ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1893 ลูกทั้งสองคอก

บทที่ 1893 ลูกทั้งสองคอก

ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงเป็นห่วงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก พวกเขากลัวว่าพิตบูลจะมีอาการคลอดติดขัด

เขาเรียกครอบครัวของเหมาเหว่ยหลง เมื่อได้ยินพิตบูลของตัวเองกำลังจะคลอดลูก ตั๋วตั่วและน้องชายลุกขึ้นมาพร้อมกับขยี้ตาด้วยท่าทางง่วงนอน หลังจากนั้นพวกเขาก็วิ่งเข้าไปยังคอกสุนัขที่มุมห้องนั่งเล่น

ฉินสือโอวโทรหาชาร์ค ตอนที่ชาร์คเป็นเด็กเขาเคยเลี้ยงสุนัข ดังนั้นก็ถือว่าเขาเป็นสัตวแพทย์ครึ่งตัวแล้ว

ชาร์ครีบมาหาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูสุนัขพิตบูลอยู่ เขายิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้พลางพูดว่า “พระเจ้า พวกคุณล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย? รีบออกมาให้หมดเลย! การทำแบบนี้จะทำให้สุนัขรู้สึกประหม่า มันไม่มีทางคลอดลูกได้อย่างราบรื่นแน่! อีกอย่าง ทำไมคอกสุนัขถึงอยู่ที่มุมห้องล่ะ? พวกมันต้องการอากาศบริสุทธิ์!”

อันที่จริงแล้ว หากสุนัขพิตบูลไม่ประหม่าถึงจะเป็นเรื่องแปลก ไม่เพียงแต่เพราะครอบครัวของฉินสือโอวและครอบครัวของเหมาเหว่ยหลงมาล้อมมันเท่านั้น แต่หู่เป้าฉงหลัวก็เข้ามาร่วมวงด้วยเหมือนกัน หัวหมีและหัวปลาห้อยอยู่ที่ด้านหน้าของมัน ทำให้มันไม่กล้าแม้แต่จะฉี่ออกมา

ฉินสือโอวโบกมือปัดให้พวกมันออกไป ฉงต้าและหมาป่าโชคร้ายนอนอยู่ที่เดิมอย่างเกียจคร้านไม่ยอมลุกไปไหน วินนี่โมโหเป็นอย่างมาก เธอยกหางของมันพวกมันแล้วตบตูดทีละตัว พลางด่าออกมาว่า “ฉงต้า นายเป็นเด็กไม่ดีใช่ไหม ทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้อยู่อีก? ออกไปเล่นไป หมาป่าโชคร้ายก็อีก นายกำลังเรียนรู้วิธีที่จะทำคลอดให้ภรรยาหรือยังไง? ยังไม่รีบออกไปข้างนอกอีก!”

เมื่อเห็นวินนี่โมโห พวกมันก็กลัวขึ้นมาทันที พวกมันรีบวิ่งสะบัดหางออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อพวกมันไปถึงประตูพวกมันก็ยังไม่ยอมออกไปเสียที แถมยังหันกลับมามองดูเหตุการณ์อีกต่างหาก

ฉงต้าและหมีโลลินั้นอยู่ด้วยกัน หู่จือและเป้าจือก็พยายามที่จะชะโงกหัวออกมาดูจากหลังพวกมัน ส่วนหลัวปอก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพลางมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ส่วนหมาป่าโชคร้ายนั้นก็ตัวติดอยู่กับหลัวปอ ราชาซิทบ้าต้องการที่จะกระโดดขึ้นอยู่บนตัวของหลัวปอ แต่โดนต่าวเหมยส่งสายตาดุร้ายมาให้ ราวกับต้องการบอกว่า ‘หากแกกล้าที่จะกระโดดขึ้นไป ข้าจะกินแกแน่’

เดิมทีพี่น้องเฟอเรทต้องการที่จะเลียนแบบราชาซิมบ้าที่จะกระโดดขึ้นไปบนตัวของหลัวปอ เพราะเหตุนี้พวกมันจึงถึงหมาป่าขาวขวางไว้ พวกมันไม่มีทางเลือกนอกจากปีนขึ้นไปอยู่บนหัวของฉงต้า หลังจากนั้นพวกมันก็หย่อนก้นนั่งลงและเฝ้ามองไปยังคอกสุนัข

ชาร์คอยากจะเข้าใกล้สุนัขพิตบูล แต่เขาไมคุ้นชินกับสุนัขตัวนี้ สุนัขพิตบูลจึงมองตาขวางใส่เขาพร้อมแยกเขี้ยวขู่ร้อง ไม่มีทางเลือก ชาร์คทำได้เพียงถอยหลังออกมา หลังจากก็ให้ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงยกคอกสุนัขออกมา แล้วยกมาไว้ที่กลางห้องนั่งเล่น

เมื่อถึงเวลา สิ่งมีชีวิตขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์ก็ค่อยๆ โผล่ออกมา…

ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงมองภาพนั้นพลางกลั้นหายใจ สุนัขพิบูลพยายามเบ่งอีกครั้ง แล้วลูกสุนัขตัวแรกก็คลอดออกมา

ขนสั้นของลูกพิตบูลเปียกลีบไปกับตัว ดวงตาปิดสนิท ตอนนี้มันไม่มีความสง่างามและความดุร้ายเหมือนกับแม่ของมันเลย แต่มันก็แข็งแรงเหมือนกัน ตัวของมันราวกับกล้ามเล็กๆ มัดหนึ่ง

เมื่อมันคลอดลูกได้ สุนัขพิตบูลก็รีบคาบมันมาที่บริเวณท้องแล้วใช้ลิ้นเลียขนของลูกตัวเอง ลูกสุนัขส่งเสียงร้องหงิงๆ ออกมา ปากเล็กๆ ของมันอ้าออกจนเห็นลิ้นสีชมพูเล็กๆ มันพยายามขยับตัวเข้าไปหาแม่ของมัน

เมื่อผ่านช่วงเช้าไป สุนัขพิตบูลก็คลอดลูกท้องแรกสำเร็จ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ความอดทนของมันนั้นเกินความคาดหมาย ทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย

แน่นอนว่า ระหว่างนั้นเหมาเหว่ยหลงก็คอยป้อนซุปให้มันสองรอบเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ฉินสือโอวแอบป้อนพลังบางอย่างเข้าไปในน้ำซุป ทำให้สภาพร่างกายของสุนัขพิตบูลดูไม่ได้แย่มาก

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าจำนวนลูกที่คลอดออกมานั้นค่อนข้างน้อย มีทั้งหมดหกตัว สำหรับสุนัขพิตบูลขนาดกลางแบบนี้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก ฉินสือโอวอ่านข้อมูลมาก่อนหน้านี้ ในข้อมูลบอกว่าสุนัขจะคลอดลูกประมาณแปดเก้าตัว อย่างมากที่สุดก็สิบกว่าตัว

ลูกสุนัขทั้งหกตัวที่ขนลีบเปียกปอนต่างซุกตัวอยู่ที่ท้องของแม่ของมัน ทันทีที่พวกมันคลอดออกมาพวกมันก็อ้าปากร้องเรียกจะกินนมแม่ทันที

แม่พิตบูลพยายามที่จะหันกลับมามอง มันแลบลิ้นเลียลูกของตัวเองแบบั้นซ้ำไปซ้ำมา

ฉินสือโอวกอดอกมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม เป็นสุนัขพิตบูลนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ได้หมายถึงว่ามันคลอดลูกไม่ง่าย แต่หมายถึงการเลี้ยงลูกทั้งหมดนี้ไม่ง่ายเลย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มันจะมาเลียลูกทุกตัวของตัวเอง…

วันถัดมา ครอบครัวของเหมาเหว่ยหลงก็หันมาสนใจครอบครัวสุนัขพิตบูล เขาไม่สนใจเรื่องทำฟาร์มเลย อย่างไรก็ตามเขาก็ได้หาคนกกลางเข้ามาช่วยเขาในการเตรียมพื้นที่ในการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์

อันที่จริงแล้วสำหรับฟาร์มขนาดใหญ่ในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ปลูกพืชแล้วก็ต้องทำชลประทานและฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช เรื่องที่ต้องให้คนเข้าไปจัดการนั้นน้อยมาก อะไรที่นอกเหนือจากเรื่องที่ดินแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอะไร นอกจากเรื่องผลผลิตเท่านั้น

สุนัขพิตบูลเป็ยสุนัขที่ชอบใช้กำลัง เกรงว่าลูกของพวกมันก็ร้ายกาจเช่นกัน พวกมันเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง สามสี่วันหูของพวกมันก็สามารถรับฟังสิ่งต่างๆ ได้แล้ว

เพราะว่าเหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนให้ทั้งอาหารและนวดตัวให้สุนัข พวกมันจึงสามารถจำเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนได้ เมื่อทั้งสองคนเข้าใกล้ พวกมันก็จะรีบปิดตาเล็กๆ และคลานเข้าไปหาทันที หางเล็กๆ ของพวกมันสั่นไปมาอย่างรวดเร็ว

ไม่ถึงสิบวันช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ลูกสุนัขทุกตัวก็ค่อยๆ ลืมตา ตอนนั้นเองฉินสือโอวจึงรู้ว่าดวงตาของสุนัขพิตบูลนั้นเป็นสีฟ้า สวยงามเป็นอย่างมาก

พอพวกมันลืมตาได้ พวกมันก็สามารถเดินเตาะแตะไปมาได้ แต่ว่าพวกมันเดินได้ไม่มั่นคงนัก เดินไปได้ไม่เท่าไรก็ล้มลง

ลูกสุนัขที่คลอดออกมาพวกนี้ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมากมายในอุทยาน โดยเฉพาะตั๋วตั่วและเถียนกวา พวกเธอมีความสุขมากกว่าใครๆ เหล่าลูกสุนัขสามารถเดินออกมาจากอ้อมอกของแม่ได้แล้ว พอตกกลางคืนพวกเธอก็นอนท่ามกลางการห้อมล้อมของลูกสุนัข

ลูกสุนัขทั้งหกตัวกลิ้งไปมาบนพรมทุกวัน เสียงร้องอ้อแอ้ดังขึ้นเป็นครั้งคราว บรรยากาศแบบนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

ปลายเดือนกรกฎาคม หมาป่าขาวก็หายตัวไปอีกครั้ง ครั้งนี้หมาป่าโชคร้ายก็หายไปด้วยเช่นกัน

ฉินสือโอวรู้ได้ในทันทีว่า หลัวปอกำลังจะคลอดลูกแล้ว แต่เด็กคนนี้หลีกเลี่ยงที่จะไม่คลอดที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าามันหนีไปที่ไหน ทำให้เขาและวินนี่เป็นห่วงเป็นอย่างมาก

เขาโทรไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านสัตว์ป่า ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสัตว์ป่าจะหาที่หลบซ่อนในการคลอดลูก และไม่อยากให้พวกเขาหาเจอ หมาป่าและสุนัขไม่เหมือนกัน เนื่องจากพวกมันใช้ชีวิตในป่า ลูกสัตว์เป็นอาหารของสัตว์ป่าหลายชนิด ดังนั้นเวลาที่จะคลอดลูกจึงต้องปลอดภัยที่สุด

ในตอนนี้แม่หมาป่าจะต้องรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสัตว์ชนิดไหนเข้าใกล้ มันก็จะโจมตีกลับอย่างไร้ความปราณี และลูกหมาป่าที่พึ่งเกิดจะมีกลิ่นของแม่เพื่อสร้างความปลอดภัยของตัวเอง หากว่าบนตัวของพววกมันไม่มีกลิ่นของแม่ตัวเอง แบบนั้นฝูงสัตว์ร้ายอาจจะทำร้ายพวกมันจนตายแล้ว

แน่นอนว่า หลัวปอที่อยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่กับฝูงหมาป่า ดังนั้นไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยของลูกหมาป่า

การคลอดลูกของหลัวปอนั้นไม่เหมือนกับการคลอดลูกของสุนัข ฉินสือโอวมีเรื่องกังวลมากมาย เรื่องแรกคืออาการคลอดลำบาก หมาป่าอาจจะเกิดอาการคลอดลำบาก แต่ว่าเมื่อพิจารณาจากรูปร่างของหลัวปอแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

เรื่องที่สองก็คือ มันจะจัดการกับลูกหมาป่าอย่างไร? มันจะส่งลูกหมาป่าเข้าสู่ป่าหรือว่าจะเลี้ยงไว้ที่ฟาร์มปลากันนะ? ถ้าหากว่าเขาเลี้ยงพวกมัน ก็จะมีคอกหมาป่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้บ้านของเขาก็จะกลายที่อยู่ของฝูงหมาป่า!

ฉินสือโอวส่งฉงต้า หู่จือและเป้าจือไปดูเหตุการณ์ ให้พวกมันไปปกป้องสองสามีภรรยาคู่นั้น แม้ว่าอุทยานจะไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยของหมาป่าสีขาว แต่หากมีการโจมตีขึ้นมา แบบนั้นก็เป็นปัญหาแน่นอน

ปลายเดือนกรกฎาคม อากาศค่อนข้างร้อน ในวันที่มีแดดจ้า หมาป่าทั้งสองตัวกำลังหอนออกมาจากทุ่งหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านมากนัก จากนั้น เสียงเล็กๆ หลายเสียงอันอ่อนโยนก็ดังขึ้นมา….

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท