ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1896 ฉันชื่อทา

บทที่ 1896 ฉันชื่อทา

เมื่อได้แบ่งงานที่ฟาร์มปลาแห่งที่สามเสร็จ ฉินสือโอวก็สบายใจขึ้นเยอะ ทุกอย่างมีคนคอยดูแลแล้ว วินนี่และเออร์บักยังคงจ้างทนายความและนักบัญชีสำหรับดูแลทรัพย์สินของเขา เขาสามารถนอนอยู่เฉยๆ แล้วทำเงินได้จริงๆ

เขาใช้วันที่เหลือกลับไปยังเกาะแฟร์เวล เขาเริ่มทำหน้าที่ดูแลเด็กๆ ส่วนวินนี่ก็ไปทำงาน แบบนี้เขาจึงกลายเป็นพ่อบ้าน

ลูกชายของเขาโตอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งขวบเขาก็สามารถเดินและพูดได้ แต่ว่าพูดได้เพียงคำง่ายๆ เท่านั้น เช่นว่า “พี่ตีผม” “พี่ทำผมกลัว” “พี่แกล้งผม” “ไม่เอาพี่” “พี่อย่าทำ”

เถียนกวาทำเหมือนกับน้องชายเป็นของเล่น เธอชอบน้องของเธอมากขึ้นเท่าไร ซีกวาก็ยิ่งกลัวเธอมากขึ้นเท่านั้น เขาอยากจะเล่นของเล่น ไม่ได้อยากเป็นของเล่น

แน่นอนว่า เขามียังของเล่นและเพื่อนเล่น นั่นก็คือลูกหมาป่าที่น่ารักทั้งห้าตัว

อาจจะเป็นฉินสือโอวเลี้ยงพวกมันโดยการแอบป้อนพลังโพไซดอนให้ เหล่าลูกหมาป่าจึงรักซีกวาเป็นพิเศษ ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาว พวกมันจะนอนบนเตียงด้วยกันกับเขา

การฉลองวันคริสมานสต์ของฉินสือโอวคือการนั่งบนพื้นเล่นกับลูกสาวและลูกชาย พร้อมกับตรวจตราฟาร์มปลาเป็นปกติ

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนวนเวียนอยู่ในฟาร์มปลาครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาเจอเข้ากับวาฬหัวทุยที่กลับมาแล้ว สิ่งนี้ค่อนข้างพบเจอได้ยาก วาฬหัวทุยไปทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงฤดูหนาวที่น่านน้ำเย็นๆ อย่างน้อยมันก็ไปยังฟาร์มปลาแห่งที่สามที่มีอุ่นกว่า แต่น้อยมากที่มันจะกลับมา

ในตอนนั้นเขาไม่สังเกต จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสำรวจฝูงวาฬอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยจากไป แต่ว่าไม่นานมันก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้มันจะเห็นวาฬตัวหนึ่งในฝูงที่แตกต่างจากตัวอื่น วาฬตัวนั้นคือวาฬหัวทุยชราที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขาตื่นตระหนก หลังจากนั้เขาก็หามันเท่าไรก็หาไม่เจอ!

เมื่อได้รับปฏิกิรยาตอบสนอง เขาก็รีบส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับไปยังฝูงวาฬนั้นทันที ปรากฏว่าไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่เจอวาฬหัวทุยตัวนั้น

แต่ว่าฝูงวาฬนั้นทำให้รู้ได้แน่ชัดว่าวาฬหัวทุยตัวนั้นได้กลับมาแล้ว พวกมันลอยอยู่ในน้ำทะเลอย่างนิ่งสงบอย่างรอคอย พวกมันไม่ได้ว่ายน้ำไปมารอบๆ เหมือนที่เคยชอบทำ

โชคดีที่ฟาร์มปลาแห่งนี้เป็นที่ดินส่วนตัวของเขา ไม่นานจิตสำนึกโพไซดอนก็กระจายตัวออกไปรอบๆ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเขาก็เจอกับวาฬหัวทุยชราตัวหนึ่ง มันกำลังว่ายไปทางทิศตะวันออก มันเคลื่อนตัวไปช้าๆ ดูเหมือนว่ามันจะอายุมากกแล้วจริงๆ

หลังจากที่จิตใจสงบลง ฉินสือโอวก็เข้าใจมันเพื่อสำรวจ

ครั้งที่แล้วที่เขาเห็นวาฬชราตัวนี้ เขารับรู้ได้ถึงจิตสำนึกของมัน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อมาเจอกันครั้งนี้ วาฬตัวนี้เอาแต่ว่ายน้ำอยู่เงยบๆ เเหมือนกับปลาชราธรรมดาทั่วๆ ไป

หลังจากสังเกตมันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้ไปอยู่ที่ปลาค็อดตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้กับวาฬหัวทุยชรา หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยจิตสำนึกของตัวเองพูดกับวาฬชรา “สวัสดี นายเป็นใครกัน?”

วาฬหัวทุยชราไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ มันตั้งหน้าตั้งตาว่ายน้ำไปยังทิศตะวันออก ราวกับว่าที่นี่ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของมันได้

ฉินสือโอวลองปล่อยจิตสำนึกออกไปอีกครั้ง วาฬหัวทุยชราไม่ตอบรับอะไรเลย หรือว่ามันแกล้งไม่ตอบรับกันนะ ดังนั้นเขาจึงควบคุมปลาค็อดให้ว่ายเข้าไปขวางหน้าวาฬหัวทุยชราไว้ ถ้าหากต้องการที่จะหยุดมัน เขาต้องคิดอย่างรอบคอบ

ปรากฏว่า เรื่องเศร้าก็ได้เกิดขึ้น ปลาค็อดแอตแลนติกที่ว่ายอยู่หน้าวาฬหัวทุยนั้น ทำให้วาฬหัวทุยอ้าปากกว้างและกัดมันคาดเป็นสองท่อนดัง ‘กรวบ’ จากนั้นมันก็กินปลาค็อดแอตแลนติกเข้าไปจนหมด!

แม่งเอ๊ย ฉินสือโอวตกใจกลัวขึ้นมาทันที ยังดีที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไม่ได้โดนกินเข้าไปด้วย เขาจึงผ่อนคลายลง เพราะเหตุการณ์นี้ เขาจึงทำได้เพียงยึดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกับตัวของวาฬหัวทุยชราตัวนี้

แล้วก็เกิดเรื่อที่ทำให้เขาตกใจอีกครั้ง จิตสำนึกแห่งโพไซดอนนั้นติดอยู่กับปลาทะเลทุกชนิดมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่ามันไม่สามารถที่จะติดอยู่กับวาฬหัวทุยชรานี้ได้!

ไม่มีทางเลือก ฉินสือโอวทำได้เพียงเข้าควบคุมวาฬหัวทุยตัวใหญ่ที่เป็นจ่าฝูง แล้วทำให้มันรีบว่ายมาที่นี่อย่างรวดเร็ว

วาฬหัวทุยชราว่ายน้ำไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน แต่ทิศทางมุ่งไปยังทิศตะวันออกเสมอ แต่ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าที่ตรงนั้นมีอะไร

เพราะเหตุนี้ ฉินสือโอวจึงคิดถึงการไปยังทิศตะวันออก ทันใดนั้นแสงสว่างแห่งปัญญาก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา เขารู้แล้วว่าวาฬหัวทุยชรากำลังหาอะไรอยู่ หลุมน้ำเงิน! แมลงยักษ์สีดำ! พวกมันกำลังว่ายน้ำตามเส้นทางของวาฬหัวทุยชรา!

ยังดีที่วาฬหัวทุยชรานั้นเคลื่อยไหวช้า วาฬหัวทุยที่จะเป็นจ่าฝูงนั้นกำลังว่ายน้ำมาด้วยความเร็วสูง เมื่อบวกเข้ากับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้ว ควมเร็วในการว่ายน้ำของมันก็เพิ่มมากขึ้น ในที่สุดหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงมันก็มาสกัดวาฬหัวทุยชราไว้ได้

ฉินสือโอวรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลัง พวกมันทั้งสองยังอยู่ห่างกันมาก เขาบอกได้เพียงว่าเมื่อตอนที่เขาเข้าควบคุมวาฬหัวทุยจ่าฝูง วาฬหัวทุยชชราก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ทันใดนั้นมันก็สั่งให้ฝูงวาฬหัวทุยออกไปจากฟาร์มปลา และตัวมันก็วาฬไปยังหลุมน้ำเงินอย่างสบายใจ

เมื่อพาวาฬหัวทุยจ่าฝูงเข้าใกล้ วาฬหัวทุยชราก็รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น แต่ว่ามันไม่ได้ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกมาโดยตรง อีกทั้งมันยังเฝ้าระวังวาฬหัวทุยจ่าฝูง ในขณะที่ลอยตัวอยู่ในน้ำช้าๆ

ฉินสือโอวไม่สามารถอดทนอยู่เงียบๆ ได้อีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เขาเข้าไปใกล้วาฬหัวทุยชรา เขาก็พูดผ่านจิตสำนึกแห่งโพไซดอนโดยตรงกับมันว่า ​”สวัสดี นายเป็นใครกัน?”

ร่างกายของวาฬหัวทุยชรานั้นแข็งทื่อไปชั่วขณะ เขาสังเกตได้จากการที่ร่างของมันเอียงจมลงไปน้ำช้าๆ

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรนี้สามารถอธิบายได้ดังนี้ ใต้น้ำทะเลลึกประมาณร้อยยี่สิบเมตรจะเกิดแรงโน้มถ่วงย้อนกลับ นั่นหมายความว่า วัตถุใดก็ตามที่ลอยตัวอยู่ในน้ำลึกนี้ มันจะไม่ลอยตัวขึ้นไปข้างบน แต่จะถูกน้ำทะเลทำให้จมลงแทน

สิ่งนี่ก็เป็นเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรืออับปาง แม้ว่าจะมีแรงในการลอยตัวสูง แต่หลังจากที่มันจมลงสู่ใต้ท้องทะเลลึก พวกมันจะไม่ลอยตัวขึ้นอีก แต่จะจมลงสู่ใต้ท้องทะเล

หลังจากที่จมลงไปในทะเลมากกว่าสิบเมตร วาฬหัวทุยชราก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมา มันแกว่งครีบเพื่อปรับสมดุลอีกครั้ง หลังจากนั้นมันก็ลอยตัวอยู่ในน้ำและมองมายังฉินสือโอวด้วยความระมัดระวัง แต่มันไม่ได้ปล่อยจิตสำนึกออกมา

ฉินสือโอวเชื่อว่ามันเข้าใจความหมายของเขา แต่แววตาอันหวาดระแวงของมันนั้นสดใสมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก มีจิตวิญญาณเหมือกับหู่จือและเป้าจือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“สวัสดี นายเป็นใคร?”

“สวัสดี ทำไมนายไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”

“สวัสดี เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นเหรอ?”

เขาค่อยๆ ปล่อยจิตสำนึกอันอ่อนโยนของตัวเองออกมาแล้วถามคำถามทีละคำถาม แต่วาฬหัวทุยชราก็ไม่ตอบอะไรกลับมา มันทำเพียงมองมายังฉินสือโอวอย่างระวัง

เพราะแบบนี้ความอดทนของฉินสือโอวจึงหมดลง เขาพูดออกมาตรงๆ ว่า “หากนายยังไม่พูดอีก ฉันจะจับนายกินแล้วนะ!”

ถือว่าการขู่ยังมีประโยชน์อยู่ หลังจากที่เขาพูดคำนั้นออกมา วาฬหัวทุยชราก็เคลื่อนไหว หลังจากนั้นมันก็ส่งเสียงคลื่นออกมาเป็นเสียง ‘ทาทาทา’ วาฬหัวทุยชรารีบพูดออกมาอย่างอายๆ ว่า “ทาทา นายตีฉันไม่ได้หรอก ฉันเคยปกป้องนาย นายกินฉันไม่ได้หรอก นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”

ฉินสือโอวตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวมาแล้ว แต่เขายังถูกจิตสำนึกของวาฬหัวทุยชรานี้ทำให้เขาตกใจ วาฬหัวทุยชราตัวนี้ไม่ได้มีเพียงความคิดของตัวเอง แต่มันยังรู้ว่าอะไรถูกผิด! นี่มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!

จิตสำนึกที่รู้ถูกผิดและจิตสำนึกที่เป็นอิสระนั้นแตกต่างกัน การเป็นอิสระไม่ได้หมายความว่าจะรู้ว่าอะไรถูกผิด เช่นเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นในป่าอันกว้างใหญ่ เขามีความคิดที่เป็นอิสระ แต่เขาไม่รู้อะไรเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิด

แต่วาฬหัวทุยชราตัวนี้รู้ว่าอะไรถูกผิด อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้ว่าต้องมีคนสอนมันเกี่ยวกับเรื่องนี้

……………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท