ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1899 พระราชวังโพไซดอน

บทที่ 1899 พระราชวังโพไซดอน

ฤดูหนาวผ่านไป และฤดูใบไม้ผลิก็กลับมาอีกครั้ง

ฤดูหนาวในปีนี้ที่แคนาดาหิมะตกนักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในนิวฟันแลนด์ หิมะตกติดต่อกันสามวันห้าวัน โรงเรียนมัธยมในมหานครเซนต์จอห์นยังเปิดทำการเรียรปกติในช่วงเวลานี้ แต่เมื่อตระหนักได้ถึงอากาศที่ไม่มี โรงเรียนจึงได้ประกาศหยุดยาวเป็นนักเรียนเป็นกรณีพิเศษ

ฉินสือโอวจึงใช้โอกาสนี้ เขาพาพาวลิสไปสัมผัสการแข่งขันรถเอฟวันเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าไม่ใช่ที่แคนาดา แต่ว่าในออสติน พวกเขาไปร่วมดูการแข่งขันเอฟวันที่อเมริกา

ออสตินสปีดเวย์ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา สนามแห่งนี้สร้างโดยนักออกแบบการแข่งขันเอฟวัน แฮร์มัน ทิลเคอ ความยาวของรอบการแข่งขันคือห้ารอบ ระยะทางห้ากิโลเมตร มีทางโค้งทั้งหมดยี่สิบโค้ง ตั้งแต่ฤดูกาลในปีสองพันสิบสองเป็นต้นมาสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสนามแข่งรถแห่งใหม่ของการแข่งเอฟวัน ซึ่งมีสัญญาในการใช้สนามเป็นระยะเวลาสิปปีจนถึงปีสองพันยี่สิบเอ็ด

การแข่งขันที่สนามนี้เข้มข้นเป็นอย่างมาก เพราะว่าสนามที่ออสตินแห่งนี้นั้นมีจุดเด่น นั่นก็คือความผันผวนของความสูงบนเนิน ความสูงจากเนินลงมาถึงพื้นสูงถึงสิบสี่เมตร ในขณะเดียวกันก็มีทางโค้งที่ต้องใช้ทั้งความเร็วสูงและความเร็วต่ำผสมอยู่ด้วย ทำให้ความกดดันในการแข่งรถนั้นสูงเป็นอย่างมาก

แฮมิลตัน เวทเทล ทีมรถแข่งเฟอร์รารี่ที่มีดาราดังอย่างรอสเบิร์ก และทีมเรดบลูกำลังแข่งขันกันอยู่ในสนาม พาวลิสมองไปยังสนามด้วยความรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

ในที่สุดแฮมิลตันก็ได้รับชัยชนะ ทีมเมอเซเดส เอเอ็มจีเฉิดฉายในการแข่งขันเป็นอย่างมาก พวกเขาได้รับเสียงปรบมือและความสนใจจากผู้ชมมากที่สุด

เมื่อการแข่งขันจบลง ฉินสือโอวก็พาพาวลิสเข้าไปยังห้องพักเก็บตัวนักกีฬา นี่คือประโยชน์ของการมีอำนาจและเงิน เขาเข้ามายังการแข่งขันในครั้งนี้ผ่านช่องทางของบอมบาร์เดียร์ และได้มีการแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าเขาต้องการพบกับแฮมิลตัน บอมบาร์เดียร์เป็นผู้จัดการทุกอย่างให้เขา

แฮมิลตันเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นฉินสือโอวเขาก็ยื่นมือออกมา เขายิ้มแล้วพูดออกมาว่า “คุณฉิน อาหารทะเลของคุณนั้นมีรสชาติที่อร่อยมาก อีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วย ผมเป็นแฟนตัวยงแบรนด์อาหารทะเลของคุณเลยครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้พบคุณวันนี้”

วันนี้ตัวเอกไม่ใช่เขา ฉินสือโอวแนะนำพาวลิสแก่แฮมิลตันอย่างสุภาพอยู่สองสามคำ พลางตบบ่าของพาวลิส “เด็กคนนี้เป็นแฟนตัวยงของคุณเลยนะครับ คุณแฮมิลตัน เขามีคุณเป็นไอดอลมาตลอดเลย เขาจึงตั้งมาตรฐานของตัวเองไว้สูงมาก ใช่แล้ว เขามีความฝันอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือสามารถแข่งรถในการแข่งขันเอฟวันเหมือนคุณในสักวันหนึ่ง”

แฮมิลตันได้รับการกำชับจากเจ้าของเมเซเดส เอเอ็มจีมานานแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงนั่งคุยกับพาวลิสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตั้งแต่ชีวิตของเขามการฝึกฝนไปจนถึงการแข่งขัน

การพูดคุยกับไอดอลนั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจจากเขาได้มากมาย พาวลิสได้รับกำลังใจมามากทีเดียว หลังจากนี้ทั่งชีวิตของเขาก็จะมุ่งไปเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา

สภาพร่างกายของไวส์นั้นแข็งแรงขึ้นทุกวัน ตอนนี้เขาเหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยตัวหนึ่ง คู่สามีภรรยาจอร์จ บรูซดีใจเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ยังมีเรื่องกังวลใจอยู่ นั่นก็คือไวส์ไม่คิดที่จะเข้ามาสานต่อกิจการของพวกเขา ความฝันของเขาคิอการถือกัดแกว่งดาบ ต่อสู้ท่องยุทธภพไปเรื่อยๆ

แน่นอนว่า ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่นักเรียนชั้นมัฐยมต้น ยังต้องเรียนมหาวิทยาลัยอีก ละยังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องทำ

มิเชลได้รับคำเชิญจากมหาวิทยาลัยมากมาย เขาเป็นนักบาสเกตบอลที่มีความสามารถที่สุดในแคนาดา ชื่อเสียงของสัตว์ประหลาดน้ำดังไปทั่วอเมริกาเหนือ อีเอสพีเอ็น และสื่ออื่นๆ จดจำเขาในฐานะแชมป์เปี้ยนของเอ็นบีเอ ดราฟต์

สำหรับการเลือกมหาวิทยาลัย ตอนนี้มิเชลกังวลเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าจะเลือกเข้าที่ไหนดี ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนเขาก็กลายเป็นจุดสนใจและซุปเปอร์สตาร์ มหาวิทยาลัยทุกที่พร้อมที่จะทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อฝึกฝนเขา

หลังจากจบเกมที่มิเชลเล่นหน่วยงานที่เหมือนกับสายลับก็บอกว่า “เด็กชายคนนี้คือผู้ที่ได้จองตำแหน่งออลสตาร์และฮอลออลเฟมไว้แล้ว ฝีมือในการเล่น และรูปร่างของเขารวมถึงคุณธรรมในตัวของเขานั้น อาจจะทำให้เขากลายเป็นดาราที่ดีที่สุดที่เคยมีมาในเอ็นบีเอ”

คนที่กังวลเกี่ยวกับการไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีกคนหนึ่งก็คือกอร์ดอน เด็กคนนี้เคยชินกับการเรียนไปแล้ว เขาไม่สนใจที่จะเรียนเลยสักนิด แม้ว่าผลการเรียนของเขาจะค่อนข้างสวยงามตามแรงกระตุ้นจากวินนี่และฉินสือโอว แต่เขาไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการเป็นดารา และสองคือการเป็นชาวประมงในฟาร์มปลา

ตามหลักสูตรการเรียนของแคนาดา วินนี่รู้สึกว่าการเป็นชาวประมงไม่ได้มีอะไรไม่ดี เช่นเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา หรือทนายความ งานทุกงานเป็นงานที่ดีและมีคุณธรรม

แน่นอนว่า สาเหตุหลักมาจากการที่เขามีตัวอย่างที่ดี นั่นก็คือฉินสือโอว

นับวันเชอร์ลี่ย์ก็ยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ ทั้งควาวสวยและนิสัยใจคอรวมถึงความสามารถของเธอนั้นทำให้เธอเป็นหญิงสาวที่เพรียบพร้อมหาตัวจับยาก อย่างน้อยทักษะการป้องกันตัวเธอก็สามารถยิงธนูได้ ไม่ว่าเชอร์ลี่ย์จะปรากฏตัวที่ใด เธอก็จะได้รับความสนใจและได้รับคำชมมากมาย

ตอนนี้สิ่งที่โลลิต้ากังวลที่สุดคือ เธอจะทำอย่างไรกับดอกไม้และจดหมายที่เธอได้จากโรงเรียนทุกวันดี? ดังนั้น อนาคตของเธอนั้นยังคงอีกยาวไกล

ฟาร์มปลาเริ่มมีสีสันมากขึ้นตั้งแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิ สวนดอกไม้เต็มไปด้วยสีเขียวขจี บางครั้งก็มีผีเสื้อบินเข้ามาร่ายรำอยู่ข้างดอกไม้นานาชนิด

สวนดอกไม้หลากหลายแบบก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป วินนี่มักจะชอบพาลูกสาวและลูกชายเข้าไปพักผ่อนในสวนดอกไม้ ในขณะที่เดินเล่นเธอก็จสอนภาษาจีนแก่ลูกๆ ของเธอไปด้วย

ฉินสือโอวอดที่จะหัวเราะไม่ได้ในขณะที่มองดูเด็กแสบทั้งสองคนท่องบทกลอนสมัยราชวงศ์ถังและซ่งพลางส่ายหัวไปด้วย เขาถ่ายรูปและวีดิโอไว้มากมาย เมื่อพวกเขาโตขึ้นแล้วมองย้อนกลับมาในรูปพวกนี้ มันจะต้องสนุกเป็นอย่างมาก

แต่ว่าครั้งนี้เขาไม่สามารถถ่ายรูปลูกและภรรยาของตัวเองได้นาน เขารอจนวินนี่พาลูกๆ กลับมา เขาโบกมือให้เถียนกวาพาซีกวาไปเล่น “ปาป๊ามีเรื่องที่จะต้องไปจัดการกับหม่าม๊า”

เมื่อเถียนกวาเห็นท่าทางของฉินสือโอวเธอก็รู้สึกเหมือนเห็นการนิรโทษกรรม เธอสะบัดแขนออกอย่างรวดเร็วและวิ่งออกไปราวกับกวาง ซีกวาวิ่งตามไปด้านหลัง พลังร้องออกมาอย่างร้อนรนว่า “พี่ๆๆๆ พี่ไม่ต้องการซีกวาแล้วเหรอ?”

“รีบวิ่งเร็วเข้า หม่าม๊าอาจจะจับนายไปท่องกลอนต่อได้นะ!”

“ฮือฮือ ซีกวาวิ่งไม่เร็ว…”

เถียนกวาไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดวิ่ง เธอกลอกตากลมที่เหมือนกับวินนี่ไปมา แล้วหันมาจับแขนของน้องชาย ก่อนจะออกตัววิ่งลากเขาไปด้วย

หลังจากมองเด็กทั้งสองคนวิ่งหายไปจนลับตา วินนี่ก็กอดอกแล้วมองไปยังฉินสือโอว จากนั้นเธอก็ถามกลั้วหัวเราะว่า “เฮ้ ที่รัก มีเรื่องอะไรที่ต้องไม่ให้ลูกเราอยู่ด้วยเหรอคะ?”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขาทำดวงตาเปล่งประกายแล้วถามกลับว่า “คุณว่ายังไงล่ะ?”

วินนี่มองไปรอบๆ แก้มทั้งสองข้างมีสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้น เธอตอบอย่างเขินอายว่า “ที่นี่งั้นเหรอ? แม้ว่าฉันจะอยากมีลูกอีกคน แต่ที่นี่คงไม่เหมาะสมมั้งคะ?”

เมื่อได้ยินคำนั้น ฉินสือโอวก็แทบจะล้มลงกับพื้น เขาเงียบไปครู่หนึ่ง พอผู้หญิงแต่งงานและมีลูกแล้วพวกเธอเอาเรื่องศีลธรรมออกไปจากตัวหมดแล้วงั้นหรอ?

เขาจับมือวินนี่แล้วพาเธอเดินออกมา “ผมจะพาคุณไปดูอะไรสักหน่อยน่ะ”

“อะไรเหรอคะ?”

“ความลับ!” ฉินสือโอวยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “ตามผมมา ผมรับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่!”

เขาส่งชุดดำน้ำให้วินนี่ ฉินสือโอวเองก็สวมชุดเป็นลักษณะเดียวกัน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ดำลงน้ำไป และค่อยๆ จมลงไปในน้ำ

เมื่อตอนที่พวกเขากำลังลงสู่ก้นทะเล ความสับสนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวินนี่ เธอมองไปยังก้นทะเลด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองผิวน้ำ เธอถามฉินสือโอวผ่านเครื่องสื่อสารใต้น้ำว่า “พระเจ้า ที่ส่องแสงอยู่ที่ก้นทะเลมันคืออะไรกัน?”

“พระราชวังโพไซดอน เป็นของขวัญที่ผมมอบให้คุณไงล่ะ!” ฉินสือโอวยิ้มออกมา

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท