ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1878 ไปอาบแดดกับต้าป๋าย

บทที่ 1878 ไปอาบแดดกับต้าป๋าย

วันถัดมา ฉินสือโอวไปหาพอล ซาโกร เถ้าแก่ของร้านค้ากลางแจ้ง

ช่วง 2 ปีมานี้พอล ซาโกรใช้ชีวิตอย่างราบรื่นดี ตอนที่ฉินสือโอวขับรถไปหาเขา เขากำลังนั่งเช็ดปืนลูกรักของเขาอยู่บนพื้นหญ้า หนังกลับชิ้นหนึ่งเปล่งประกายแวววาว แสดงให้เห็นว่าเขาดูแลรักษาปืนลูกรักได้ดีเพียงใด

เมื่อเห็นเขามา ซาโกรทราบดีถึงจุดประสงค์ที่เขามา จึงถามเขาว่า “ฉิน นายมาที่นี่ก็เพราะเรื่องของโฮ่วจื่อใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพยักหน้า พอลยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “นายเชื่อฉันเถอะ เรื่องโฮ่วจื่อกับหวง ฉันพยายามหว่านล้อมอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่า พวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง”

“เรื่องนี้ฉันรู้ ฉันแค่มาถามนายว่ามีความคิดจะรับพนักงานมาช่วยที่ร้านเพิ่มไหม?” เขาถามขึ้น

พอลตอบว่า”ก่อนอื่นฉันกะจะลองดูคนจีนสักสองสามคน แต่ก็คงจะหาเพื่อนที่ดีแบบโฮ่วจื่อและหวงไม่ได้แล้ว พวกเขาก็รักในอาวุธปืนเหมือนกับฉัน ฉันกล้าพนันได้เลยว่า พวกเขารู้จักปืนทุกกระบอกในร้านเป็นอย่างดี”

โหวจื่อเซวียนและหวงเฮ่าเจียไม่ได้แค่รักในอาวุธปืน แต่พวกเขายังทำงานเก่งด้วย หวงเฮ่าเจียเรียนจบบัญชีที่จีน ดังนั้นเรื่องบัญชีในร้านเขาจึงดูแลด้วย

มีสองคนนี้คอยช่วยเหลือ พอลแทบจะไม่ต้องทำอะไร เว้นเสียแต่ว่าเป็นเรื่องการเอาของเข้าออกร้านที่เขาจะเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนงานอื่นๆ เขามอบหมายให้คู่หูสองคนนี้ก็เพียงพอแล้ว

ฉินสือโอวถอนใจ “หวังว่าโชคจะดี รับพนักงานดีๆ เข้ามาได้”

พอลหัวเราะ “จริงๆ แล้ว ฉันคิดว่าพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจเรื่องนี้ไป ฉิน ฉันเรียนคำพูดจีนจากโฮ่วจื่อมาประโยคหนึ่ง เรื่องทุกเรื่องมีทางออกเสมอ เชื่อฉัน โฮ่วจื่อและหวงไม่ได้ไปจากร้านตลอดไปหรอก ที่ประเทศนายคนทั่วไปถือปืนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”

“ฉันรู้ว่า ชีวิตของพวกเขาหนีปืนไม่พ้นหรอก ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือรอ รอพวกเขากลับบ้านไปสักพักแล้วค่อยกลับมา ฉันมั่นใจว่าพวกเขาจะกลับมา”

ฉินสือโอวมองไปที่หน้าเจ้านี่ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ในใจเขาก็ผ่อนคลายลง เขาพูดว่า “ก็หวังว่าเป็นเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้นเราก็หาพนักงานชั่วคราวละกัน”

เมื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เขาก็กลับไปที่ฟาร์มปลาเตรียมอยู่เล่นกับวินนี่และลูกๆ ของเขา

วินนี่กางผ้าบนสนามหญ้าใต้ร่มไม้ จากนั้นเธอก็อุ้มต้าป๋ายออกไปหาจุดที่แสงอาทิตย์สามารถส่องผ่านลงมาได้หน่อยและปล่อยมันไว้ตรงนี้

ต้าป๋ายเงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้านและมองไปรอบๆ เหยียดแขนขาเพลิดเพลินกับแสงแดดที่สาดส่องผ่านร่มไม้ลงมา ทั้งอบอุ่นและไม่ร้อนเกินไป มีลมเย็นๆ ใต้ต้นไม้ เห็นได้ชัดว่าต้าป๋ายชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก

ฉงต้าเดินมา แขนขาอ่อนแรงล้มลงไปนอน ราวกับภูเขามีเนื้อนอนทับอยู่บนต้าป๋าย

หมีโลลิมีพลังมากกว่า แต่หมีขั้วโลกไม่ทนความร้อน เธอใช้ทั้งแขนและขาวิ่งอยู่สักพัก จากนั้นก็วิ่งกลับมาไปหาวินนี่ที่ด้านหน้าและทำตัวเหมือนสุนัขลิ้นห้อยทำตัวออดอ้อน

วินนี่ให้ฉินสือโอวอยู่เป็นเพื่อนกับต้าป๋าย เธอกลับไปหยิบกรรไกรและปัตตาเลี่ยนออกมาและเริ่มตัดขนหนาๆ ของหมีโลลิออก

ฉินสือโอวอุ้มเอาลูกชายของเขาที่กำลังนอนอยู่ในรถเข็นเด็กซึ่งทำได้เพียงแทะนิ้วขึ้นมา เจ้าตัวเล็กพอเห็นเขาบ่อยขึ้นก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ไม่ร้องไห้งอแงแล้ว แต่จะนิ่งสงบ

อุ้มลูกน้อยโยกเยกไปมาสักพัก หลังจากนั้นเขาก็วางลูกชายอยู่ข้างๆ ต้าป๋าย

ต้าป๋ายหรี่ตามองเจ้าตัวเล็ก มันวางหัวที่มีขนนุ่มยาวลงบนแก้มนุ่มของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่อ่อนโยน

หู่จือและเป้าจือกำลังเล่นกันเองอยู่ ฉินสือโอวเรียกพวกมันให้มานอนพักผ่อนสักพัก แลบราดอร์มีพละกำลังมาก ต่อให้มันนอนอยู่ก็ไม่ได้นอนนิ่งๆ ยังคงสู้กันเองนัวเนียอยู่ตรงนั้น

วินนี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอเห็นฉากนี้แล้วก็พูดว่า “ฉิน เวลาผ่านไปเร็วมากเลยนะ ยังจำตอนที่เราเพิ่งเจอหู่จือและเป้าจือได้ไหม? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ในเวลานั้นเด็กชายตัวเล็กๆ ทั้งสองยังตัวสั่นๆ ตอนนี้กลับเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”

ฉินสือโอวโอบเธอยิ้มไปพลางพร้อมพูดว่า “จำได้แน่นอนสิ พวกมันต้องขอบคุณคุณนะ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่คุณตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นก็คงไม่ได้เจอพวกมันแน่ ผมคิดว่าด้วยสถานการณืของเป้าจือตอนนั้น ถ้าไม่เจอพวกเราเข้าพอดี มันอาจจะไม่ได้อยู่มานานถึงขนาดนี้ จริงไหม?”

“ดังนั้น นี่ก็คือพรหมลิขิตไง” วินนี่หัวเราะ

ฉินสือโอวกวักมือเรียก หู่จือและเป้าจือก็พุ่งเข้าไปอย่างชาญฉลาดเหมือนขีปนาวุธสองลูก พวกมันยังคงนอนอยู่บนพื้นเมื่อหนึ่งวินาทีก่อน แต่พออีกหนึ่งวินาทีถัดมาพวกมันกลับพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขาแล้ว

เมื่อมองไปที่เจ้าสองตัวที่กำลังสู้กันอยู่ วินนี่อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะไปมาแล้วพูดขึ้นว่า “บางทีพวกมันอาจจะไม่ควรอยู่ด้วยกัน คุณดูสิ พวกมันเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข จนไม่อยากจะมีเมียแล้วเนี่ย”

ช่วงก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่ฟาร์มปลาแห่งที่สาม ฉินสือโอวไม่ได้เฝ้าดูเจ้าสองตัวนี้ให้ดี พวกมันจึงชอบวิ่งไปข้างนอกทุกวัน เมืองคาร์กิลิกมีสุนัขแลบราดอร์อยู่หลายตัว คาดว่าพี่น้องสองคนนี้คงมีนางสนมนับไม่ถ้วนในช่วงเวลานั้น ส่งผลให้ปีนี้ไม่มีอาการติดสัดอย่างชัดเจน

ซีกวาน้อยพยายามพลิกตัว ผลปรากฏว่าเขาทำไม่สำเร็จแต่อย่างน้อยเขาก็นอนตะแคงได้แล้ว ดังนั้น เขาจึงหมุนตัวไปมา ยื่นมือน้อยๆ ออกไปดึงขนของต้าป๋าย

ต้าป๋ายค่อยๆ ลุกนั่งขึ้นมา แลบลิ้นเลียไปที่มือเล็กๆ ของเขาอย่างเบาๆ ซีกวารู้สึกคันๆ เลยหัวเราะขึ้นมาอย่างชอบใจ

ฉินสือโอวอุ้มต้าป๋ายขึ้นมา ถือว่าเป็นเทพซิ่วอายุยืนในบรรดาโอพอสซัมในอเมริกาเหนือแล้ว สำหรับโอพอสซัมในอเมริกาเหนือซึ่งขึ้นชื่อเรื่องอายุสั้น แค่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หกหรือเจ็ดปีก็นับว่าหายากแล้ว

วินนี่กลับไปเอาผลไม้ออกมาจำนวนหนึ่ง ฉงต้ารีบลุกปีนขึ้นมาอย่างฉลาด อ้าปากและส่งเสียงร้องต่ำ

วินนี่ชำเลืองมองมัน ชี้ไปที่ต้าป๋ายแล้วพูดว่า “นี่เตรียมให้ต้าป๋ายนะ”

ฉงต้าทำจมูกฟุดฟิดไปมา จากนั้นมันก็ล้มลงอีกครั้ง ถูขนที่หลังของมัน หลับตาแล้วก็หลับไป

ฉินสือโอวหยิบองุ่นแล้วยื่นให้ต้าป๋าย ต้าป๋ายคาบไว้ในปากแต่ไม่ได้กินมันเข้าไป มันเดินโซเซไปที่ด้านหน้าฉงต้า ใช้หัวเขี่ยๆ ไปที่จมูกฉงต้า แล้วเอาองุ่นยัดใส่ปากมันไป

เมื่อเห็นฉากนี้ ขอบตาวินนี่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก้มหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “พระเจ้า ถ้าวันหนึ่งฉันไม่ได้อยู่กับเด็กที่น่ารักอย่างเจ้านี่ คงเป็นเรื่องที่เศร้าใจน่าดูเลยใช่ไหม?”

ฉินสือโอวโอบกอดเธอไว้ พูดปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะ คุณภรรยา คุณก็ยังมีผมเป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอ? แล้วยังมีเถียนกวา ซีกวา และเด็กๆ อีกตั้งมากมาย”

เพื่อที่จะไม่ให้ภรรยา เด็กๆ และฉงต้าเสียใจ ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ต้องคิดหาวิธียืดชีวิตของต้าป๋ายออกไป ต้องรักษามันไว้ให้ได้ ให้มันมีชีวิตอย่างมีความสุขสักหน่อย!

วินนี่เงยหน้ามองเขา พูดอย่างจริงจังว่า “พวกเราจะมีลูกกี่คนดี? 10 คนดีไหมคะ? ฉันเข้าใจแล้วว่า ยิ่งลูกเยอะ พวกเราจะได้มีความสุขในภายภาคหน้า”

ฉินสือโอวเหงื่อเย็นไหลย้อย เขารีบพูดว่า “ไม่นะ ตอนนี้มีลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ลูก 10 คนคุณจะบ้าเหรอ? สำหรับคุณแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะดีด้วย”

วินนี่พูดอย่างดึงดันว่า “ไม่ได้ ลูกสองคนน้อยเกินไป วันหลังพอพวกเขาไปเรียนหนังสือหรือแต่งงานไป คนที่จะอยู่กับพวกเราก็น้อยไปน่ะสิ”

ขณะที่พูดไป เธอก็คิดไปคิดมาแล้วยิ้มหวาน “ฉันคิดดีแล้ว พวกเราวันหลังจะมีแผนในการมีลุกกัน มีลูกคนหนึ่งทุกสองปี พอเป็นแบบนี้รอจนเถียนกวาแต่งงาน พวกเราก็ยังมีลูกน้อยๆ ให้คอยดูแลไง”

ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ต่อบทสนทนานี้ มันบ้าบอมากเกินไป

ที่บ้าไปมากกว่านั้นคือ วินนี่บอกความคิดของเธอให้พ่อและแม่ของฉินสือโอวฟัง คนแก่ก็มักจะหวังว่าที่บ้านจะมีเด็กเยอะๆ พวกเขาเห็นพ้องต้องกันและเริ่มวางแผนที่จะขยายครอบครัว…

………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท