ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1876 ปากของลูกน้อยขม

บทที่ 1876 ปากของลูกน้อยขม

เพียงแค่เห็นตัวร่มส่วนบนของแมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติกเหล่านี้ยังคงหดตัวและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และช่องร่มด้านล่างมีการระบายน้ำทะเลออกเป็นจังหวะ จากนั้นร่างกายของพวกมันก็เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ด้วยแรงปฏิกิริยา

แมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อส่วนใหญ่กินหมัดน้ำ นีมาโทดาและหนอนปล้องเป็นอาหาร แต่แมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติกมีขนาดค่อนข้างใหญ่และยังสามารถกินลูกปลาขนาดเล็ก ลูกกุ้งขนาดเล็กสัตว์จำพวกนี้ได้อีกด้วย

แม้ว่าแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อจะสวยงามและอ่อนโยน แต่ก็ดุร้ายมากเมื่อล่าสัตว์ พวกมันลอยและว่ายไปมาในน้ำ เมื่อพบว่ามีลูกปลาขนาดเล็กตรงหน้า ลวดหนามบนหนวดจะพุ่งออกไปทันที ซึ่งลวดหนามจะมีพิษ แม้ว่าพิษของมันจะเล็กน้อยมากสำหรับมนุษย์ แต่ก็เป็นพิษที่รุนแรงเพียงพอสำหรับลูกปลา

พิษของแมงกะพรุนดอกท้ออาร์กติกยังเป็นพิษต่อระบบประสาทอีกด้วย มีฤทธิ์แรง หลังจากเข้าไปในร่างของลูกปลาเหล่านี้ พวกมันจะตัวชาทันทีและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จากนั้นแมงกะพรุนน้ำจืดดอกท้อก็จะค่อยๆ กลืนกินพวกมันลงไปในกระเพาะอาหาร

เนื่องจากแมงกะพรุนเหล่านี้มีความโปร่งใส หลังจากที่พวกมันกินอาหารลงไปแล้ว จึงสามารถเห็นได้ว่าอาหารมีลักษณะอย่างไรในร่างกายของพวกมันและหากมีความอดทนมากพอก็ยังสามารถสังเกตฉากการย่อยอาหารของพวกมันได้

หลังจากเห็นแมงกระพรุนน้ำจืดดอกท้อ ในใจของฉินสือโอวก็คิดคำนวณไว้หมดแล้ว เขาและบูลใส่ชุดดำน้ำแล้วลงไปในทะเล อุณหภูมิของน้ำในช่วงต้นฤดูร้อนยังคงเย็นอยู่เล็กน้อย แต่บูลเป็นชาวประมงมานาน สำหรับเขาถือว่าอบอุ่นมากแล้ว

ทั้งคู่ว่ายอยู่ในน้ำ เปิดกล้องวิดีโอไว้ กล้องถ่ายภาพใต้น้ำยังคงทำการถ่ายไปเรื่อยๆ วินนี่ชอบการถ่ายภาพและได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ แต่น่าเสียดายที่ฉินสือโอวไม่สามารถทำได้ เขาจึงถ่ายทุกอย่างแบบลวกๆ

แต่เมื่ออยู่ในทะเล นี่เป็นถิ่นของเขา เวลาในการจัดเฟรมของเขาดีที่สุดเสมอดังนั้นภาพที่ถ่ายจึงดีด้วย

เมื่อวินนี่ได้รูปภาพเหล่านี้ก็ยิ้มบานแฉ่ง ยังจุ๊บฉินสือโอวต่อหน้าด้วย เธอหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่เลวจริงๆ ไม่นึกเลยว่าทักษะการถ่ายรูปของผู้ชายของฉันจะเก่งขนาดนี้ เกินที่ฉันคาดไว้”

ฉินสือโอวยืดอกเตรียมโม้สักหน่อย แต่ผลปรากฏว่าวินนี่ไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเขา ยัดลูกชายเข้ามาในอ้อมแขนของเขาแล้ววิ่งไปตัดต่อรูปภาพที่หน้าคอมพิวเตอร์แล้ว

ซีกวาดูกลัวเขามาก เตรียมจะอ้าปากร้อง แต่ทันทีที่เขาเห็นว่าแม่ของเขาไม่อยู่รอบข้าง เขาก็หดแขนและขาเล็กๆ อย่างชาญฉลาดและมองไปที่ฉินสือโอวอย่างตื่นตัว

ฉินสือโอวนายใหญ่เห็นสีหน้าที่ดูระแวดระวังของลูกชายก็พูดอย่างไร้ความอดทนว่า “นี่ปาป๊าเองนะ เรียกปาป๊าซิ! ดูหนูสิตัวเล็กอย่างนี้ ปาป๊าแม่งเอาหนูไปขายดีไหมฮึ?”

“อย่าพูดคำหยาบนะ!”เสียงของวินนี่ดังมาจากข้างบน “อีกอย่างอย่าทำให้ลูกชายร้องไห้นะ ไม่อย่างนั้นฉันหาเรื่องคุณแน่!”

แต่เจ้าตัวเล็กก็เบะปากและกำลังร้องแล้ว ฉินสือโอวนายใหญ่คิดอะไรดีดีออกในขณะที่กำลังร้อนใจ เขาเห็นเป้าจือและหู่จือนั่งเล่นอยู่รอบๆ จึงเอาลูกชายของเขาเข้าไปในอ้อมอกของพวกมันและพูดว่า “ภารกิจทางการเมือง จงดูแลนายน้อยให้ดี”

ลำตัวของหู่จือและเป้าจือมีขนนุ่มๆ และอบอุ่น เจ้าตัวเล็กรู้สึกสบายใจที่ได้พิงพวกมัน ลูบตูดมันแล้วก็หัวเราะขึ้นมา

หู่จือใช้ลิ้นเลียเจ้าตัวเล็ก นี่เป็นการแสดงออกว่ารักของสุนัขแลบราดอร์ เจ้าตัวเล็กยังคงหัวเราะ หัวเราะไปแล้วก็พยายามหลบไป แต่น่าเสียดายที่เขายังเล็ก ออกแรงไม่ได้จึงหลบไม่พ้น

เมื่อมอบลูกชายให้กับหู่จือและเป้าจือแล้ว ฉินสือโอวก็สบายใจ สุนัขแลบราดอร์เป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ พวกมันดูแลและรักเด็กเล็กๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ให้พวกมันดูแลเด็กยังน่าไว้ใจมากกว่าเขาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อด้วยซ้ำ

แม่ของฉินสือโอวเห็นเขาไม่มีอะไรทำ จึงให้เขาไปสวนผักเก็บผักมาหน่อย ส่วนพ่อของฉินสือโอวกำลังหมักซี่โครงอยู่ บอกว่าเย็นนี้จะมาทอดซี่โครงกินกัน

สวนผักขนาดใหญ่สองแห่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี หลังจากที่ฉินสือโอวเข้าไป เขาก็หยิบมะเขือเทศตามอำเภอใจแล้วกัดไปหนึ่งคำ ผลปรากฏว่าเถียนกวาและเด็กอ้วนรีบวิ่งเข้ามา ทั้งคู่กอดขาเขาไว้คนละข้างเงยหน้าบอกว่าอยากกิน

ฉินสือโอวยิ้ม แบ่งมะเขือเทศออกเป็นสองชิ้นแล้วแบ่งให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสองคน

เด็กอ้วนเอาแขนทั้งสองข้างของเขาไว้ด้านหลัง สูดดมแล้วพูดว่า “ผมจะเอาอันที่ดี อันนี้คุณกินไปแล้ว”

ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกหดหู่ เจ้าเด็กนี่กล้าขยะแขยงของๆ เขา?

เถียนกวาตบเขาที่ด้านหลังศีรษะทันที คิ้วๆ น้อยเลิกขึ้นซึ่งคล้ายกับวินนี่มากที่จะแสดงท่าทางแบบนี้เมื่อเธอโกรธ จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่เด็กอ้วนแล้วพูดว่า “ไม่รู้จักบุญคุณ!”

ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกเหมือนได้รับการปลอบใจ ยังไงลูกสาวของเขาก็ยังรู้จักเอาใจใส่ ไม่น่าแปลกใจที่มีคนพูดว่าลูกสาวคือแจ็คเก็ตบุนวมตัวน้อยของพ่อที่สามารถให้ความอบอุ่นทางใจได้

“อันนี้ปาป๊าชิมแล้ว แสดงว่าไม่มีพิษ ดังนั้นมีกินก็ดีแล้ว นายยังจะมาเลือกมากอีก” สาวน้อยพูดอย่างไม่พอใจ

ฉินสือโอวตัดสินใจแล้วว่าวันหลังจะไม่ให้เถียนกวาและไวส์อยู่ด้วยกัน ไวส์ต้องการพัฒนาเธอให้เป็นศิษย์น้องของเขา จนจะทำให้เธอกลายเป็นบ้าอยู่แล้ว

รสชาติของมะเขือเทศดีมาก เนื้อผลไม้ละเอียดมาก มีรสหวานและมีรสชาติเหมือนน้ำแข็งละเอียดหวานในปาก เด็กทั้งสองดูดกินจ๊วบๆ อยู่ข้างหลังเขาอย่างเอร็ดอร่อย

สวนผักเต็มไปด้วยผักชนิดต่างๆ ฉินสือโอวเด็ดแตงกวามาจำนวนหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่วินนี่ต้องกิน เพราะแตงกวาช่วยในการลดน้ำหนักและขจัดไขมัน แม้ว่าวินนี่จะมีรูปร่างที่สมส่วนอยู่แล้ว แต่เธอก็กังวลเกี่ยวกับน้ำหนักเพิ่มหลังคลอด ช่วงนี้จึงบ้ากินแตงกวามาก

แน่นอนว่าแตงกวาในสวนผักอร่อยมาก น้ำในผลไม้เข้มข้นและมีกลิ่นหอม วินนี่บอกว่าแตงกวามีรสชาติโดยธรรมชาติของมัน กินแล้วรู้สึกสบาย

มะระเขียวแขวนอยู่บนดาดฟ้า ผู้คนต่างชื่นชอบมาก นี่เป็นผักที่พ่อและแม่ของฉินสือโอวชอบ มะระสามารถช่วยดับร้อน ลดน้ำตาลในเลือดและสามารถบำรุงเลือดและตับ คนแก่จะชอบกิน

อีกอย่างมะระลูกงามมาก เด็กอ้วนที่กินแตงกวาไปหนึ่งคำเริ่มสนใจในมะระ ยื่นมือจะขอกิน “คุณลุง ให้หนิวหนิวหนึ่งชิ้นนะ หนิวหนิวชอบกิน”

เมื่อก่อนเถียนกวาก็เคยโดนรูปลักษณ์ภายนอกของมะระหลอกมาแล้วเช่นกัน ตอนนั้นความขมทำให้เธอร้องไห้ไปสักพัก ตอนนี้เห็นเจ้าเด็กอ้วนจะกลับมาซ้ำรอยเดิม จึงโบกมือไปมา พูดอย่างใจดีว่า “อย่ากินเลย อันนี้ไม่อร่อย!”

ฉินสือโอวพอใจมากกับความจริงใจของลูกสาวที่มีต่อคู่หูตัวน้อยของเธอ แต่เด็กอ้วนตัวโตกลับมีแรงมากขึ้นหลังจากได้ยินคำเตือนของเธอ “หนิวหนิวจะกิน หนิวหนิวจะกิน จะกิน”

“อันนี้กินสดๆ ไม่ได้จริงๆ” ฉินสือโอวตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

เด็กอ้วนตัวโตเบะปากแล้วร้องไห้แง เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็หมดหนทาง จึงทำได้เพียงส่งมะระหนึ่งชิ้นให้เขา

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ปอหลัวที่อยู่ด้านหลังหันหน้าไปทางอื่นเพราะอดทนดูไม่ได้ ใช่แล้วปอหลัวผู้ยิ่งใหญ่อย่างมันก็เคยลิ้มรสความขมของมันมาแล้ว แม่งขมจริงๆ ขมจนวันนั้นปอหลัวไม่มีความอยากกินอย่างอื่นเลย

เด็กอ้วนตัวใหญ่ยัดมะระเข้าปากอย่างมีความสุข สภาพแวดล้อมในเมืองสะอาดปราศจากมลภาวะ ดังนั้นผู้คนที่นี่แทบจะไม่ล้างผักและผลไม้เลย โดยเฉพาะผลไม้ จะหยิบและยัดเข้าปากโดยตรง

ที่นี่น้ำฝนที่ตกลงมาใสมาก บางครั้งเมื่อฝนตกเบาๆ วินนี่ก็ปล่อยให้เถียนกวาและเด็กอ้วนตัวโตเล่นที่สนามหญ้า เพียงแค่กลับไปล้างตัวด้วยน้ำร้อนก็พอแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือการล้างรถ รถของฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องล้างเลยเป็นเวลาสิบเดือนครึ่ง เพราะเมื่อฝนตกก็จะล้างสิ่งสกปรกออกไปเองตามธรรมชาติ ไม่มีฝุ่นและก็ไม่มีโคลน

นิสัยการกินของเด็กอ้วนทำร้ายเขาเอง เพราะชอบกัดและกลืนคำใหญ่ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

“อึกอึก” มะระสองคำใหญ่เข้าปาก จากนั้นใบหน้าที่อ้วนขาวราวกับหิมะของเขาก็กลายเป็นสีเขียว หรี่ตาและอ้าปากกรีดร้อง “โอย โอย หม่าม๊า ปากของลูกน้อยขมมาก… “

………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท