ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1890 มูลค่าไม่ต่ำกว่าสองพันล้าน

บทที่ 1890 มูลค่าไม่ต่ำกว่าสองพันล้าน

จากซากเรือแล้วเรือลำนี้เป็นเรือไม้ มันจมอยู่ในทะเลมาหลายร้อยปี ไม้พวกนั้นเกือบจะเปื่อยจนกลายเป็นเศษไม้ไปหมดแล้ว ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนรีดน้ำออกจากไม้เพื่อที่จะทำความสะอาดเรือลำนี้

ปรากฏว่า ทันทีที่น้ำพุ่งเข้าไป ไม้หลายแผนก็แตกหักทันที เขาตกใจกลัวจึงหยุดพลังทันที เขากังวลจริงๆ ว่าตัวเองจะทำให้ซากเรือไม้อันมีค่าลำนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง

ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสำรวจรอบๆ เรืออับปาง เขามองเห็นหีบสมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ข้างใน ข้างในห้องโดยสารมีกล่องพวกนี้กองอยู่รวมกัน กล่องพวกนั้นยังคงรักษารูปร่างดั่งเดิมไว้ เขาเห็นลายสลักภาษาสเปนอยู่บนกล่องพวกนั้น

ในตอนที่เขาหาเรือซานโฮเซนั้น เขาได้ศึกษาเรือลำนี้มาตลอด ตอนนี้เมื่อเห็นอักษรพวกนั้น เขาก็ได้รู้ในทันทีว่านี่คือความหมายของเรือซานโฮเซ

โดยที่ไม่ต้องสงสัย เขาเจอเข้ากับเรืออับปางที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตรแล้ว!

กล่องเหล่านี้ถูกล็อคด้วยกุญแจ แต่แม่กุญแจถูกทำลายไปนานแล้ว ฝากล่องยังคงติดอยู่กับตัวกล่อง ฉินสือโอวให้จิตสำนึกืแห่งโพไซดอนในการจัดการกับกล่องพวกนั้น

กล่องไม้ถูกทำลายแตกเป็นเสี่ยงๆ ข้าวเครื่องใช้บางอย่างเช่นพวกเชิงเทียน ขานชาม และเครื่องเรือนอื่นๆ เป็นสีดำบางส่วน แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นเนื้อแท้ของพวกมัน แต่เขาก็เดาได้ว่า นี่เครื่องเงินเครื่องทอง

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนตรวจสอบพบว่ามีปลาหมึกสายตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาในเรือ ฉินสือโอวเรียกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา หลังจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเบลค

เบลคกำลังประชุมอยู่ แต่ว่าเมื่อเห็นเบอร์ของฉินสือโอวเขาก็รับสาย นอกจากนี้ยังพูดเล่นอีกว่า “ให้ฉันดานะ ฉิน นายโทรหาฉันจะต้องมีข่าวดีอะไรแน่ๆ เช่นว่าฉันรู้ว่านายพึ่งจะซื้อบ้านสุดเจ๋งหลังใหม่…”

“ใช่แล้ว ข่าวดี วาฬเบลูก้าของฉันเจอเข้ากับร่องรอยของเรือซานโฮเซ” ฉินสือโอวพูดอย่างตรงไปตรงมา

ฝั่งตรงข้ามจู่ๆ ก็มีเสียงลมพัดดังขึ้นมา เสียงนั้นยาวและดังเป็นเวลานาน เสียงนั้นทำให้ฉินสือโอวถามออกมาด้วยความแปลกใจว่า “พระเจ้า นายกำลังประชุมอยู่เหรอ? ให้ห้องทำงานของพวกนายยังมีเครื่องเป่าลมพวกนั้นอยู่อีกหรอ?”

“เครื่องเป่าลมอะไรล่ะ! นายล้อฉันเล่นหรือเปล่า?! เรือซานโฮเซงั้นหรอ? นายหมายถึงเรือซานโฮเซใช่ไหม? เรือซานโฮเซของสเปนที่เต็มไปด้วยอัญมณี ทองคำและเงินลำนั้นน่ะเหรอ?! เรือซานโฮเซมี่มูลค่าอย่างต่ำสองพันล้านดอลล่าร์สหรัฐลำนั้นน่ะนะ ” เบลคเดินไปหาที่สงบๆ ในการพูดคุย จากนั้นก็ร้องโวยวายออกมา

“วันนี้ไม่ใช่วันเอพริฟลูเดย์ใช่ไหม? นายหาเรื่องมาทำให้ฉันมีความสุขใช่ไหม? ฮ่า นายล้อฉันเล่นใช่ไหมล่ะ? ฉิน อย่าทำแบบนี้ นายก็รู้ว่าหัวใจฉันไม่ค่อยดี ฉันขอร้องล่ะ บอกฉันความจริงฉันที…ว่านายหาเรือซานโฮเซเจอ!”

“ใช่แล้ว ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันหาเรือซานโฮเซเจอแล้ว”

“โอเค รอฉันก่อนนะ นายอยู่ที่ไหน? ฉันจะออกเดินทางไปหานายทันที” หลังจากที่ได้ที่อยู่เบลคก็วางสายลงทันที

ฉินสือโอวโทรหาบิลลี่ ทางนั้นบิลลี่นั้นใจเย็นกว่าเยอะมาก อย่างไรก็ตามเขาเป็นผู้ดูแลการกอบกู้เรืออับปางอย่างเรือขวานดำด้วยตัวเอง เขารู้จักเรืออับปางมากมาย แต่ว่า เขาก็ตื่นเต้นเช่นกัน “ที่รัก ฉันแทบจะอดใจไม่ไหวแล้วล่ะ! นายเจอเรือซานโฮเซ นายนี่เป็นเทพโพไซดอนจริงๆ! บอกที่อยู่มา ฉันจะไปหานาย!”

คนที่นิ่งที่สุดคือแบรนดอน โดยอายุที่มากกว่ารวมถึงหน้าที่การงานทางด้านการเงิน ทำให้เขามีสติที่นิ่งสบ หลังจากที่ได้ยินข่าวเขาก็ทำเพียงหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากนั้นก็รีบมาหาเขาที่นี่

เบลคที่มาจากโทรอนโตมาถึงก่อนเป็นคนแรก ไม่รู้ว่าเขาไปหาเฮลิคอปเตอร์มาจากที่ไหน หรือเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่แพงแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ใช้เวลาบินเพียงครึ่งคืนเท่านั้นเขามาถึงอุทยานแห่งชาติ

ฉินสือโอวไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาทำเพียงให้บีบีซวงเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์นำเบลคไป ที่อุทยานไม่มีสนามบิน แม้ว่าจะมีลานหญ้ากว้าง แต่ในช่วงเวลากลางคืนการจะนำเฮลิคอปเตอร์ลงจอดถือว่ามีความเสี่ยงมาก

เบลคเตรียมพร้อมที่จะวิ่งแล้ว เขามีท่าทางเหมือนกับเด็ก ทันทีที่เฮลิปคอปเตอร์จอดสนิท เขาก็รีบกระโดดลงมาทันที จากนั้นก็ร้องเรียกฉินสือโอวเสียงดังพร้อมเข้ามากอดเขา

หู่จือและเป้าจือเห่าออกมาเสียงดัง หลังจากนั้นพวกมันก็รู้สึกคุ้นชินกับชายผู้นี้เหลือเกิน พวกมันจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเห่าแล้ว พวกมันจึงส่ายหางไปมาแล้วเดินกลับไปนอนต่อ

ฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความเหนื่อยใจว่า “เพื่อ ทำไมนายถึงได้รีบร้อนมาขนาดนี้? เรืออับปางมันก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ พวกเรายังมีเวลาที่จะไปจัดการพวกมัน โอเคไหม? ดังนั้นทำไมนายไม่ไปนอนพักเสียก่อนล่ะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาดีไหม?”

เบลคมองไปรอบๆ พลางพูดว่า “รอบๆ ไม่มีคนดักฟังอยู่ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพูดขึ้นว่า “ในรัศมีห้ากิโลเมตรนี้มีบ้านฉันอยู่หลังเดียว นายคิดว่ายังไงล่ะ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น เบลคก็พูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “น้องชาย นายนี่จะกล้าเกินไปแล้ว นายรู้ไหมว่าตอนนี้นายมีเงินอยู่เท่าไร? นายรู้ไหมว่ามีคนมากมายกี่คนที่ต้องการลักพาตัวนาย?!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “นายคิดว่าบ้านหลังนี้มีเพียงฉันและครอบครัวหรอ?”

ฉินสือโอวผิวปากออกมาหนึ่งคครั้ง พวกของแบล็คไนฟ์ก็ปรากฏตัวออกมา “บอส เกิดอะไรขึ้นครับ?”

“จับตาดูไว้ คืนนี้สภาพไม่ค่อยดี ฉันกลัวว่าจะเกิดเรื่อง”

นีลเซ็นตบปืนสไนเปอร์ที่อยู่ข้างตัวแล้วพูดว่า “ถ้าหากว่ามีคนมาที่ประตูจริงๆ ผมก็หวังว่าเขาจะเร็วกว่ากระสุนของผม”

ฉินสือโอวมองไปยังเบลคแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ตอนนี้นายพอใจหรือยัง? อยากพูดอะไรก็พูดสิ”

เบลคพูดออกมาเสียงดังว่า “ที่ฉันจะพูดก็คือ ฉันต้องรีบมาอยู่แล้ว แม้ว่าเรือซานโฮเซจะไปไหนไม่ได้! แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่า! พวกรัฐบาลโคลอมเบียและสเปนบ้าพวกนั้น ต่างก็ต้องการจัดการกับเรืออับปางลำนี้! ดังนั้นพวกเราจำเป็นที่จะต้องแข่งกับเวลาเพื่อไปจัดการกับสมบัติพวกนั้น! สมบัติพวกนั้นมีมูลค่าอย่างน้อยสองพันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยนะ!”

ฉินสือโอว “…”

เพราะว่าเบลคที่กำลังตื่นเต้นมาถึงที่นี่แล้ว คืนนี้ฉินสือโอวจึงไม่ได้นอน เบลคนำไวน์แดงและไวน์ขาวมาจำนวนมาก เขาลากฉินสือโอวมาดื่มไวน์ด้วยกันระหว่างที่รอบิลลี่และแบรนดอนมาถึง

แต่สองคนนั้นนิ่งกว่เบลคมาก พวกมันมาถึงในช่วงรุ่งสางของอีกวัน แบรนดอนอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล แต่เขามาที่นี่โดยการนั่งเครื่องบินจากนั้นก็ต้องเปลี่ยนมานั่งรถยนต์ ทำให้ต้องใช้เวลานาน

ยังดีที่ตอนกลางวันหู่จือและเป้าจือไปจับแกะป่า พวกมันได้รับอนุญาตให้ล่าสัตว์ได้ในป่าและทุ่งหญ้าของอุทยาน แต่ฉินสือโอวเห็นว่าพวกมันหมายตาไปที่การล่าสัตว์ป่าขนาดใหญ่อย่างพวกแกะป่า จึงสั่งพวกมันไว้ว่า ไม่อนุญาตให้พวกมันล่าสัตว์ที่อยู่ข้างในอีก

แบรนดอนส่ายหัวไปมา เขาคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย “นี่คือเรื่องของระบบห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศ ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องสนใจการล่าสัตว์ของพวกมันหรอก”

ฉินสือโอวพูดออกมาด้วยอารมณ์ไม่ดีว่า “นายไม่รู้พฤติกรรมการล่าสัตว์ของเจ้าพวกนี้ของฉัน ถ้านายปล่อยให้พวกมันล่าสัตว์ที่นี่ตามใจชอบ แบบนั้นอุทยานแห่งชาติที่นี่จะย่อยยับ”

เขาไม่ได้พูดเกินจริงเลย เจ้าพวกนี้ไม่ได้ล่าเหยื่อเป็นอาหาร พวกมันล่าเพื่อความสนุก ดังนั้นพวกมันจึงล่าสัตว์ไปได้เรื่อยๆ เจ้าพวกนี้คือหมีสีน้ำตาล หมีขั้วโลก และหมาป่าสีขาว แล้วสัตว์ในอทุยานตัวไหนบ้างที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับพวกมันได้?

แต่ว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือกัน ฉินสือโอวก็จะมีเนื้อสดๆ สำหรับทำอาหารเลี้ยงคนทั้งสามคน เนื้อแกะป่านั้นรสชาติโดดเด่นมาก หลังจากที่ฆ่าแกะแล้วเขาก็นำเนื้อแกะมาตุ๋น หลังจากที่เนื้อเย็นแล้วก็นำมาหั่นเป็นชิ้นๆ การจับแกะครั้งนี้ก็เพื่อการอยู่รอดเท่านั้น

………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท