ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1891 พาลูกสาวมาด้วย

บทที่ 1891 พาลูกสาวมาด้วย

ฉินสือโอวรับหน้าที่ในการหาสมบัติพวกนี้ ส่วนการกอบกู้ ขายสมบัติและการหาเงินมาจัดการไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือเขา

มีเพียงแบรนดอนเท่านั้นที่รู้ความหนาของเงินในกระเป๋าของฉินสือโอว เขาถามคุณชายฉินว่าต้องการลงทุนครั้งใหญ่หรือไม่ ฉินสือโอวไม่สนใจในเรื่องนี้ บนโลกนี้มีเงินอยู่มากมาย เขาใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด ดังนั้นแค่มีเงินใช้เพียงพอก็พอแล้ว

เขามีฟาร์มปลาที่อุดมสมบูรณ์อยู่สี่แห่ง พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ทำให้เขามีฐานะที่สูงขึ้น เมื่อรวมกับปันผลที่ได้ เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาควรพักได้แล้ว หลังจากนี้เขาสามารถมุ่งเน้นไปที่โครงการฟื้นฟูมหาสมุทรได้ นี่เป็นผลงานที่เป็นจุดเด่นของเขา

หลังจากที่ได้รับหัวใจโพไซดอนมา เขาก็ให้ความสนใจไปกับตำแหน่งเทพเจ้าแห่งท้องทะเล แน่นอนว่าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลนี้ไม่ได้เป็นเทพโพไซดอนที่สร้างความโกลาหลโดยการสร้างพายุและสายฟ้าจนเกิดสึนามิเข้าโจมตีชายฝั่งด้วยความโกรธ แต่เป็นการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ และปกป้องสายพันธุ์อันหลากหลายทางทะเล

โครงการฟื้นฟูมหาสมุทรนี้เป็นก้าวแรกที่จะทำให้เขาบรรลุเป้หมาย เขาได้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือก่อน หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังโพไซดอนลงไปในมหาสมุทรเพื่อเพิ่มสายพันธุ์พืชและสัตว์ เช่น ปลา กุ้ง ปู และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทำให้น่านน้ำของทั้งโลกค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงช้าๆ

ปลายเดือนหก หลังจากเสร็จงานเหมาเหว่ยหลงก็พาลูกและภรรยามายังอุทยานแห่งชาติ ลูกชายของเขาอายุหนึ่งชวบครึ่งแล้ว เขาสามารถที่จะเดินโดยไม่จับมือพ่อแม่ได้แล้ว

เถียนกวาไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่กันได้อย่างไร ฉินสือโอวทำเซอร์ไพร์สให้กับเธอ ตอนที่ตั๋วตั่วลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เด็กหญิงก็ดีใจเป็นอย่างมาก เธอโยนเฟอเรทพี่ชายที่อยู่ในมือทิ้งไป และวิ่งไปหาตั๋วตัว

น้องชายของตั๋วตั่วเดินตามมาที่ด้านหลัง เด็กชายหัวโต สวมหมวกคาวบอยใบเล็กหันมองรอบๆ ซ้ายขวา

เถียนกวาวิ่งเข้าไปหาเด็กชาย เธอมองเขาด้วยความรู้สึกเหมือนได้ของขวัญชิ้นใหม่ เธอยื่นมือออกไปแตะแก้มนุ่มนิ่มของเด็กชาย แล้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ว้าว นิ่มจังเลย!”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างใสซื่อ แล้วพูดออกมาด้วยเสียงอ้อแอ้ว่า “พี่ฉาว…”

เถียนหวายิ่งชอบเด็กชายเข้าไปใหญ่ เธออุ้มเขาขึ้นมา จากนั้นก็โซเซไปมาราวกับตุ๊กตาล้มลุกบนพื้นหญ้า เถียนกวาพูดว่า “หม่าม๊าดูนี่สิ ที่นี่มีน้องชายที่น่าเล่นด้วยอยู่ด้วยล่ะ”

เหมาเหว่ยหลงที่เหงื่อเย็นโฉกไปทั้งตัวอยู่ที่ด้านหลัง เถียนกวากอดลูกชายของเขาราวกับแจกันอันใหญ่ที่กำลังวางอยู่บนแจกันอันเล็ก เธอเดินโซเซไปมา ราวกับพร้อมที่จะล้มได้ในทุกก้าว แต่เธอก็ยังรักษาสมดุลได้อยู่เสมอ ภาพนี้ทให้เหมาเหว่ยหลงที่อยู่ด้านหลังไม่รู้จะเอื้อมมือออกไปเตรียมรับดีหรือไม่

เด็กชายก็หวาดหลัวเช่นเดียวกัน เขากอดคอของเถียนกวาแน่น จากนั้นก็เงยหยน้าแล้วร้องใส่พ่อของตัวเองว่า “ป๊าป๊า ป๊าป๊า ป๊าป๊า…”

“สนุกใช่ไหมล่ะ?” เถียนกวาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมา “น้องชาย นายมีความสุขใช่ไหม?”

ฉินสือโอวแอบกลัวว่าเด็กชายและพ่อของเขาจะตกใจจนหัวใจวายตายไปก่อน เขาจึงเข้าไปช่วยเด็กชาย ขาอุ้มเด็กชายออกมาจากแขนของเถียนกวา พลางพูดว่า “เถียนกวา หนูก็มีน้องชาย ทำไมไม่พาพี่ตั๋วตั่วไปดูน้องชายของลูกล่ะ?”

เถียนกวาถูจมูกตัวเองแล้วพูดว่า “หนูไม่ได้มีน้องชาย น้องชายคนนั้นไม่ดี เอาแต่ร้องไห้กับอึอึ หนูอยากได้น้องชายคนนี้ ปาป๊าเอาน้องชายของหม่าม๊าให้พี่ตั๋วตั่วไปเลย พวกเราแลกกันดีไหมคะ?”

แม้ว่าเด็กชายจะยังเด็กอยู่ แต่เขาก็รู้เรื่องอยู่ และเขาก็ฟังคำพูดพวกนั้นออก เมื่อได้ยินเสียงเล็กแหลมของเถียนกวา เขาก็รีบเดินเตาะแตะเข้าไปหาเหมาเหว่ยหลงทันที เขาซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังของเหมาเหว่ยหลงและชะโงกหน้าออกมามองเถียนกวา พี่สาวคนนี้น่ากลัวจริงๆ

เถียนกวาไม่ได้เป็นเด็กหญิงที่อ่อนโยนเหมือนกับตั๋วตั่ว อีกทั้งตั๋วตั่วก็โตกว่า เธอเป็นเด็กสาวแล้ว ปกติแล้วเธอมักจะดูแลน้องชายของเธอในฟาร์ม

แต่ไม่เหมือนกับเถียนกวา ถ้าเถียนกวาและซีกวาอยู่ด้วยกัน มีแต่จะแกล้งกันเท่านั้น จนตอนนี้ซีกวาร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นเธอ

เมื่อเห็นเสี่ยวเหมามาถึง เถียนกวาก็เปลี่ยนความสนใจของตนเอง ซีกวาเป็นอิสระแล้ว ตอนนี้หายนะตกมาอยู่ที่เสี่ยวเหมาแทน

แต่ตั๋วตั่วเป็นคนมีเหตุผล เธอจับมือเถียนกวาให้พาตัวเองไปดูน้องชายของตัวเอง เพราะแบบนั้นเถียนกวาจึงพาเข้าไปในบ้านอย่างไม่เต็มใจ แน่นอนว่าในมือของเธอยังจับเสี่ยวเหมาอยู่ เสี่ยวเหมาพยายามดิ้นอย่างหนัก แต่ก็ไร้ผล เขาจึงถูกเถียนกวาลากเข้าไปด้วย

เมื่อมองตามหลังเถียนกวาไป เหมาเหว่ยหลงก็ตะโกนออกมาว่า “ลูกสาวแกนี่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ ฉันรู้สึกว่าเธอแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ”

“นั่นน่ะสิ เป็นหญิงแกร่งเลยล่ะ” ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม

หลิวซูเหยียนถือตะกร้าใบหนึ่งลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ สุนัขพิตบูลตัวใหญ่เดินตามเธอไปต้อยๆ ท้องของมันใหญ่ และดูตัวหนักเป็นอย่างมาก ทำให้ท่าเดินของมันดูอึดอัดเล็กน้อย

ฉินสือโอวมองดูภาพนั้น พลางถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า​ “พิตบูลของแก ตั้งท้องหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้ารอยยิ้ม “ใช่ มันกำลังตั้งท้อง เกือบจะสองเดือนแล้ว ตอนแรกฉันกะจะรอให้มันคลอดลูกก่อน แต่ว่าหลังจากรอมาหลายวันก็ยังไม่คลอดสักที ยังดีที่มาที่นี่ก่อน เลยกะว่าจะให้มันมาคลอดที่นี่”

หู่จือและเป้าจือวิ่งไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องครวญคราง ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ในขณะที่วิ่งมาก็ยังไม่หยุดที่จะเล่นกัน แต่เมื่อพวกเห็นสุนัขพิตบูลแล้ว พวกมันก็หยุดเล่นกันทันที พวกมันมองไปยังพิตบูลด้วยแววตาอันสดใส

สุนัขพิตบูลนั่งลงที่พื้นอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากเห่าเสียงดัง แล้วมองไปยังหู่จือและเป้าจือด้วยแววตาดุร้าย

แลบราดอร์ยังคงเดินข้างหน้าอย่างไม่เจอหวาดกลัว ตัวหนึ่งอยู่ด้านหน้าส่วนอีกตัวอยู่ด้านหลัง หู่จือทำหูลู่และยกมุมปากอย่างถ่อมตัว สายตาของมันยังคงจับจ้องไปยังบั้นท้ายของสุนัขพิตบูล

เหมาเหว่ยหลงรีบไปลากหู่จือออกมา พร้อมด่าออกมาว่า “เจ้าโง่เอ๊ย! ช่างไร้มโนธรรมเสียจริง ไม่เห็นหรือยังไงว่าเธอเตรียมจะเป็นแม่แล้วน่ะ? ยังจะไปเล่นกับคนท้องอีกหรอ? ฉิน รีบพามันไปเดี๋ยวนี้เลย!”

ฉินสือโอวก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หู่จือและเป้าจือไม่ได้โผล่มาเลยตลอดฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อน เขาเข้าใจว่าพวกมันคงตั้งรกรากอยู่บนภูเขาเสียแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

หลังจากที่วินนี่และหลิวซูเหยียนเจอกัน พวกเธอก็สวมกอดกัน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็กระซิบกระซาบกันสองสามประโยค และทิ้งเด็กๆ ให้อยู่กับผู้ชายทั้งสองคน

หลังจากออกไปได้สักพัก วินนี่ก็กลับมาพร้อมกับพาหลัวปอมาด้วย สีหน้าของเธอนั้นตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เธอไปหาฉินสือโอวและพูดว่า ​”หลังจากที่ฉันเห็นท่าทางเดินอย่างลำบากของเสี่ยวฟู่จึงคิดได้ว่าหลัวปอน่าจะท้องล่ะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “จะเป็นไปได้อย่างไร หลัวปอไม่ได้สนใจหมาป่าโชคร้ายเลยนะ….”

แต่เมื่อเขาสังเกตที่ท้องกลมๆ ของหลัวปอชัดๆ เขาก็ยิ้มไม่ออก

อันที่จริงสองสามวันก่อนหน้านี้ เขาและวินนี่รู้สึกว่าท้องของหมาป่าขาวตัวนี้ค่อนข้างใหญ่และหนัก แต่เขาไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน เขาจึงคิดมาตลอดว่าหมาป่าตัวนี้ล่ากระต่ายและไก่ห้ากินเป็นอาหารเยอะจนทำให้ท้องโตขนาดนี้…

หมาป่าโชคร้ายเดินตามที่ด้านหลังด้วยท่าทีเขินอาย หางใหญ่โตที่ปกติมักจะตั้งตรงราวกับธงของมันจุกอยู่ที่ตูด เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวชี้นิ้วมาที่ตัวเอง มันก็รีบวิ่งมาหาทันที จากนั้นก็มันก็อ้าปากงับเข้าที่มือของฉินสือโอวเบาๆ

เหมาเหว่ยหลงมองภาพนั้นพลางพูดออกมาว่า “อาจจะเป็นไปได้นะ หมาป่าสีขาวของพวกแกน่าจะตั้งท้องจริงๆ ถ้าไม่เชื่อฉันจะพิสูจน์ให้ดู”

เขากวักมือเรียกให้หลัวปอมาข้างๆ พวกเขาค่อนข้างคุ้นเคยกัน หลัวปอเดินไปหาเขาด้วยความมั่นใจ

หลังจากนั้น เหมาเหว่ยหลงก็นั่งยองๆ พลางเอื้อมมือไปจับตูดของหลัวปอ และลากมือลงไปจนถึงท้อง

จู่ๆ หมาป่าโชคร้ายก็ตื่นตัวขึ้นมา หางของมันตั้งขึ้นและมันก็เห่า ‘โฮ่ง’ ออกมา มันมองมาด้วยแววตาดุร้ายเป็นประกาย มันแสยะเขี้ยวหมายจะโจมตีเหมาหว่ยหลง เสียงร้องขู่ดังอยู่ในลำคอของมัน

เหมาเหว่ยหลงรีบเก็บมือทันที เขาพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอนแล้ว มันท้อง และคงจะเป็นสายพันธุ์ซามอยด์ด้วยล่ะ”

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท