ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1885 ชาลส์ผู้ร้อนใจ

บทที่ 1885 ชาลส์ผู้ร้อนใจ

ลักษณะของกะโหลกศีรษะน่ากลัวมาก เพราะบนผิวเคยปกคลุมด้วยปูนแห้งหนึ่งชั้น ฉะนั้นเลยไม่ได้ย่อยสลายในน้ำ และเพราะการป้องกันของโลงจากปลากุ้งที่จะมากิน นานวันไปเลือดเนื้อก็ย่อยสลายไปในน้ำทะเลเหลือเพียงผิวหนังกับเนื้อหนังที่ไม่ได้ย่อยสลายถูกโบกกับปูนหลงเหลืออยู่บนกะโหลก

ฉินสือโอวรีบไปดูในทันที จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นตกใจแล้วร้องขึ้นว่า “เฮ้ย นี่มันอะไรกัน? รีบแจ้งตำรวจเร็วให้ตำรวจมาดูว่านี่มันเรื่องอะไรกัน!”

ชาร์คกวาดตาสังเกตฟาร์มปลามอร์รี่ผ่านกล้องส่องทางไกล เขาตะโกนขึ้นว่า “บอส มีฝาโลงพัดมาอีกแล้ว…”

แน่นอนฉินสือโอวรู้ว่ามีฝาโลงพัดขึ้นมาที่ผิวน้ำ ก็เขาเป็นคนควบคุมเบื้องหลังเอง เขาอยากจะใช้ฝาโลงที่ลอยขึ้นมาแต่ล่ะอันช่วยชี้ทางให้ตำรวจเจอตำแหน่งของโลง

มีชาวประมงไปแจ้งตำรวจบอกว่าพบฝาโลงกับกะโหลกศีรษะมัมมี่ที่ฟาร์มปลา

ตำรวจยังมาไม่ถึง ฟาร์มปลามอร์รี่ก็มีคนพบฝาโลงที่ลอยบนผิวน้ำแล้ว

ไม่นานทางฟาร์มปลามอร์รี่ก็วุ่นวายขึ้นมา ฉินสือโอวเห็นชาลส์รีบนั่งเรือลำหนึ่งมา เพราะไม่ไกลกันมากเขาก็เลยพอจะเห็นสีหน้าของชาลส์ได้ชัดเจน ไอ้หมอนี่พอเจอฝาโลงแล้วดูเหมือนร้อนรนจนแทบคลั่ง

ชาลส์มาตรวจดูฝาโลงพวกนั้นเสร็จก็มาที่ฟาร์มปลาเบอร์สามเทียบเข้ามาใกล้เรือบดเล็กที่ฉินสือโอวกัยคนอื่นๆ นั่งอยู่ก่อนจะตะโกนว่า “ฉิน ผลักเอาฝาโลงอันนั้นมาให้ฉันที ฉันเอาไปจัดการให้พวกนายเอง”

เหมือนจะรู้สึกว่าคำพูดนั้นไม่ค่อยสอดคล้องกับนิสัยตัวเองเท่าไรเขาเลยรีบพูดเสริมขึ้นมา “ฉันเห็นแล้ว โลงศพพวกนี้โผล่มาในเขตฟาร์มปลาฉันใช่ไหมล่ะ? งั้นฉันก็มีความรับผิดชอบที่จะจัดการให้พวกนาย บางทีบนตัวพวกเขาอาจจะมีแบคทีเรียอะไรก็ได้ ต้องรีบเผาทิ้ง”

เพราะรู้ว่าฉินสือโอวไม่ชอบชาลส์ ชาร์คก็เลยตอบแทนเขา “คุณมอร์รี่ พวกเราไม่ต้องรบกวนคุณหรอก บนฝาโลงนี้มีกะโหลกอยู่ ผมว่ารอตำรวจมาจัดการจะดีกว่า”

ได้ยินแบบนั้น มุมปากของชาลส์ก็กระตุกกึกๆ อย่างช่วยไม่ได้ เขาเผยยิ้มออกมา “ให้ตาย นี่มีกะโหลกด้วยเหรอ? นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ฉันว่าคงจะเป็นฝีมือของชาวประมงแถวนี้ล่ะมั้ง? ฉันได้ข่าวมาว่ามีพิธีฝังศพอย่างหนึ่งเรียกว่าการฝังศพในน้ำ”

ชาร์คพูดเสียงเย็น “นั่นมันธรรมเนียมของชาวอินเดียนแดง พวกชาวประมงไม่เอาร่างของบรรพบุรุษตัวเองมาไว้ในทะเลให้กลายเป็นอาหารของปลากุ้งหรอก”

ชาลส์ยิ้มพลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ๆ ฉันว่านายพูดถูก ฝาโลงนี้ให้ฉันจัดการเองดีไหม?”

“ขอโทษด้วย ตรงนี้ไม่ได้มีแค่ฝาโลงแต่มีกะโหลกด้วย เพราะฉะนั้นพวกเราต้องรอตำรวจมาจัดการ…” ชาร์คยังคงยักไหล่แล้วพูดต่อ

“******! ไอ้คนหาปลาสมควรตาย ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันจัดการเอง! แกฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง?! ให้ตายเถอะ ของพวกนี้มาจากฟาร์มปลาฉัน…” จู่ๆ ชาลส์ก็ระเบิดอารมณ์ตะคอกออกมาตัดบทชาร์ค

ฉินสือโอวเองก็สะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ เห็นชาลส์ตะคอกใส่ชาร์ค เขาก็ใช้เท้าถีบไปที่ถังที่ขวางอยู่ข้างหน้าและเริ่มตะคอกเช่นกัน “ฟัค ชาลส์แกไอ้เวร หุบปากเน่าๆ ของแกเสีย! แกรู้ไหมว่านี่ถิ่นใคร? นี่มันเป็นถิ่นของฉัน! หุบปากเน่าโสมมของแกไปเลย! พี่น้องฉันแกก็กล้าด่า? หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาบ้าง แกมีสิทธินั้นด้วยเหรอ?”

โดนเขาด่าว่ามาแบบนั้น ชาลส์กลับนิ่งสงบขึ้นมาอีก สีหน้าของเขากระตุกก่อนจะมองฉินสือโอวด้วยรอยยิ้ม “ได้ ฉิน ผมไม่มีสิทธิด่าว่าเพื่อนของคุณ ผมขอโทษ ที่จริงเมื่อกี้ผมแค่ใจร้อนไปหน่อย อาจจะเป็นเพราะผมนอนไม่พอ สรุปก็คือพวกคุณเอาฝาโลงพวกนี้ให้ผมจัดการดีไหม? ผมจะคุยกับตำรวจเอง”

ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมา เขาเอ่ยขึ้นว่า “ชาลส์ ทำไมคุณถึงเดือดร้อนกับสิทธิความเป็นเจ้าของในฝาโลงพวกนี้จัง? ผมว่ามันแปลกๆ นะ”

รอยยิ้มของชาลส์แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มชั่วร้าย มือเขาล้วงไปด้านหลังแล้วคว้าเอาปืนออกมาหนึ่งกระบอก ปากกระบอกปืนสีดำเล็งไปทางฉินสือโอวอย่างแม่นยำก่อนจะตะคอกขึ้น “ไอ้เวร ฉัน***ไม่ควรมาเสียเวลาพูดกับพวกงั่งอย่างพวกแกเลย! เอาฝาโลงกับกะโหลกมาให้ฉัน! เอามา! ไม่อย่างนั้นฉันจะระเบิดสมองพวกแก!”

สำหรับการโต้ตอบของเขาแบบนี้คนอื่นๆ ต่างก็ทำอะไรไม่ถูก ฉินสือโอวยิ่งลนลานใหญ่ เรือบดเล็กทั้งสองก็แทบจะประชิดติดกัน เขาเห็นแขนอันสั่นเทาของชาลส์ ระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าปืนลั่นขึ้นมาหรือชาลส์ลั่นไกงั้นเขาต้องตายไม่รู้เรื่องแน่ๆ

ชาร์คกับชาวประมงคนอื่นๆ ก็ตกใจ ทุกคนมองไปทางฉินสือโอว แต่ชาร์คกลับยกมือขึ้นพูดว่า “เฮ้ เฮ้ เฮ้! ดูคุณมอร์รี่พูดสิ อย่าใจร้อน แค่ฝาโลงเท่านั้น ผมรู้แล้ว จะให้คุณเดี๋ยวนี้ ช่วยวางปืนลงด้วย…”

“อย่ามาพูดมากเหลวไหล รีบเอามาให้ฉัน แล้วก็หัวกะโหลกนั้นด้วย!” ชาลส์ตะคอกอย่างบ้าคลั่ง

ฉินสือโอวพยักหน้า ตอนนี้จะมาทำตัวเป็นวีรบุรุษไม่ได้ เขาสามารถใช้จิตสำนึกโพไซดอนสร้างคลื่นซัดโจมดีเรือของชาลส์หรือใช้คลื่นใต้น้ำเขย่าเรือให้โคลงเคลง แบบนี้ก็อาจจะช่วยเขาเลี่ยงภัยนี้ได้

แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าในกรณีเสียการทรงตัวแล้วชาลส์จะลั่นไก…เพราะงั้นเขาจะเสี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าเขาก็ให้ชาลส์เอาฝาโลงกับกะโหลกนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน เขาดูออกว่าระหว่างชาลส์กับของนี้มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

ชาร์คกับชาวประมงคนหนึ่งร่วมแรงกันผลักฝาโลงไปที่ด้านข้างเรือบดของชาลส์โดยที่กะโหลกอยู่บนฝาโลง พอชาลส์เห็นแบบนั้นรอยยิ้มแค่นเย็นอย่างพึงพอใจก็ผัดขึ้นบนใบหน้า จากนั้นค่อยเก็บปืนไปแล้วพูดว่า “แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อยจริงไหม? จะกวนประสาทฉันเพื่อไม้แผ่นเดียวไปทำไม?”

บนหน้าของฉินสือโอวก็ผุดยิ้มเช่นกัน เขากวาดสายตาไปรอบด้านก็พบว่าคลื่นลมทะเลก็แรงไม่น้อย จิตสำนึกโพไซดอนสร้างคลื่นยักษ์สองสามลูกจากที่ไกลๆ และซัดเข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า

ภายใต้การซัดสาดของคลื่นทะเล เรือบดเล็กสองลำจึงโคลงเคลงไหวไปมาอย่างรุนแรง ชาลส์เซเกือบร่วงลงทะเลและตกใจจนรีบคว้าด้านข้างเรือไว้

ฉินสือโอวคว้าโอกาสนี้ ตัวเขาที่เตรียมพร้อมมานานแล้วกระโดดข้ามไปยังเรือบดลำตรงข้ามแล้วกำหมัดชกเข้าไปที่ท้องของชาลส์อย่างว่องไว อีกฝ่ายร้องโหยหวนกอดท้องก่อนจะคุกเข่าล้มลงไปที่เรือ

เห็นแบบนั้น ชาร์คและคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาตามๆ กัน ทางฝั่งชาลส์มีแค่ชาวประมงสองคน พอเห์นชาร์คและคนอื่นๆ ที่ถือฉมวกกับปืนตกปลาพวกเขาก็รีบชูมือขึ้นแล้วตะโกนออกมา “ไม่เกี่ยวกับเรานะ!”

ฉินสือโอวบิดแขนทั้งสองของชาลส์มาไพล่หลังไว้แล้วใช้เชือกมัด ชาลส์ด่ากราดสาดเสียเทเสีย ฉินสือโอวไม่สนใจ เขาพูดผ่านไรฟัน “ด่าต่อไปเถอะ ไปด่าให้ตำรวจฟังเถอะ ไอ้เวร กล้าใช้ปืนจี้ฉัน? รอติดคุกได้เลยไอ้สวะ!”

เรือสปีดโบ้ทของตำรวจน้ำมาถึงก่อน เพราะอาจเป็นคดีที่เกี่ยวพันถึงชีวิต เรือสปีดโบ้ทสองลำขับตามกันมา ตำรวจน้ำในชุดเครื่องแบบสีดำต่างก็พกอาวุธครบมือ

ฉินสือโอวโบกมือให้พวกตำรวจ เรือสปีดโบ้ทลำหนึ่งมาถึงก่อน พอเห็นชาลส์ที่โดนมัดมือไพล่หลังตำรวจน้ำนายหนึ่งก็ชูปืนขึ้นมาแล้วตะโกน “เรื่องอะไรกัน?”

ชาลส์ร้องออกมาว่า “ช่วยผมด้วย พวกเขาจะลักพาตัวผมแล้วก็ฆ่าทิ้ง ผมเป็นคนอเมริกัน…”

“******!” ฉินสือโอวแอบถองเข่าใส่เขา จากนั้นก็ตะโกน “ผมคือเจ้าของฟาร์มปลานี้ แล้วก็เป็นคนแจ้งตำรวจ เมื่อกี้ไอ้หมอนี่เอาปืนขึ้นมาขู่ผม ตอนนี้ปืนก็อยู่ที่เอวเขา!”

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท