ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1892 ขาดแต่ลมบูรพา

บทที่ 1892 ขาดแต่ลมบูรพา

เหมาเหว่ยหลงชี้ไม้ชี้มือไปมา หมาป่าโชคร้ายจึงมองเขาด้วยสายตาดุร้าย ตาแก่โง่เง่านี่ หมาซามอยด์อะไรล่ะ ข้าเป็นหมาป่าขาวนะ! หมาป่าขาว! หมาป่าขาว! ไปตักอึเลยไป ไปไกลๆ เลย!

สิ่งที่ฉินสือโอวไม่ได้ขาดคิดไว้ก็คือ ท่าทางและสายตาที่หมาป่าโชคร้ายแสดงออกมาจะเป็นเช่นนี้ เหมาเหว่ยหลงก็มองออกเช่นกัน

แต่ว่าสำหรับสัตว์เลี้ยงของฉินสือโอวนั้นพวกมันฉลาดกว่ามนุษย์ เหมาเหว่ยหลงก็ดูออก แต่เขาไม่สนใจในเรื่องนี้ ตอนนี้เขาคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรเพื่อหลีกหนีไม่ให้หมาป่าตัวนี้มาฉี่บนขาของเขาได้

อันที่จริงแล้ว หลัวปอควรที่จะเป็นแม่ได้แล้ว หลังจากที่หมาป่าโชคร้ายเข้ามาดูแลหลัวปอ หากใครกล้าเข้าใกล้ท้องภรรยาสุดที่รักของมัน มันจะยิงฟันแยกเขี้ยว

แน่นอนว่ายกเว้นวินนี่และเถียนกวา ครั้งหนึ่งมันอยากทำให้วินนี่ตกใจ แต่มันกลับโดนตบหู และคนที่ตบหูของมันก็คือเถียนกวา…

เมื่อเก็บของดีแล้ว ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงก็พากันมานั่งดื่มเบียร์ด้วยกันอยู่หน้าบ้าน เขาเห็นว่าหมาป่าโชคร้ายกำลังนั่งเฝ้าหลัวปออยู่ที่ด้านหน้า จึงเรียกมันมา “มานี่สิ”

หมาป่าโชคร้ายให้ต้าป๋ายกับเขา มันจึงไม่ให้ความสนใจเขา

ฉินสือโอวยิ้มออกมา เจ้าเด็กใหม่นี่สุดยอด เขาจึงกวักมือเรียกหลัวปอมาได้ หลัวปอจึงรีบวิ่งไปหาเขาทันที เพราะแบบนี้หมาป่าโชคร้ายจึงทำอะไรไม่ได้ มันจึงรีบวิ่งตามไป

ฉินสือโอวกอดคอหมาป่าโชคร้ายเข้ามาอยู่ข้างๆ หลังจากจิบเบียร์อยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงยัดขวดเบียร์ใส่ปากหมาป่าโชคร้าย แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “แกนี่ใช้ได้เลยนะ ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่าแกเตรียมการใหญ่ไว้หมดแล้ว แต่ว่าแกดันจัดกับลูกสาวของฉัน แต่ไม่บอกฉันสักคำ แกนี่ไม่แน่จริงนี่น่า”

เหมาเหว่ยหลงที่กำลังดื่มเบียร์อยู่ถึงกับพูดออกมาด้วยความตกตะลึงว่า “ตั๋วตั่วกับเถียนกวา อีกหน่อยก็….”

ฉินสือโอวถามเขาด้วยความแปลกใจว่า “ต่อไปทำไมเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “เมื่อพวกเธอโตขึ้น จะเจอมีแฟนที่เหมือนกับพวกเราไหม พระเจ้า ตอนที่แกร่วมรักกับวินนี่ พ่อแม่ของเธอรู้ไหม?”

ฉินสือโอวก็ตกใจเช่นกัน เขามองดูตั๋วตั่วและเถียนกวาที่กำลังเล่นกันอยู่บนสนามหญ้าใกล้ๆ ผู้เป็นพ่อทั้งสองผู้ไร้ยางอายกำลังอยู่ในสภาพเป็นห่วงอนาคตของลูกสาวทั้งสอง พวกเธอจะมีแฟนไหมนะ แล้วอยากให้พวกเขาปฏิบัติกับลูกสาวของพวกเขาแบบนี้หรือเปล่า?

ที่มากไปกว่านั้นคือ เขาลืมเอาขวดเบียร์ออก ดังนั้นปากของหมาป่าโชคร้ายจึงมีขวดเบียร์ครึ่งขวดคาอยู่ หลังจากฉินสือโอวดึงขวดเบียร์ออก หมาป่าโชคร้ายก็เดินโซซัดโซเซไปที่สนามหญ้า แล้วจู่ๆ มันก็ล้มตัวนอนกรนออกมา

“ครอก ครอก!”

เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาด้วยความตกใจว่า “พระจ้า เป็นครั้งที่ฉันรู้ว่าหมาป่านอนกรนได้ และกรนเสียงดังมากด้วย!”

เมื่อครอบครัวของเหมาเหว่ยหลงมาที่อุทยาน วินนี่และเถียนกวาก็ดีใจเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวใช้ประโยชน์จากช่วงที่สายการผลิตอาหารทะเลของฟาร์มปลาแห่งที่สองยังไม่สำเร็จดีหาเวลามาพักผ่อน เมื่อโครงการฟื้นฟูมหาสมุทรเริ่มขึ้น เวลาในการพักผ่อนของเขาก็เหลือไม่เยอะแล้ว

เขาพาเหมาเหว่ยหลงออกทะเล หลังจากที้โยนเบ็ดออกไปแล้ว เขาก็จิบกาแฟพลางพูดว่า “โคโกโร่ ครั้งนี้ที่ฉันให้แกมาหาไม่ได้เพื่อมาเล่นเท่านั้นนะ ฉันจะมาแนะนำธุรกิจให้แก แกต้องคว้าโอกาสนี้ไว้”

เหมาเหว่ยหลงมองไปยังสายเบ็ดของตัวเองอย่างตั้งใจ ถามกลับอย่างไม่สนใจว่า “ธุรกิจอะไร?”

“กรมประมงของแคนาดาจะเปิดตัวโครงการฟืนฟูมหาสมุทร รัฐบาลได้ลงทุนให้อาหารปลาให้กับฟาร์มปลาใหญ่ๆ เป้าหมายของพวกเขาคือการฟื้นฟูความชีวิตชีวาของมหาสมุทร และสร้างฟาร์มปลาให้กลับมามีคุณภาพอีกครั้ง แต่เรื่องอาหารปลาน่ะ ส่วนใหญ่แล้วก็มาจากสายการผลิตของฉัน สูตรอาหารก็มาจากฉัน แกเข้าใจความหมายของฉันไหม?”

“พระเจ้า แกจะให้ฉันทำฟาร์มปลาจากนั้นก็ปลูกสาหร่ายทะเลและสาหร่ายคอมบุงั้นเหรอ?” เหมาเหว่ยหลงรู้ว่าฉินสือโอวเป็นคนใจกว้าง เรื่องโครงการฟื้นฟูมหาสมุทรนี้ เขาก็รู้อีกว่า ตอนนี้สื่อหลักในแคนาดากำลังเพ่งเล็งโครงการนี้อยู่

ในทางทฤษฎีแล้ว โครงการฟืนฟูมหาสมุทรนี้เป็นผลดีในอนาคต พลเมืองชาวแคนาดาสนับสนุนโครงการนี้เป็นอย่างมาก พวกเขายอมให้ใช้ภาษีของพวกเขาในการกอบกู้ประมงทะเล เมื่อเทียบการลงทุนที่วุ่นวายถือว่าดีกว่ามาก…อย่างก่อนหน้านี้รัฐควิเบกได้ลงทุนในหุ้นของบอมบาร์เดียร์ จากนั้นพวกเขาก็ถูกผู้คนด่าทอเป็นจำนวนมาก

“ไอ้โง่เอ๊ย กรมประมงซื้ออาหารของฉันในปริมาณที่มาก ราคาก็จะต้องถูกลง ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนสูตร แกปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ ฉันจะใส่หญ้าลงไปในอาหารปลา และนั่นก็คือหญ้าของแก ในหนึ่งปีแกจะกลายเป็นเศรษฐี และภายในสองปีแกก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐี แกเชื่อฉันไหม?” ฉินสือโอวพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

เขาวางแผนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เขาต้องผลิตอาหารเป็นจำนวนมาก จนทำให้สาหร่ายทะเล พืชน้ำ และสาหร่ายสีน้ำตาลที่อยู่ในฟาร์มปลาแห่งที่สองนั้นไม่เพียงพอ เขาจึงต้องทำการขยายพื้นที่ หรือไม่งั้นก็ต้องหาส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มเข้ามา

เขาจึงเลือกที่จะหาส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มเข้ามา และเขาจะใช้หญ้าเลี้ยงสัตว์นี่แหละ สาเหตุที่เขาคิดแบบนี้ อันดับแรกก็คือปลาและกุ้งสามารถกินหญ้าเลี้ยงสัตว์และย่อยสลายได้ สองคือเขาได้ถ่ายทอดพลังโพไซดอนให้กับหญ้าของเหมาเหว่ยหลงแล้ว แบบนี้ยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่ามหัศจรรย์

เหมาเหว่ยหลงกลัวว่าอาหารปลาจะให้ผลที่ไม่ดี ฉินสือโอวยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “อาหารปลาของฉันมีสารปรุงแต่งลึกลับ เป็นสารที่ไม่มีใครรู้จัก และมันของที่ใช้งานได้จริงๆ”

เหมาเหว่ยหลงยังคงค่อนข้างรู้สึกถึงความรับผิดชอบในใจ จึงถามออกมาว่า “สารนี้ไม่มีอันตรายต่อปลาและร่างกายมนุษย์ใช่ไหม? อย่าหลอกคนรุ่นหลัง พอถึงตอนนั้นโทษจะหนักมากเลยนะ”

ฉินสือโอวตอลกลับว่า “ล้อเล่นอะไรกัน ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน เรื่องนี้ฉันรับประกันให้ได้ สารนี้เกิดจากธรรมชาติ ฟาร์มปลาของฉันก็ใช้เหมือนกัน อาหารทะเลที่บ้านแกและบ้านฉันกินก็ถูกเลี้ยงมาโดยสารนี้ แกรู้สึกผิดปกติอะไรไหมล่ะ? ”

เหมาเหว่ยหลงครุ่นคิด แล้วพูดออกมาว่า “ดี ที่ฟาร์มของฉันมีพื้นที่ว่างอยู่ครึ่งหนึ่ง กลับไปฉันจะไปปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์”

ฉินสือโอวกรอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย แล้วพูดว่า “สมองของแนี้ไม่มีรอยยักแล้วหรือยังไง? แกสามารถปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่ฟาร์มได้เท่าไร? อย่าพูดว่าเยอะนะ ฉันให้แกยืมเงินห้าสิบล้าน รีบเอาไปซื้อฟาร์มอีกแห่ง แล้วปลูกหญ้าบนฟาร์มนั้นทั้งผืนซะ!”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้า เขาสามารถทำธุรกิจนี้ได้อย่างแน่นอน จำนวนอาหารปลาที่ใช้ในโครงการนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก นี่คือโปรเจ็คยักษ์ใหญ่ที่สร้างกำไรต่อปีได้หลายร้อยล้าน นี่เป็นโครงการที่สามารถดำเนินการที่ประเทศจะทำได้เพียงในช่วงยุคหนึ่งเท่านั้น

แบบนี้ แผนการที่เกี่ยวกับโครงการฟื้นฟูมหาสมุทร ฉินสือโอวได้เตรียมการไว้หมแล้ว รอเพียงลมบูรพาพัดผ่านเข้ามาเท่านั้น หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะพุ่งทยายสู่ท้องฟ้า!

สัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม มีมหกรรมงานซื้อขายที่เมืองคาร์กิลิก ฉินสือโอวต้องการให้ทั้งสองครอบครัวออกไปซื้อของ ปรากฏว่าเมื่อถึงตอนเช้าฉินสือโอวกลับไม่ยอมตื่น ทำให้หู่จือและเป้าจือเปิดประตูห้องนอนของเข้ามาอย่างแรงและส่งเสียงเห่าเสียงดัง

ฉินสือโอวตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจทันที เขารีบใส่เสื้อผ้าพลางพูดว่า “ฉันจะไปบอกกับโคโกโร่ ไม่แน่ว่าพิตบูลจะคลอดลูกแล้ว”

โดยธรรมชาติแล้วสุนัขพิตบูลเป็นสุนัขที่มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะส่วนหน้าของมันที่ค่อนข้างแข็งแรง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกมันจะคลอดโดยธรรมชาติ นอกจากนี้สุนัขสายพันธุ์นี้ยังมีพลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และมีความอดทนต่ำ ดังนั้นเพื่อที่จะให้กำเนอดลูกพวกมันต้องได้รับการผ่าตัดคลอดหรือมีคนช่วยทำคลอด หากมีลูกสุนัขมากเกินไป แม่อาจจะรับอาจจะทนไม่ไหวได้

สองวันที่ผานมาสุนัขพิตบูลมีอาการสงบนิ่งเตรียมตัวที่จะคลอดลูก เหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนเตรียมตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉินสือโอวทนไม่ได้ที่ต้องเห็นพวกเขาทำงานหนัก จึงสั่งให้หู่จือและเป้าจือคอยดูไว้ และครั้งนี้พวกมันทั้งสองตัวก็มาหาเขาเพื่อแจ้งข่าว

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท