่น้ำสีน้ำตาล แต่ว่าที่นี่กลับมีสาหร่ายสีน้ำตาลขึ้นอยู่ สาหร่ายสีน้ำตาลพวกนี้ปลูกด้วยฝีมือคนอย่างเห็นได้ชัด

แต่แถบทะเลนี้เป็นเขตแดนระหว่างฟาร์มปลามอร์รี่กับฟาร์มปลาเขาแล้ว ใครจะมาปลูกสาหร่ายสีน้ำตาลตรงนี้? ฉินสือโอวคิดว่ามันแปลกก็เลยใช้จิตสำนึกโพไซดอนตรวจดู

สาหร่ายสีน้ำตาลไม่มีปัญหาอะไร รากของมันไชอยู่ในโคลนทะเล ถุงลมบนใบไม้ทำให้เกิดการลอยตัวพาให้ใบสาหร่ายสีเขียวเข้มลอยตัวในน้ำ เพียงแต่โคลนด้านล่างของสาหร่ายสีน้ำตาลเหมือนจะมีหีบบางอย่างฝังไว้

ท่านชายฉินนอกจากจะเป็นเจ้าของฟาร์มปลาต้าฉินแสนเก่งกาจแล้ว ตัวตนอีกหนึ่งตัวตนของเขาก็คือนักงมสมบัติเรืออับปางแสนเก่งกาจ ดังนั้นพอเห็นมุมหนึ่งของหีบจมเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา หรือว่าในฟาร์มปลาคาร์เตอร์จะมีสมบัติอะไร? งั้นก็งมขึ้นมาดีกว่า จะเหลือไว้ให้ตระกูลมอร์รี่ไม่ได้

จิตสำนึกโพไซดอนพัดม้วนใต้ทะเลเป็นพายุโหยหวน สาหร่ายสีน้ำตาลโดนพุ่งจู่โจมเสียจนเอียงไปมา ส่วนโคลนใต้ทะเลก็ถูกพัดขึ้นมา แถบทะเลนี้เละเทะระเกะระกะขึ้นมาทันที

แต่นี่ก็ไม่ส่งผลต่อวิสัยทัศน์จิตสำนึกโพไซดอน ฉินสือโอวมองลงไปในใต้ทะเลก็ต้องตกใจ ที่แท้ที่หลบอยู่ใต้โคลนทะเลไม่ใช่หีบหนึ่งใบ แต่คือหีบหนึ่งกอง มีราวๆ สิบกว่าใบ

แต่พอเขามองอย่างละเอียดอีกทีก็ต้องตกใจกว่าเดิม เพราะว่าหลังจากที่เขาพัดเอาโคลนบนหีบออกไปจนหมด ชั่วขณะนั้นก็พบว่าหีบพวกนี้ไม่ใช่อย่างอื่น แต่คือโลงศพ!

วัสดุของโลงศพพวกนี้ไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร สีดูดำเข้ม ไม่รู้ว่าแช่อยู่ในน้ำทะเลมานานแค่ไหน ไม้ไม่ได้ผุพังไป แต่โซ่เหล็กกับเชือกที่มัดบนฝาโลงกลับโดนน้ำทะเลกัดกร่อนจนแทบหมด จิตสำนึกโพไซดอนชนกระแทกแรงๆ โซ่เหล็กก็ขาดสะบั้น

พอไม่มีโซ่เหล็กมัดไว้ ฝาโลงหนึ่งก็ลอยขึ้นมา…

พอฝาโลงไม้ลอยขึ้นมาหัวคนก็โผล่พรวดขึ้นมาทันที ดีที่ท่านชายฉินเตรียมใจไว้แล้วว่าข้างในโลงอาจมีศพอยู่ ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไร

แต่ว่าถ้าจะดูต่อเขาก็ออกจะกลัวนิดหน่อย ในโลงมีปูนแห้งอยู่ มิน่าล่ะโลงถึงไม่ได้ลอยขึ้นตามแรงพยุงของน้ำ แต่ส่วนล่างจากหัวและคอที่โผล่ออกมาลงไปก็ถูกตรึงไว้ในปูน

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?” ฉินสือโอวที่นอนอยู่บนเก้าอี้เกาหัวอย่างงงๆ

เขาเปิดโลงอื่นออกด้วยถึงได้พบว่าในโลงอื่นๆ เป็นปูนแห้งทั้งหมด และตรงขอบรอบๆ สามารถเห็นร่องรอยในจุดที่มีร่างคน อย่างเช่นมือคน อย่างเช่นเท้าคน ยังมีที่ตะแคงโผล่ออกมาครึ่งหนึ่งด้วย

ฉินสือโอวพิจารณาส่วนของศพที่โผล่ออกมา เขาดูอะไรไม่ออก แต่ดูออกได้ว่าเวลาตายของคนเหล่านี่อาจจะอยู่ภายในยี่สิบปีนี้ เพราะมีศพหนึ่งที่ในมือถือโทรศัพท์รุ่นที่เป็นทรงแบนราบเหมือนอิฐ บนฝาโทรศัพท์สีดำยังสามารถพอมองเห็นตัวหนังสือที่เขียนว่าโนเกียได้รางๆ

เขาพอจะจำได้ว่าสมัยที่โนเกียออกโทรศัพท์ทรงแบนแบบนี้คือศตวรรษที่แล้วปีเก้าศูนย์

สถานการณ์แบบนี้เริ่มจะไม่สู้ดี คนพวกนี้ไม่ได้ตายตามธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด ร่างถูกตรึงในปูนโยนลงทะเล นี่มันการฆ่าคนปิดปากเพื่อจุดประสงค์ปกปิดร่องรอย

อีกอย่างเขาพอรู้มา มาเฟียอเมริกาชอบใช้วิธีนี้มาจัดการกับร่างคน ใส่ปูนลงในโลงพอตากแห้งแล้วก็โยนลงทะเล เป็นร้อยปีก็หาร่างที่จัดการแบบนี้ไม่เจอ กระทั่งว่าไม่ระแคะระคายอะไรเลย

หรือร่างพวกนี้จะโดนเอามาทิ้งไว้โดยแก๊งมาเฟียสักแก๊ง? ฉินสือโอวสับสน หลังจากนั้นเขาก็สลัดความคิดนั้นทิ้งไป พวกมาเฟียถ้าจะจัดการซากที่นี่ก็คงไม่มานั่งปลูกสาหร่ายสีน้ำตาลที่จุดทิ้งหรอกใช่ไหม?

นอกจากนี้มาเฟียจะจัดการกับร่างคนแน่นอนว่ายิ่งน้ำลึกยิ่งดี ที่นี่น้ำลึกแค่สี่สิบเมตรเท่านั้น ใส่ชุดดำน้ำก็ลงมาถึงที่นี่ได้แล้ว อีกอย่างที่นี่ห่างจากฝั่งแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น ถ้าคนจากแก๊งมาเฟียขับเรือมาโยนคนที่นี่ พวกเขาไม่กลัวคาร์เตอร์กับพวกชาวประมงที่อยู่บนบกเห็นเอาหรือไง?

พอคิดพิจารณาแบบนี้ คำตอบก็เกินคาดหมาย บางทีคนที่จัดการกับร่างพวกนี้ไม่ใช่มาเฟียที่ไหน แต่คือคาร์เตอร์!

เขาคิดว่าเรื่องนี้ต้องแจ้งตำรวจ โลงตั้งสิบกว่าโลง ยังไม่รู้ว่ายังมีโลงอื่นอยู่โคลนลึกลงไปกว่านี้ไหม แถมในทุกโลงยังไม่ได้ใส่ไว้แค่ร่างเดียว ซากคนมากมายมาอยู่ในที่เดียว ต้องเป็นคดีใหญ่แน่!

การจะบอกตำรวจว่าเจอร่างคนได้อย่างไรก็เป็นหัวข้อยากอีกข้อ แต่ว่าฉินสือโอวมีวิธีมากมาย จัดการปัญหาพวกนี้เขาเชี่ยวชาญมานานแล้ว เขาถือโอกาสตอนที่เฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนใช้กระแสน้ำพัดเอาฝาโลงพวกนี้ขึ้นมาก็เรียบร้อย

พอดีกับแถบทะเลจุดที่โลงอยู่เป็นเขตแดนติดกันระหว่างฟาร์มปลาเบอร์สามกับฟาร์มปลามอร์รี่ เฮลิคอปเตอร์สังเกตเห็นฝาโลงที่ลอยผ่านมา เหล่าชาวประมงขับเรือไปงม ปรากฏว่าตอนงมเอาฝาโลงขึ้นมาก็เห็นหัวแห้งผากที่โดนพืชน้ำกับสาหร่ายบดบัง

เห็นภาพแบบนี้ พวกชาวประมงก็จะรีบมารายงานฉินสือโอว

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท