ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1882 คืนของขวัญให้

บทที่ 1882 คืนของขวัญให้

แม้ว่าหมอกจะค่อยๆ เริ่มจางไป แต่ไอน้ำที่เหลือก็ยังคงหนาแน่นมาก และเกาะแฟร์เวลตั้งอยู่กลางทะเลกว้างใหญ่ ในตอนนี้ความชื้นก็เพิ่มขึ้นจนไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย

สำหรับเกาะสันโดษกลางทะเลแล้ว วิวทิวทัศน์อาจจะสวย ทรัพยากรอาจจะอุดมสมบูรณ์ อากาศอาจจะสดชื่นไร้มลพิษ แต่ก็อาจมีปัญหาเรื่องความชื้นสูงเกินหรือปัญหาอย่างอื่น

ผ่านวันหมอกลงสองสามวัน ทางเดินหายใจพ่อฉินแม่ฉินก็เริ่มจะไม่ไหว จะรู้สึกว่าคันอยู่ตลอด แต่ก็ออกมาไม่ได้ ไม่สบายตัวเอามากๆ อีกอย่างก็คือผ้าห่มต้องเปลี่ยนทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะชื้นเกินไป เครื่องอบผ้าในบ้านก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เสื้อผ้ากับผ้าห่มที่อบแห้งไม่นานเท่าไรก็ชื้นอีก…

ตอนปลายเดือนมิถุนายน ตอนที่วินนี่เปลี่ยนเสื้อให้ซีกวาก็พบว่าผิวของลูกเป็นปื้นแดงแปลกๆ เธอคิดว่าผิวหนังอักเสบ ปรากฏว่าพอหมอโอดอมตรวจก็ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ผิวหนังอักเสบ แต่เป็นเพราะอากาศชื้นไปจนทำให้ผิวแพ้ ทางที่ดีควรให้เขาอยู่ในที่แห้งๆ”

หลังจากรู้ถึงสาเหตุของอาการ วินนี่รีบมอบหมายงานให้ผู้ช่วยฮานี่ย์ จากนั้นก็กลับบ้านไปบอกฉินสือโอว “ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เราจะไปอุทยานแห่งชาติคูจิมกูจิก รีบเก็บของ บอกพ่อแม่ไปด้วยกัน”

ฉินสือโอวกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับสารดูดความชื้นในอินเทอร์เน็ต เขาถามว่า “ทำไมคุณเปลี่ยนใจแล้วล่ะ? สองวันก่อนผมก็ชวนพวกเราไปฟาร์มเบอร์สามคุณก็ไม่ไปตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงอยากไปล่ะ?”

ดวงตางามของวินนี่ตวัดมาจ้องเขา “จะถามเยอะแยะไปทำไมคะ? รีบไป ผิวลูกแพ้ความชื้นแล้ว เจ้าตัวน้อยยังไม่รู้เรื่องเลย เราต้องหนีความชื้น”

อุทยานแห่งชาติเคจิมกูจิกก็ตั้งอยู่ที่อ่าวทะเล แต่ว่าอยู่ทางใต้ของรัฐโนวาสกาเชีย ครั้งนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศหมอกลง ดังนั้นระดับความชื้นของไอน้ำจึงอยู่ในระดับเหมาะสมที่สุด

พ่อฉินแม่ฉินกับสองสามีภรรยามาริโอ้เห็นอาการแพ้ของซีกวาก็รีบขึ้นมาบ้าง เถียนกวาวิ่งวุ่นไปทั่วห้องแล้วเอาของเล่นชิ้นเล็กเก็บลงกระเป๋าลากใบเล็ก นั่นคือของขวัญที่วินนี่ให้เธอ

มีแต่ซีกวาที่ไม่รู้เรื่อง คาบขวดนมไว้ในปากในขณะที่มองสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ที่กำลังยุ่งอยู่อย่างสนอกสนใจ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าทุกคนไม่สนใจตัวเองจึงเบ้ปากร้องอุแหว้ๆ ขึ้นมา

แต่พวกผู้ใหญ่กำลังยุ่งกับการเก็บของ ฉินสือโอวขี้เกียจจะสนใจเลยลากออกมายัดให้หู่จือเป้าจือ สองแสบผลัดกันคาบเอี๊ยมของเขาแล้วพาออกไปอาบแดดข้างนอก

ซีกวาชอบเล่นกับหู่จือเป้าจือมาก และชอบโดนพวกมันคาบเอี๊ยมเป็นพิเศษ แบบนี้ก็เหมือนได้นั่งชิงช้า ได้เล่นแบบนี้ทีไรเขาก็ยิ้มออกทุกที

เก็บของเรียบร้อย วันที่สองแต่เช้าตรู่เฮลิคอปเตอร์สามลำก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าบินไปยังฟาร์มปลาชายทะเลเคจิมกูจิก ฉินสือโอวเริ่มคิดวางไว้ว่าจะให้ครอบครัวไปอยู่ที่ตึกเล็กในฟาร์มปลา วินนี่ไม่เห็นด้วย บอกว่าความชื้นในฟาร์มปลาก็ยังสูงไปอยู่ดี ต้องไปซื้อบ้านแถบอุทยานไว้อยู่

เรื่องนี้ก็ง่าย ฉินสือโอวติดต่อเจนนิเฟอร์จากเอ็กซเพรส อีกฝ่ายก็ติดต่อเขากลับอย่างรวดเร็ว ในแถบกลางค่อนไปทางเหนือของอุทยานแห่งชาติมีวิลล่าที่มีประวัติยี่สิบปีแห่งหนึ่งกำลังประกาศขาย ราคาอยู่ที่ 11 ล้านดอลลาร์แคนาดา

สำหรับแคนาดาแล้ว นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นวิลล่าระดับหรู ทั้งนิวฟันด์แลนด์แทบจะไม่มีบ้านแพงๆ แบบนี้ที่ไหน 11 ล้านดอลลาร์ก็พอซื้อฟาร์มปลาเล็กๆ ได้เลยด้วยซ้ำ

แต่ถ้ามาดูสภาพแวดล้อมของอุทยานแห่งชาติ ราคานี้ก็ถือว่าเหมาะสม หลังจากเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 การจัดการอสังหาริมทรัพย์ของแคนาดามีความเข้มงวดมากขึ้น อุทยานแห่งชาติทั้งหมดไม่อนุญาตให้สร้างวิลล่าอีกต่อไป ฉะนั้นตอนนี้ที่เหลืออยู่ก็มีแต่วิลล่าเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ ราคาสูงลิบลิ่ว

และสภาพแวดล้อมของอุทยานแห่งชาติเคจิมกูจิกก็ดีมากๆ ฤดูร้อนดูดาวฤดูหนาวก็ดูแสงเหนือได้ ฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้ต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วงมึสวนผลไม้ ด้านหลังติดเขาด้านหน้าติดทะเล สวยจนแทบจะเหมือนสวนในสวรรค์

ฉินสือโอวกับครอบครัวไปดูวิลล่านี้ ทำเลที่ตั้งดีมาก ตั้งอยู่ที่ตีนเขาของภูเขาลูกเล็กอุทยานแห่งชาติ เจ้าของคนก่อนคือเจ้าพ่ออุตสาหกรรมรถยนต์ริชาร์ด โนเอล

แนวการตกแต่งของวิลล่าดูโบราณโอ่โถง ด้านในมีเพียงอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็น เป็นสไตล์ย้อนยุค คนกลางที่รับผิดชอบขายวิลล่าในวันนั้นยังใส่ชุดพ่อบ้านของขุนนางยุโรปในศตวรรษที่ 18 ราวกับว่าอยากกลับไปในสมัยนั้น

พ่อแม่ของฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกอะไร สามีภรรยามาริโอ้กลับรู้สึกชื่นชมอย่างมาก วินนี่ก็ชอบทำเลและการตกแต่งของบ้านนี้ พอแบบนั้นฉินสือโอวก็ไม่ได้ดูต่อ แต่จองบ้านหลังนั้นเลย เก็บจานชามเตาเสียหน่อยแล้วก็ผ้าห่มกับพรม เสร็จแล้วก็หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย

พอรู้ว่าคนจองบ้านคือฉินสือโอว โนเอลยังโทรมาทักทายแล้วยังลดราคาให้กับเขาด้วย หักเศษแล้วคิดแค่สิบล้าน

นี่ก็คือพลังของคอนเนคชั่น โนเอลเล็งเห็นถึงอิทธิพลที่ฉินสือโอวมีในแวดวงของเขา ใจดีลดให้หนึ่งล้านซื้อใจและได้คอนเนคชั่นมา อย่างไรก็ไม่ขาดทุน

นายหน้าก็เผยว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจวิลล่าของผู้มีอิทธิพลคนนี้ ตัวอย่างเช่นบีเบอร์ดาราต่างประเทศที่โด่งดังในแคนาดาก็เคยส่งตัวแทนมาถามเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ แต่โนเอลไม่ขายให้

ซื้อบ้านมาแล้ว พ่อแม่และภรรยากับลูกก็อยู่ที่นี่ ฉินสือโอวยังต้องไปดูฟาร์มปลาหน่อย ดีที่สองที่ไม่ไกลกัน ห่างแค่ประมาณยี่สิบกิโลเมตร ขับรถก็แค่สิบกว่านาที ถนนในอุทยานแห่งชาติกว้างแถมยังคนน้อย ขอแค่ไม่มีสัตว์ขวางทางก็ซิ่งได้อย่างวางใจ

กลับมาถึงตึกเล็ก ฉินสือโอวเห็นในบ้านมีรูปปั้นสองอันที่ชาลส์ มอร์รี่ให้มา เขาพึมพำครู่หนึ่งก็ตัดสินใจล้างทำความสะอาดแล้วส่งกลับไป

ความเสียหายที่ตระกูลเมอร์รี่ทำต่อเขาทำให้โมโห เขาตัดสินใจที่จะต่อกรกับตระกูลนี้ ก่อนอื่นก็ต้องโจมตีฟาร์มปลาของพวกเขาก่อน ฉะนั้นเขาเลยไม่อยากรับของขวัญจากพวกเขา ในเมื่อเป็นศัตรูกันก็มาปะทะกันซึ่งๆ หน้าเลยดีกว่า ไอ้การทำหน้ายิ้มแต่ลับหลังถือมีดลูกผู้ชายอย่างท่านชายฉินทำไม่เป็น

ชาลส์ มอร์รี่ยังอยู่ที่ฟาร์มนี้ พอเห็นฉินสือโอวเอารูปปั้นสองอันมาที่บ้านก็เผยสีหน้าลนลานออกมาแล้วร้องตะโกนขึ้น “เฮ้ คุณทำอะไรน่ะ?”

ฉินสือโอวคิดว่าเขาตอบสนองได้อ่อนไหวมาก ไม่ได้คิดอะไรเยอะก็วางรูปปั้นทั้งสองลงแล้วพูดขึ้น “เอาล่ะ ชาลส์ พวกเรามาพูดกันแบบตรงๆ ไม่ปิดบัง อย่างแรกเอาจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าคุณยังอยู่ที่นี่อีก ผมคิดว่าคุณกลับนิวยอร์กไปแล้ว ดูท่าตระกูลมอร์รี่ของพวกคุณไม่ชอบหน้าผมขนาดนั้น นี่คืออยู่ที่นี่เพื่อต่อกรกับผมงั้นเหรอ?”

“ที่จริง ขอบคุณที่คุณเคยมอบเจตนาอันดีให้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเราไม่ลงรอยกัน ดังนั้นต่อไปพวกเราก็ต่อกรปะทะกันซึ่งหน้าในธุรกิจจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องให้ของขวัญอะไรผมอีก ขอบคุณมาก”

วางรูปปั้นทั้งสองลงเสร็จ เขาไม่ได้ให้โอกาสชาลส์ตอบโต้ก็ตรงกลับขึ้นรถแล้วขับไปที่ฟาร์มปลา ในขณะเดียวกันก็ปล่อยจิตสำนึกโพไซดอนเข้าไปในฟาร์มปลาของตระกูลมอร์รี่ เตรียมจะย้ายทรัพยากรปลาทั้งหมดมาที่ถิ่นของตัวเองแทน

จิตสำนึกโพไซดอนเข้าไปในฟาร์มไม่นานตอนที่ผ่านท่าเรือจู่ๆ เขาก็เห็นว่าที่ก้นทะเลท่าเรือมีรูปปั้นสองอันอยู่ อันหนึ่งเป็นรูปปั้นหินอ่อนโพไซดอน อีกอันเป็นรูปปั้นเรือลำหนึ่ง

มองปราดเดียวเขาก็ดูออก รูปปั้นสองอันนี้ก็คือของขวัญที่ชาลส์ มอร์รี่เคยให้เขา เขาเพิ่งจะให้กลับไป ทำไมชาลส์ มอร์รี่ทิ้งมันเสียแล้วล่ะ?

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท