ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1898 เข้าใจขีดจำกัด

บทที่ 1898 เข้าใจขีดจำกัด

คำอธิบายของวาฬหัวทุยชรานั้นไม่ชัดเจน แต่เมื่อฉินสือโอวนึกถึงข่าวสารและลักษณะที่เออร์บักแนะนำแล้ว สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ก็ชัดเจนยิ่งขึ้น

ตามการคาดเดาและจากเหตุผลของเขา คุณปู่รองของเขาเป็นคนที่ทำตัวสงบสเงียมมาก และเป็นคนระวังตัวเป็นอย่างมาก เขาอาจจะมีปัญหาทางสภาพจิตใจบางอย่าง นั่นก็คือโรคจิตหลงผิดพวกนั้น

หลังจากที่เขาได้รับหัวใจโพไซดอน เขาก็รีบออกจากบ้านและย้ายมาแคนาดาที่อยู่อีกฝากหนึ่งของโลกทันที อีกทั้งหลังจากที่มาถึงแคนาดาแล้ว เขาก็ไม่ได้ติดต่อครอบครัวและญาติพี่น้องอีกเลยจนกระทั่งเขาเสียชีวิต และเขาก็ไม่ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนไหนและไม่มีลูกหลานเลยสักคนเดียว!

ในตอนที่เขามาแคนาดา เขาได้ช่วยกองทัพพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาคงจะมีส่วนในการช่วยเหลือค่อนข้างมาก ทำให้เขาไม่ได้เข้ารับราชการทหารหรือเข้าร่วมกองทัพเพื่อพัฒนาความสามารถต่อไป แต่เขากลับหาที่อยู่นเกาะที่ห่างไกลในต่างแดนทันทีเพื่อที่จะปกปิดชื่อของตัวเอง

คุณปู่รองของเขาเปลี่ยนชื่อเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง บางทีในตอนนั้นฟาร์มปลาต้าฉินคงจะพัฒนาไปมาก แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้แล้วก็ยังเทียบไม่ได้ เมื่อฟาร์มปลามาอยู่ในมือของฉินสือโอว เพียงห้าปี ฟาร์มปลาต้าฉินก็เข้าครอบครองตลาดอาหาระดับสูงทั่วทั้งอเมริกาเหนือ รวมถึงสร้างผลประโยชน์และมีชื่อเสียงในการกำจัดผู้ก่อร้ายมากมาย

แต่เมื่อตอนที่อยู่ในมือของคุณปู่รอง ฟาร์มปลาที่ก่อตั้งมาสิบกว่าปีไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย ต้องบอกก่อนว่าสิบกว่าปีนี้ ความสามารถในการใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนของคุณปู่รองนั้นมากกว่าเขาหลายเท่าตัวแน่นอน

เรื่องนี้เขาไม่ได้คาดเดาไปเอง แต่เป็นวาฬหัวทุยชราที่บอกเขา วาฬหัวทุยชราบอกว่าคุณปู่รองอยู่ที่หนแห่ง ไม่ต้องเข้ามาอยู่ในร่างของวาฬหัวทุยแบบเขาก็สามารถสื่อวารกับมันได้โดยตรง แค่นี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าคุณปู่รองเก่งกาจมากไม่ใช่เหรอ?

เพราะเหตุนี้ คุณปู่รองจึงไม่ได้ใช้หัวใจโพไซดอนในการสร้างธุรกิจการค้าหรือทำธุรกิจใหญ่ๆ แต่เขาใชมันในการจัดการดูแลฟาร์มปลาด้วยความละเอียดอ่อนและระมัดระวัง

ฉินสือโอวเชื่อว่า ถ้าเขาและคุณปู่รองสลับอายุกัน เขาได้รับหัวใจโพไซดอนมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เกรงว่าเขาคงจะเข้าผนึกพรหมแดนเข้าด้วยกันและก่อตั้งประเทศของตัวเองขึ้นมาแล้ว!

แน่นอนว่า เขาอาจจะถูกฆ่าและหั่นออกเป็นชิ้นๆ ก็ได้ สุดท้ายแล้วมนุษย์เราในแต่ละช่วงสมัยก็ได้จะรับสิ่งของในแต่ละช่วงนั้นต่างกันออกไป

ในปัจจุบันกุ้งและปลาที่มีคุณภาพสูงเหล่านี้ที่เกิดจากพลังโพไซดอนถูกผู้คนคิดว่าสาเหตุมาจากน้ำทะเลที่ใสสะอาดอันเป็นผลจากปรับปรุทางวิทยาศาสตร์ของฟาร์มปลาต้าฉิน ที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่หกเจ็ดปีก่อน บางทีผู้คนอาจจะรู้สึกทำใจยากที่จะต้องยอมรับ ที่พวกเขาจะมองว่าคุณปู่รองเป็นร่างอวตารของสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล

อย่างไรก็ตาม ในเศษเสี้ยวหนึ่ง พวกเขาก็ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลจริงๆ

เมื่อมาคิดดูแล้ว ฉินสือโอวเข้าใจความคิดและการกระทำของคุณปู่รอง พูดกันตามตรงว่ามาจนถึงตอนนี้แล้วแม้ว่าเขาจะตายด้วยโรคชราตามธรรมชาติ แต่แมลงอายุยืนมันสามารถยืดอายุได้จริงเหรอ? เขาจะสามารถแก่ไปได้จนถึงอายุเก้าสิบปี หนึ่งร้อยปี หนึ่งร้อยสิบปี หรืออาจจะร้อยยี่สิบปี หรือว่าร้อยห้าปีสิบกันนะ?

ไม่ เขาไม่กล้า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่กล้า แต่เมื่อเขาอายุหกสิบเจ็ดสิบปีอาจจะลองดูก็ได้ ใครจะรู้ว่าตอนนี้ขีดจำกัดในการอายุยืนจะอยู่ที่เท่าไร?

วาฬหัวทุยชรามองดูเขาด้วยความอาย ในขณะที่ฉินสือโอวกำลังเงียบ มันก็ก้มหัวลงทะเลเหมือนกับจะขุดลงไปข้างล่าง

ฉินสือโอวยิ้มออกมา วาฬตัวนี้ไม่รู้ว่าเขาเก่งกาจแค่ไหน เขารีบสกัดกั้นวาฬหัวทุยชราทันที และพูดคุยกับอีกสักพัก

เขาอยากรู้ว่าวาฬหัวทุยชรานี้มีจิตสำนึกที่เป็นอิสระได้อย่างไร และเขาก็อยากรู้วิธีที่จะทำให้สัตว์อื่นๆ มีจิตสำนึกที่เป็นอิสระเหมือนกัน หากว่าเป็นวาฬเบลูก้า หรือคราเคนที่สามารถสื่อสารกับเขาได้ แบบนั้นคงจะยอดเยี่ยมแน่ๆ

แต่ทาไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มันบอกว่าจู่ๆ วันหนึ่งมันก็มีสติจิตสำนึกแบบตอนนี้ คุณปู่ฉินตั้งชื่อให้มันว่าทา เพราะว่าวาฬหัวทุยมักจะส่งเสียงคลื่นในน้ำออกมาเป็น ทาทาทา…

ทาก็เป็นชื่อของวาฬหัวทุยตัวอื่นด้วยเหมือนกัน เช่น วาฬหัวทุยหัวหน้าฝูงชื่อทาทา และก็ยังมีทาทาทา ทุกชื่อนั้นชื่อทาหมด เพียงแค่จะมีกี่ทาเท่านั้นที่ต่างกัน

โลกนี้กว้างใหญ่นัก เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจเท่าไร ครั้งนี้ฉินสือโอวได้รับรู้แล้ว ชีวิตที่มีจิตสำนึกอิสระนั้นเกิดขึ้นในท้องทะเล ถ้าหากว่าลูกหลานของวาฬตัวนี้มีจิตสำนึกอิสระ งั้นต่อไปจะมีสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่เป็นอัจฉริยะเกิดขึ้นในท้องทะเลหรือเปล่านะ?

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ฉินสือโอวก็ตามวาฬหัวทุยชราไปยังหลุมน้ำเงิน ที่นั่นเป็นพื้นที่ของเขา เขาสั่งให้ฝูงงูเหลือมทะเลปกป้องที่นี่ไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดทะเลฆ่าแมลงยักษ์สีดำ ดังนั้นหากเขาไม่มาด้วย ทาก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวแมลงยักษ์สีดำได้

เขาถามทาว่าต้องการเท่าไร ทาบอกว่าต้องการทานแค่เปลือกอันเดียวเท่านั้น ทุกครั้งที่มันกินปลือกเข้าไปหนึ่งมันก็จะอายุยืนยาวไปอีกนาน นานแค่ไหนไม่มีใครรู้ มันก็ไม่รู้ เพราะว่ามันไม่ได้มีความคิดที่ต้องคำนวณเรื่องเวลา…

แต่ว่า ทุกครั้งที่กินเปลือกแมลงไป ในระหว่างการย่อยสลาย มันยังคงสลายบางอย่างไม่ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือร่างกายของมันสังเคราะห์สารใหม่ขึ้นในร่างกาย สำหรับฉินสือโอว มันก็คืออำพันทะเลของแท้

ในหลุมน้ำเงินมีซากเปลือกของแมลงยักษ์สีดำที่ตายแล้วอยู่ข้างใน ฉินสือโอวหยิบมาหนึ่งอันส่งให้ทา แต่ของพวกนี้มีราคา มันจะต้องอาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลา

ทาถามขึ้นด้วยความเกรงกลัวว่าจะมีคนมาฆ่ามันหรือเปล่า ฉินสือโอวรับปากว่าไม่มีใครมาฆ่าแน่นอน แต่ว่าวาฬตัวนี้ขี้กลัวเป็นอย่างมาก มันบอกว่ามันจะลงไปหลบในทะเลลึก

ในที่สุดฉินสือโอวก็บอกว่าเขาสามารถป้อนพลังโพไซดอนให้มันได้ เพราะเหตุนี้จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงตัดสินใจอยู่ต่อ เนื่องจากมันอาศัยกินเปลือกของแมลงยักษ์สีดำ แม้ว่ามันจะมีอายุที่ยืนยาว แต่มันก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่พลังโพไซดอนสามารถทำให้มันมีพลังมากพอ เมื่อพลังโพไซดอนและเปลือกแมลงผสมเข้าด้วยกันทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่มัน

ฉินสือโอวป้อนพลังโพไซดอนเข้าไปเล็กน้อย ผิวของมันค่อยๆ กระชับขึ้น และเริ่มมันวาว

หลังจากวันนั้น สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือสถานการณ์ของทา ในขณะเดียวกันเขาก็สั่งให้สโนว์บอล ไอซ์สเกต และบีนไปดูแลทาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการป้อนพลังโพไซดอนเข้าไปในน้ำทะเล

ชีวิตที่มีจิตสำนึกอิสระนั้นมีอำนาจเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตสำนึก ไม่รู้ว่าทาคุยกับพวกมันทั้งสามารถตัวอย่างไร แต่หลังจากที่พวกมันอยู่ด้วยกัน เจ้าตัวเล็กทั้งสามก็ชอบมันเป็นอย่างมาก และก็ติดมันมากด้วย

แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว เด็กน้อยทั้งสามตัวเป็นเด็กที่โชคดีมาก แม่ของสโนว์บอลนั้นถูกเรือล่าวาฬญี่ปุ่นฆ่า ไอซ์สเกตถูกแม่ทิ้ง ส่วนบีนนั้นถูกฝูงทิ้ง ทาจึงเปรียบเสมือนผู้อาวุโสในหมู่พวกมัน

ผ่านไปสองเดือนกว่า ก็มาถึงวันปีใหม่ทางจันทรคติ ทามอบของขวัญวันปีใหม่ให้แก่ฉินสือโอว มันคายของสีดำเทาที่ขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลออกมา สิ่งนี้ไม่เหมือนกับอำพันทะเล เมื่อตอนที่มันออกมา ของสิ่งนี้ค่อนข้างอ่อนนุ่ม รูปร่างทรงกลมของมันเกิดจากการกลิ้งไปมาในน้ำ

อำพันทะเลอื่นๆ สร้างความรู้สึกเดียวกันให้กับฉินสือโอว เมื่อเขามองไปที่ของสิ่งนั้น สัญชาตญาณของเขาสั่งให้เขากลืนมัน หลังจากที่กลืนมันเข้าไป เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา และสัมผัสได้ถึงการทำงานของหัวใจโพไซดอนที่แข็งแกร่งขึ้น!

ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวสามารถแยกจิตสำนึกออกได้แปดสาย อีกทั้งยังยืมพลังของสิ่งมีชีวิตได้ ทำให้จิตสำนึกโพไซดอนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้ หลังจากที่เขาสำรวจเสร็จเขาก็รู้สึกถึงพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ในตอนที่เขาป้อนพลังโพไซดอนให้กับสิ่งมีชีวิต ซึ่งพลังโพไซดอนนี้เร่งการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตได้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่ว่า ยิ่งสิ่งมีชีวิตมีอายุมากเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะน้อยลง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้พลังโพไซดอนมากขึ้น

ตัวอย่างเช่นใช้จิตแห่งสำนึกโพไซดอนเหมือนกัน แต่เมื่อใส่เข้าไปในสาหร่ายทะเล มันก็สาารถเติบโตกลายเป็นสาหร่ายขนาดใหญ่หลายสิบเมตรภายในเวลาหนึ่งนาที ถ้าหากว่าให้พลังไปในปลาแฮร์ริ่ง ลูกปลาจะสามารถเปลี่ยนเป็นปลาตัวเต็มวัยที่ขนาดสิบเซนติเมตรได้ และถ้าใช้กับปลาทูน่าครีบน้ำเงิน จะทำให้มันมีขนาดตัวที่เพิ่มขึ้นเพียงสองเซนติเมตรเท่านั้น…

แน่นอนว่านี่คือผลจากพลังโพไซดอนเพียงแค่หน่วยเดียว ถ้าหากว่าฉินสือโอวยังคงป้อนให้อย่างต่อเนื่อง และพวกมันสามารถทนได้ พวกมันก็จะโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ว่าในแต่ละสายพันธุ์มีขีดจำกัดในการเติบโตเสมอ เช่น สาหร่ายสีน้ำตาลสามารถยาวได้ถึงหนึ่งร้อยเมตร เมื่อถึงขีดจำกัดของมัน ไม่ว่าจะใส่พลังโพไซดอนเข้าไปมากแค่ไหนก็ตาม พวกมันจะหยุดโต แต่จะทำให้พวกมันปล่อยสปอร์ออกมาก่อนเวลาแทน

…………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท