ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1881 รังแกกันเกินไปแล้ว

บทที่ 1881 รังแกกันเกินไปแล้ว

สิ่งที่ฉินสือโอวคาดไม่ถึงได้เกิดขึ้น นั่นก็คือตำรวจน้ำเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุออกมาช่วยโจรขโมยปลาพวกนี้ แน่นอนจะพูดว่าจับกุมก็ได้ เพียงแต่ด้วยสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่ เห็นได้ชัดว่าเรียกว่าช่วยเหลือจะเหมาะสมกว่า

ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่ เหล่าโจรขโมยปลามีโทรศัพท์ดาวเทียมติดตัวอยู่ พวกเขาเอาโทรศัพท์ดาวเทียมขึ้นไปบนเรือชูชีพ จากนั้นก็ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปให้เหล่าตำรวจน้ำ

โทรศัพท์ดาวเทียมมีตัวระบุตำแหน่งจีพีเอส เหล่ายามชายฝั่งค้นหาตามภาพก็เจอเจ้าพวกที่ขอความช่วยเหลือได้ง่ายๆ

คนที่ต้องช่วยมีมากเกินไป พวกยามชายฝั่งเลยจำเป็นต้องใช้เกาะแฟร์เวลเป็นจุดเปลี่ยน หนึ่งคือทำการเติมน้ำมัน สองคือดูแลโจรขโมยปลาพวกนี้ นครเซนต์จอห์นไกลเกินไป

ชาวประมงของฟาร์มปลาเห็นเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยโผล่มาก็พอรู้ว่ามาทำอะไร บูลแค่นหัวเราะ “เหอะ ต้องเป็นเรือขโมยปลาสองลำซวยชนกันเองแน่ๆ ไม่ก็มีไอ้ดวงกุดที่ไหนชนโขดหิน สมน้ำหน้า พระเจ้า ช่วยคุ้มครองให้พวกมันไปลงนรกเถอะ!”

ตอนที่แบล็คไนฟ์ไปตรวจดูเรดาร์ตรวจการณ์ทางทะเลก็ตกใจใหญ่ “เฮ้ย มาดูนี่เร็ว มีเรือแค่สี่ลำแล้ว!”

ฉินสือโอวพุ่งไปอย่างประหลาดใจ เขาไม่ได้แกล้งทำ เพราะจากที่เขาจำได้ควรจะเหลือเรือขโมยปลาแค่สองลำถึงจะถูก มาจากไหนอีกสองลำ? ดูท่าเรือขโมยปลาจะอยากฉวยโอกาสนี้มาช้อนลาภกันหมด

“เกิดอะไรขึ้น? เรือประมงลำอื่นล่ะ? ยังมีอีกหกลำไม่ใช่เหรอ?”

“หรือว่าอีกหกลำจะประสบอุบัติเหตุทางทะเลหมด? ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้นี้ แต่ก็ต้องบอกเลยว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้น้อยมากๆ”

“รอดูเถอะ รอดูว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าพวกนั้นจะหักหลังกันเอง?”

ชาวประมงทั้งหลายรีบมาที่ท่าเรือของเมืองด้วยความร่าเริงกับหายนะที่เกิดขึ้น มีคนชงกาแฟร้อนด้วย พวกเขาดื่มด่ำกับกาแฟร้อนๆ ด้วยกันพลางดูเรือกู้ภัยตำรวจน้ำมาส่งคน

บางคนขึ้นฝั่งมาก็หนาวจนสั่นไปทั้งตัว ยื่นมือขอร้องไปทางพวกเขา “เพื่อน ขอกาแฟสักแก้วเถอะ เห็นแก่พระแม่มารี ฉันจะหนาวตายแล้ว!”

บูลยกเท้าทาบไปบนตัวคนคนนั้นแล้วถีบเขาจนล้ม แล้วถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยท่าทียโสก่อนจะพูดว่า “กาแฟพวกนี้ต่อให้พวกเราเททิ้งก็ไม่ให้แกกิน เข้าใจไหม? อย่าคิดอยากกินกาแฟร้อนของพวกเรา!”

ชาวประมงคนอื่นหัวเราะเยาะ และแซ็กเทกาแฟร้อนกลิ่นหอมฉุยลงกลางหาดทรายต่อหน้าคนพวกนี้จริงๆ

ชางเมืองที่มามุงดูก็ไม่ได้เกิดความสงสารต่อโจรขโมยปลา สำหรับชาวประมงที่ซื่อตรงที่เกลียดที่สุดก็คือโจรขโมยปลา

โจรขโมยปลาพวกนี้ก็โดนหมอกทะเลเล่นงานเสียจนอ่วม มีคนตะโกนออกมาว่า “เจ้าของฟาร์มปลาต้าฉินอยู่ที่นี่ไหม? ถ้าให้เขาออกมาฉันมีข้อมูลสำคัญจะแลกเปลี่ยน! ฉันมีข้อมูลสำคัญแลกกับกาแฟร้อน!”

แน่นอนว่าฉินสือโอวรอดูเรื่องสนุกอยู่ พอได้ยินเสียงโหวกเหวกของคนคนนั้น เขาก็ถามขึ้น “มีอะไร?”

คนที่พูดคือชายกลางคนที่มีผมยาวสีน้ำตาล ผมยาวถูกหมอกทะเลจนเปียกชุ่มติดกันเป็นช่อๆ มีกระทั่งน้ำหยดลงมา ดูสภาพอนาถไม่เบา

คนคนนั้นคว้าฉินสือโอวไว้แล้วพูดพลางกลืนน้ำลาย “เพื่อน ขอละ ให้กาแฟร้อนฉันสักแก้ว ฉันจะบอกความลับให้หนึ่งอย่าง! ความลับนี้ฉันบอกไปก็จะไม่บอกคนอื่นอีก!”

ฉินสือโอวแค่นเสียงหัวเราะ “นายคงจะไม่ได้ อยากบอกที่อยู่ของสมบัติโจรสลัดกับฉัน?”

“ไม่ ไม่ ” คนคนนั้นส่ายหน้า “ฉันจะบอกให้ว่าทำไมถึงมาขโมยปลาในที่ของนาย! พวกเราโดนคนสั่งมา กาแฟร้อนหนึ่งแก้วกับแฮมเบอร์เกอร์ไก่หนึ่งชิ้น ฉันจะบอกให้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร!”

ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของฉินสือโอวก็เปลี่ยนไป เขาพูดเสียงแข็ง “บอกข้อมูลฉันมาก่อน!”

คนวัยกลางคนมองเขาอย่างเว้าวอนแล้วพูดว่า “ไม่ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ คุณให้ของกินกับเราก่อน ดูสิเพื่อน พวกเขามาขโมยปลากับฉันก็ผิดจริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องตาย! แต่ตอนนี้เราจะหนาวตายอยู่แล้ว!”

ถ้าชายกลางคนวิงวอนให้แต่ตัวเอง ฉินสือโอวก็จะเถียงกับเขาจนถึงที่สุด ต้องให้เขาลำบากเสียหน่อย ตอนนี้เห็นเขายังนึกถึงลูกน้องข้างตัวในเวลาแบบนี้เขาจึงมองชายกลางคนว่าดีขึ้นมาอีกหน่อยเลยเอ่ยขึ้น “ให้กาแฟคนล่ะแก้วกับพวกนายก่อน แล้วบอกข้อมูลฉัน ถึงจะได้แฮมเบอร์เกอร์”

“ได้ ได้ ” ชายกลางคนตอบพลางพยักหน้ารัว

ฉินสือโอวดีดนิ้ว บูลกับแซ็กก็พาคนเข้ามาเติมกาแฟให้คนพวกนี้คนล่ะแก้ว กะลาสีพวกนี้มือกุมแก้วแล้วเงยหน้ากรอกกาแฟทั้งแก้วเข้าปากอึกๆ อย่างละโมบ

“บอกข้อมูลฉันมา ใครเป็นคนสั่งการพวกแก?” ที่จริงในใจฉินสือโอวก็มีคำตอบแล้ว คนที่มีความคิดและอำนาจจะทำแบบนี้ได้ก็ดูเหมือนจะมีแค่ตระกูลมอร์รี่

เป็นอย่างที่คาด พอชายกลางคนดื่มไปจนหยดสุดท้ายแล้ววางแก้วลงอย่างเสียดายก็พูดขึ้น “ตระกูลมอร์รี่ยักษ์ใหญ่ในวงการประมงแห่งรัฐนิวยอร์กติดต่อผมมา เขายินดีซื้อปลาที่ฉันได้จากฟาร์มปลาพวกนายครึ่งราคาของราคาตลาดอาหารทะเลต้าฉิน”

“เวร! เวร! เวร! “ชาร์คคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้พวกอเมริกันสมควรตาย ไอ้พวกโลภอเมริกัน ทหารท้องถิ่นอเมริกันจอมโลภ ตอนนั้นไม่น่าแค่เผาทำเนียบขาวมัน น่าจะเผาไฟให้มันหายไปจากโลกใบนี้เลย!”

ที่เขาพูดเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เมื่อก่อนอเมริกากับแคนาดาเคยทำสงครามกัน ประวัติศาสตร์เรียกว่าสงครามปี 1812 อเมริกาที่ครองโลกไร้เทียมทานในตอนนี้โดนทหารอาสาแคนาดาโจมตีเสียไม่เหลือชิ้นดี และชื่อเรียกของทหารอาสาแคนาดาในเวลานั้นก็คือทหารท้องถิ่น

ฉินสือโอวหยีตาด้วยความโมโห เป็นตระกูลมอร์รี่จริงๆ ด้วย ไอ้เลวพวกนี้หาเรื่องเขาหลายครั้งแล้ว เขาต้องคิดหาวิธีเอาคืน ไม่อย่างนั้นคงต้องถูกมองเป็นแกะน้อยผู้อ่อนแอแน่

แต่ก็ต้องรอโอกาสเหมาะๆ แม้ว่าตลาดของตระกูลมอร์รี่จะโดนเขาแย่งไปครองเสียส่วนมาก แต่อย่างไรก็เป็นตระกูลประมงที่มีประวัติและปูมหลังมานานร้อยปี แค่การทำลายเรือประมงของพวกเขาไม่กี่ลำไม่สามารถสั่นคลอนสถานะพวกเขาได้

หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ร้องเรียนตระกูลมอร์รี่กับตำรวจน้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเขามีเพียงปากเปล่าไม่มีหลักฐานหรือพยาน แม้กะลาสีเหล่านี้จะเป็นพยาน แต่พวกเขาเพียงแค่หิวเลยจำเป็นต้องพูดความลับนี้ออกมา รอจนพวกเขาดื่มกาแฟจนตัวเริ่มอุ่น พวกเขาก็ไม่ยอมเป็นพยานแล้ว

ตามกฎหมายของแคนาดา ในกรณีที่ทนายไม่อยู่ คำสารภาพของคนร้ายล้วนแล้วแต่เป็นโมฆะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านี่เป็นเพียงคำพูดที่กัปตันคนหนึ่งพูดกับฉินสือโอวเป็นการส่วนตัว พวกเขาสามารถพูดได้ว่านี่เป็นเพียงการพูดเหลวไหลเท่านั้น

แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ฉินสือโอวรู้ความจริงก็พอ ส่วนเรื่องร้องเรียนความยุติธรรมกับตำรวจน้ำ? เขาไม่หวังพึ่งเลย

แต่ว่าเหล่าตำรวจน้ำก็ใช่ว่าไม่ช่วยเหลือเขาเลย หลังจากที่ลงพื้นที่ เหล่าตำรวจน้ำก็ฝ่าหมอกหนาเตอะเริ่มแจ้งข้อหาบังคับใช้กฎหมาย ใช้ข้อมูลจากเรดาร์ทะเล พวกเขาก็ทำการจับกุมเรือขโมยปลาที่เข้ามาในฟาร์มปลาทั้งหมด นี่ก็เป็นการช่วยฉินสือโอวมากแล้ว

อย่างที่พยากรณ์อากาศประกาศ สามวันให้หลัง หมอกก็เริ่มจางลง ราวหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง หมอกก็จางหายไปทั้งหมด

เพียงแต่ว่าตำนานเกี่ยวกับฟาร์มปลาต้าฉินในตอนนี้เพิ่งจะเริ่มถูกเล่าขานกันในหมู่เจ้าของฟาร์มปลาและเหล่าชาวประมง

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท