ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1900 นี่คือจุดเริ่มต้น

บทที่ 1900 นี่คือจุดเริ่มต้น

ใช่แล้ว นี่คือพระราชวังโพไซดอน นี่คือพระราชวังที่ฉินสือโอวสร้างจากคริสตัล

แน่นอนว่าวินนี่ตกตะลึงมาก เพราะว่าเธอจำลักษณะของพระราชวังนี้ไม่ได้เลย มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ!

ก่อนหน้านี้ พระราชวังแห่งนี้เป็นเพียงกำแพงที่มีเศษแก้วมาซ้อนๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่หลังคาของพระราชวัง แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม คริสตัลพวกนี้ได้รับการขัดเงาอย่างระมัดระวัง แม้แต่ที่ก้นทะเลก็ยังถูกทำให้แบนเรียบราวกับเป็นพื้นรองพระราชวัง

พระราชวังใหม่นี้มีขนาดกว้างใหญ่ อย่างน้อยก็กินพื้นที่ไปประมาณสี่ถึงห้าร้อยตารางเมตร พระราชวังนี้มีแบบจำลองมาจากพระราชวังในสมัยโรมัน มีเสาแก้วทรงกลมหนาอยู่แปดเสา มีซุ้มประตูอยู่ที่ด้านบนของเสาพวกนั้น และมีรูปปั้นอยู่ข้างบน รูปปั้นเหล่านี้ราวกับรูปปั้นเทพธิดา พวกเธอสวมเสื้อผ้าไม่เหมือนกัน บ้างก็อุ้มเด็ก ถือพิณ และดาบแตกต่างกันไป แต่ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างเหมือนกับวินนี่

เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไปในห้องโถง โถงนี้มีลักษณะเป็นห้องโถงส่วนกลางที่กว้างแบบ ทางทิศตะวันตกเป็นลานกว้าง ตรงกลางมีรูปปั้นที่ทำจากคริสตัลตั้งอยู่ เป็นรูปปั้นฉินสือโอวที่สวมชุดเกราะกำลังกอดวินนี่จากด้านหลัง รูปปั้นนี้เหมือนจริงเป็นอย่างมาก

ที่ด้านหลังมีเสาสองต้นประดับอยู่ เสาที่อยู่ข้างในนี้มีขนาดเล็กกว่า ถัดไปเป็นห้องโถงใหญ่ ที่ข้างในทั้งบันได หลังคาโดม และเก้าอี้มากมายหลากหลายสี

สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในพระราชวังนั้นมีสมมาตรทั้งหมด แต่เรื่องเล่าของสิ่งก่อสร้างนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน เหมือนสร้างขึ้นตามความพอใจ ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่ได้มีความยิ่งใหญ่ แต่มีความสวยงาม ละเอียดอ่อน

อันที่จริงแล้วสามารถกล่าวได้ว่าพระราชวังนี้เป็นพระราชวังฉบับเรียบง่าย หากอยู่บนบก บอกไม่ได้เลยว่าพระราชวังที่มีรูปแบบเดียวกันในประเทศจีนจำนวนมากมายจะทำลายความงามของมันมากแค่ไหน แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำมันมีค่ามาก และพระราชวังทั้งหลังนี้ทำจากคริสตัล ทำให้มันเหมือนพระราชวังคริสตัลที่อยู่ในทะเลลึก!

เรื่องที่ทำให้วินนี่สับสนก็คือ พระราชวังนี้เปล่งประกายแวววาวได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้มันเรืองแสงได้ก็คือเพรียงหัวหอม เจลลี่รูปใบพัด แมงกระพรุนและหมึกเรืองแสงจำนวนมาก

แสงเหล่านี้เปล่งประกายสว่างสไว ทำให้เธอไม่สามารถรู้เลยว่าที่ไหนเป็นก้นทะเล และที่ไหนเป็นผิวน้ำ!

แต่ว่า แม้ว่าพวกมันทั้งหมดจะส่องแสง แต่การทำงานนั้นไม่เหมือนกัน

เพรียงหัวหอมชอบที่จะยึดติดกับบางสิ่งและเติบโตบนนั้น พวกมันปรากฏตัวอยู่ทุกมุมของพระราชวังคริสตัลนี้ จำนวนของพวกมันมากจนนับไม่ได้ เดิมทีฉินสือโอวนำเพรียงหัวหอมเหล่านี้กลับมาจากฟาร์มปลาแห่งที่สามมาเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมันได้รับการพัฒนาจากพลังโพไซดอน พวกมันก็สามารถเปล่งแสงออกมาได้อย่างใจคิด

หมึกเรืองแสงว่ายน้ำไปมาในพระราชวัง โดยเฉพาะบนหลังคาโดม เพราะแบบนี้ทำให้เหมือนกับว่ากำลังมีดาวมากมายลอยอยู่บนหลังคาโดม สวยงามและน่าทึ่งมาก!

วินนี่เดินเข้าไปในพระราชวังใต้น้ำ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปช้าๆ ตกตะลึง! เป็นไปไม่ได้! น่าทึ่ง! สุดยอด!

ในที่สุดเธอก็เดินมาจนถึงหลังคาโดมที่เต็มไปด้วยหมึกเรืองแสง เธออดไม่ได้ที่กอดฉินสือโอว น้ำตาลไหลออกมาจากดวงตากลมโต “พระเจ้า ที่รัก พระเจ้า! ทำไมเราต้องสวมหมวกกันน็อคใต้น้ำด้วยนะ? ฉันอยากจะจูบคุณที่นี่จริงๆ! ฉันรักคุณนะคะ! ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ส่งมอบเขาให้กับฉัน!”

ฉินสือโอวจับเธอเข้ามากอด เหมือนกับรูปปั้นที่อยู่ในห้องโถง เขาตอบกลับเสียงเบาว่า “อันที่จริง คุณคือของขวัญอันล้ำค่าจากพระเจ้า! วินนี่ ผมโชคดีมากที่ได้เจอคุณบนเครื่องบินลำนั้น! ผมคิดว่าตอนนั้น ตอนนั้นพระเจ้ากำลังมองดูผมและคุณอยู่!”

หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็สวมกอดกันเงียบๆ อยู่ในพระราชวัง สามเกลอเข้ามาเจอพวกเขากำลังอยู่ด้วยกัน ทำให้พวกมันว่ายเข้ามาอย่างรวดเร็ว บีนเข้ามาเป็นตัวแรก มันใช้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเข้ามาจูบและถูไถทั้งสองคน

ไอซ์สเกตเข้ามาด้วยเช่นกัน มันว่ายไปมารอบๆ ฉินสือโอวอย่างมีความสุข

แต่เพราะสโนว์บอลนั้นตัวใหญ่ มันไม่สามารถเข้ามาในพระราชวังได้ มันทำได้เพียงว่ายน้ำไปมาอย่างร้อนรนอยู่ด้านนอก

ทันทีที่พวกมันทั้งสามตัวปรากฏตัว หมึกเรืองแสงที่อยู่ในหลังคาโดมก็ตกใจเป็นอย่างมาก พวกมันว่ายไปมาด้วยความชุลมุน เพราะแบบนี้แสงจากตัวพวกมันจึงสั่นไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้หลังคาโดมสวยงามยิ่งขึ้น

ฉินสือโอวและวินนี่ว่ายออกมาข้างนอก และเล่นกับสามเกลออยู่ครู่หนึ่ง ฉินสือโอวกลัวว่าวินนี่จะทนกับน้ำอุ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ไหว จึงพาเธอออกมาจากก้นทะเล

วินนี่ไม่ยอม เธอมองไปที่พระราชวังคริสตัลอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วพูดว่า “ฉันอยากอยู่ที่นี่ ที่รักคะ เราอาศัยอยู่ที่นี่กันเถอะ”

“คุณรู้ไหม? ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ​ฉันมีความฝันว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าชายมาพบฉัน ขี่ม้าขาว เดินท่ามกลางแสงแดด แล้วพาฉันไปยังพระราชวังของเขา ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า ความฝันของฉันจะเป็นจริง อีกทั้งยังเป็นพระราชวังคริสตัลอีกด้วย!”

ปฏิกิริยาที่วินนี่ตอบสนองกลับมาทำให้ฉินสือโอวพอใจเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปีในการสร้างพระราชวังนี้ขึ้นมาโดยใช้พลังโพไซดอน ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ปีที่ผ่านมานี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ!

ความพยายามในการสร้างพระราชวังคริสตัลนี้ ยิ่งใหญ่กว่าการกอบกู้เรือซานโฮเซกับบิลลี่และเบลคเสียอีก!

ก่อนวันเทศกาลเชงเม้ง พ่อของฉินสือโอวมาหาเขา แล้วบอกว่า “เสี่ยวโอว พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ไปทำความสะอาดหลุมศพของปู่ย่าตายาย และลุงรองเถอะ ขอบคุณพวกเขาที่อวยพรปกป้องพวกเรา และทำให้พวกเราใช้ชีวิตในต่างแดนได้ดีขนาดนี้ อีกอย่าง เถียนกวาและซีกวาก็ยังไม่เคยไปที่บ้านเลย แม้ว่าพวกเขาจะต้องอยู่ต่างประเทษตลอดชีวิต แต่อย่างไรพวกเขาก็ต้องกลับไปดูบ้านเก่านะ”

ฉินสือโอวพยักหน้า “ครับ ผมจะติดต่อเรื่องเครื่องบิน อีกสองวันพวกเราจะออกเดินทาง”

พ่อแม่ของเขามาอยู่ที่แคนาดานานมากแล้ว น่าจะมากกว่าหนึ่งปีครึ่งแล้ว เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน!

ครั้งนี้พวกเขาไม่ต้องเข้าประเทศผ่านบริษัทอเมริกันเอ็กซเพรสแล้ว ฉินสือโอวเป็นหุ้นส่วนของบอมบาร์เดียร์ และลงทุนในบอมบาร์เดียร์มาอย่างต่อเนื่อง เขาเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญ ดังนั้นเมื่อเขาต้องการกลับบ้าน คณะบอมบาร์เดียร์ก็จะเตรียมเครื่องบินสุดหรูให้กับเขา

เครื่องบินที่บอมบาร์เดียร์เตรียมไว้ให้เขาคือเครื่องบิลโกลบอลห้าพัน ในปัจจุบันเครื่องบินลำนี้เป็นหนึ่งในเครื่องบินเจ็ตพาณิชย์ที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลกลำหนึ่ง ราคาของมันเกือบสี่สิบล้านดอลลาร์แคนาดา!

ครอบครัวของฉินสือโอวทุกคนขึ้นเครื่องบินลำนี้ เครื่องบินลำใหญ่ส่งเสียงคำรามดังออกมา เถียนกวาและซีกวากอดกันพลางร้องไห้ออกมา วินนี่ทำได้เพียงปลอบพวกเขาเท่านั้น

ฉินสือโอวนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาอยากจะแกล้งเด็กน้อยทั้งสองคน แต่เมื่อเครื่องบินเพิ่มความสูงขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็รู้สึกหนักอึ้ง เขามึนหัว และรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อยๆ ขารีบหลับตาลงและจับที่วางแขนแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง

เขาคิดว่าตัวเองไม่มีอาการป่วยทางอาการเวียนหัวและกลัวความสูงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

ไม่นาน เขาก็รู้สึกถึงมือที่เปียกและเย็นเล็กน้อยแตะเข้าที่หน้าผากของเขา

“เป็นอะไรไปคะ คุณยังกลัวความสูงอยู่อีกเหรอ?” เสียงนุ่มและไพเราะดังขึ้นที่ข้างหู เสียงนี้เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย หลายปีมานี้ เขาได้ยินเสียงนี้ทุกวัน เสียงของผู้เป็นที่รักของเขา

จากนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกถึงมือเล็กเลื่อนจากหน้าผากไปกุมมือของเขาแทน วินนี่บีบมือฉินสือโอวเบาๆ แล้วพูดว่า​ “ผ่อนคลายนะ ที่รัก หายใจเข้าลึกๆ มา หายใจเข้าออกตามที่ฉันบอกนะ และคุณลองดูนึกว่า ตอนนี้คุณอยู่ในเรือลำหนึ่ง เรือโคลงเคลงเล็กน้อย นั่นก็เพราะว่าคลื่นซัดเข้ามายังเรือของเรา ลองนึกภาพว่า บนหัวของคุณเป็นท้องฟ้าสวยงาม รอบๆ ตัวคุณเป็นทะเลสีคราม…”

“ที่รัก ผมรู้สึกคลื่นไส้!” ฉินสือโอวพยายามที่จะคิดถึงภาพท้องทะเล แต่มันไม่ค่อยได้ผลนัก

มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา พ่อแม่ของฉินสือโอวหัวเราะอยู่ข้างๆ เขา เถียนกวาและซีกวาที่เริ่มหยุดร้องไห้แล้วก็หัวเราะเยาะเขาเช่นกัน

วินนี่ก็แอบหัวเราะออกมาเบาๆ เธอเข้าไปกอดเขาและกระซิบบอกรักเขาเบาๆ ที่ข้างหู กลิ่นหอมอันคุ้นเคยลอยเข้ามาในจมูกของเขา เป็นหอมของดอกไม้ในงานเทศกาลบ๊ะจ่างที่บ้านของเขา

กลิ่นแห่งความสง่างาม และหวานหอมยังคงอยู่เหมือนเดิม

ฉินสือโอวลืมตาขึ้นช้าๆ เขาเห็นดวงตาของวินนี่ที่มองเขาอย่างอ่อนโยน และก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

เมฆสีขาวทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

ก่อนที่ความเร็วเช่นนี้จะหายไป เขายังมีเวลาอยู่ ครั้งแรกที่เขาจับมือทั้งสองข้างนี้เป็นครั้งแรก เส้นทางแห่งความลึกลับของชีวิตก็พึ่งจะเริ่มต้นขึ้น

ตอนนี้ นี่ก็ยังคงเป็นจุดเริ่มต้น แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ต่างออกไป ก่อนหน้านี้คือจุดเริ่มต้นของวัยรุ่น ต่อจากนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตวัยกลางคน…

ลาก่อน ช่วงวัยเยาว์ของฉัน!

ลาก่อน เวลาในช่วงวัยเยาว์!

ลาก่อน ผู้คนที่คอยมาสร้างความวุ่นวายให้ฉันทุกคืน!

ลาก่อน เกาะแแฟร์เวลของฉัน!

………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท