ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 8 ความปราณนาของ จางฉีโม่

บทที่ 8 ความปราณนาของ จางฉีโม่

บทที่ 8 ความปราณนาของ จางฉีโม่

วันต่อมา

เขต ชุมชนเจียงฉือ บ้านของ จางฉีโม่

คนของบริษัทที่ขนย้ายได้จัดตกแต่งบ้านใหม่อีกครั้ง และครอบครัวของเธอก็สามารถกลับมาอาศัยได้เหมือนเดิมอีกครั้งด้วย

หลังจากที่ หลินอิ่ง ทำอาหารเสร็จ คนในบ้านก็มานั่งล้อมรอบโต๊ะอาหาร และกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

“ครั้งนี้ถือว่าพระเจ้าคุ้มครองจริงๆ! สุดท้ายสองพ่อลูก จางเถียนไห่ ก็ถูกโค่นล้มอำนาจจนได้ คงมีคนจำนวนมากรอเหยียบย่ำครอบครัวของพวกเขาแน่ และคงไม่มีอำนาจมากลั่นแกล้งพวกเราอีก” ลู่หย่าฮุ่ย พูดด้วยความดีอกดีใจขึ้น “แต่ก็ไม่รู้จริงๆว่า ใครโค่นล้มพวกเขา ฉันนี่อยากขอบคุณต่อหน้าจริงๆเลย!”

บนใบหน้าของ จางซิ่วเฟิง ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนกัน และพูดขึ้นว่า “น้องสามทำงานเด็ดขาดเกินไป แถมยังชอบมีเรื่องกับคนอื่นอีกมากมายด้วย! ครั้งนี้ไปมีเรื่องบุคคลใหญ่โต เวรกรรมตามสนองจริงๆ”

“สมน้ำหน้าพวกเขาจริงๆ” ลู่หย่าฮุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้นว่า “การปรากฏตัวครั้งนี้ของประธานอู สามารถทำให้โรงงานอัญมณีของตระกูลเรากลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง ในอนาคตยังมีการแบ่งกำไรหุ้นส่วนด้วย ฟ้าหลังฝน มักสวยงามเสมอ”

การเปลี่ยนแปลงของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อครั้งนี้ สร้างความฮือฮาทั่วทั้งเมืองชิงหยูนโดยเฉพาะเรื่องราวภายในห้องประชุมของสองพ่อลูก จางเถียนไห่ ที่แพร่สะพรั่งไปทั่วทุกตระกูล และกลายเป็นเรื่องตลกของชาวบ้านด้วย

แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์รายวันประจำเมืองของชิงหยูน ยังรายงานว่า ช็อก! คุณชาย จางเถียนไห่ ของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อถูกพ่อใช้กำลังบังคับกินเศษอาหารในห้องประชุม!

วินาทีแรกที่ครอบครัวของ จางฉีโม่ ได้ยินข่าวนี้ต่างพากันรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ตอนแรกคิดว่าจะถูก จางเถียนไห่ ไล่ออกจากบ้านไปอยู่ข้างทางแล้ว คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะพลิกผัน!

“หลายปีมานี้พี่ใหญ่กับน้องสามบริหารบริษัทมีปัญหาใหญ่จริงๆ แต่เมื่อถูกนิ่งซื่อกรุ๊ปที่มีอำนาจเงินทองยึดบริษัท ทำให้บริษัทมีการเติบโต ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีอะไร แต่น่าเสียดายนิดเดียว ธุรกิจของตระกูลที่พ่อสร้างมาได้ถูกเปลี่ยนจากบริษัทประจำตระกูลกลายเป็นบริษัทธรรมดาไปแล้ว” จางซิ่วเฟิง พูดขึ้น พร้อมเผยสีหน้าสับสนเล็กน้อย

ในมือของเขากำลังถือหนังสือพิมพ์รายวันประจำเมืองชิงหยูนฉบับหนึ่ง บนหนังสือพิมพ์กล่าวว่า บริษัทเครื่องประดับจางซื่อเหมือนมีบุญล้นทับ ประธานอู ประกาศนโยบายพัฒนาจางซื่อกรุ๊ป

“เห่อ คุณไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว ขนาดคุณมีเจตนาดีต่อบริษัทขนาดนี้ พ่อของคุณยังไม่เห็นคุณในสายตาเลย! แถมไม่เอาหุ้นส่วนบริหารบริษัทให้คุณเลยสักนิดเดียว!” ลู่หย่าฮุ่ย พูดอย่างไม่ไว้หน้า แล้วพูดต่อว่า “ต่อไปคุณก็แค่ทำงานกับคณะกรรมการบริหารอย่างซื่อสัตย์ก็พอแล้ว ตอนนี้เขาปฏิบัติต่อโรงงานขนาดเล็กที่อยู่ในสังกัดบริษัทอย่างเท่าเทียมแล้ว แถมคุณยังกลายเป็นหุ้นส่วนเล็กของบริษัทด้วย เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ในที่สุดคุณก็สามารถกลับไปประชุมที่ตึกอาคารเป่าติ่งอีกที”

“เห่อเห่อ ก็จริง” จางซิ่วเฟิง ยิ้มอย่างจนปัญญาขึ้น “อย่างน้อยชีวิตของครอบครัวเราก็ค่อยๆดีขึ้น”

บนใบหน้าของ จางฉีโม่ เผยรอยยิ้มยินดีขึ้นมาเหมือนกัน แถมสีหน้าความกังวลและเหน็ดเหนื่อยก็ถูกขจัดทิ้งหมดแล้ว มีเพียงครอบครัวที่แสนอบอุ่น

“จริงสิ ฉีโม่ ผมเห็นข่าวว่า ประธานอู ต้องการคลื่นลูกใหม่มาพัฒนาบริษัท เลยประกาศรับสมัครนักออกแบบอัญมณี คุณเรียนจบสายงานนี้ไม่ใช่หรอ คุณไม่คิดออกแบบร่างอัญมณีไปสมัครสักหน่อยหรอ” ในมือของ หลินอิ่ง ก็ถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเหมือนกัน

“นายเอาแต่ขายของปิ้งย่างทั้งวัน จะไปเข้าใจอัญมณีอะไร?” ลู่หย่าฮุ่ย ชักสีหน้าใส่ หลินอิ่ง เล็กน้อย “ฉีโม่ เธอเชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องให้นายมาสั่งสอนหรอก?”

หลินอิ่ง ยิ้มอย่างเก้อเขินเล็กน้อย โดยไม่พูดอะไร

เขารู้ดีว่า ภรรยาของเขา จางฉีโม่ จบการศึกษาเอกออกแบบอัญมณี และด้วยเพราะเป็นธุรกิจของตระกูล เธอเลยยิ่งชื่นชอบอัญมณีเป็นอย่างมาก

เขาเคยเห็นแบบร่างงานออกแบบอัญมณีจำนวนไม่ถ้วนที่ จางฉีโม่ วาดไว้ในห้องด้วย แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นของไร้ค่า

การเป็นนักออกแบบอัญมณีที่มีชื่อเสียง และออกแบบเครื่องประดับอัญมณีโด่งดังไปทั่วโลกเป็นความใฝ่ฝันของเธอ

เพียงแต่เมื่อก่อน จางฉีโม่ อยู่ในบริษัทเครื่องประดับจางซื่อเป็นเพียงพนักงานธรรมดา อีกอย่างครอบครัวของเธอยังถูก จางหงจูน คณะกรรมการบริหารข่มเหงรังแกด้วย แบบร่างออกแบบของเธอเลยไม่เคยถูกสนใจเลย

ดังนั้นเรื่องที่ หลินอิ่ง กำชับ อูหยาง นั้นก็เพราะต้องการมอบของขวัญให้ จางฉีโม่ ชิ้นหนึ่ง เพื่อต้องการช่วยให้ความปราณนาของเธอสำเร็จ

“อืม….” จางฉีโม่ เหมือนมีความสนใจอยู่ไม่น้อย เธอรีบหยิบหนังสือพิมพ์ในมือของ หลินอิ่ง มาอ่านอย่างตั้งใจ

“ข้อเสนอของ หลินอิ่ง ถือว่าไม่เลวเลย ฉันจะลองดูสักครั้ง” จางฉีโม่ พูดขึ้น

“การออกแบบอัญมณี นี่คือความสามารถที่ลูกสาวของเราถนัด หากไม่ใช่หลายปีมานี้ถูกบริษัทกีดกั้น เธอคงกลายเป็นนักออกแบบอัญมณีที่มีชื่อเสียงแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ย พูดด้วยความภาคภูมิใจขึ้น “ลูกสาว สู้ๆ ตอนนี้ภายในบริษัทกำลังกวาดล้างอยู่ พนักงานสังกัดของน้องสามไม่มีแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสของลูกแล้ว”

“หนูทราบแล้วค่ะ” จางฉีโม่ พูดขึ้น ขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกดีใจในใจเงียบๆด้วย

หลินอิ่ง กินข้าวหนึ่งคำ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า “ฉีโม่ คุณมีไอเดียแล้วหรอ อันที่จริงในใจของผมมีไอเดียอัญมณีหนึ่ง”

“นายก็รู้เรื่องการออกแบบอัญมณีด้วยหรอ?” จางฉีโม่ พูดขึ้น พร้อมเผยสีหน้าสงสัย

หลินอิ่ง ยิ้มและพูดว่า “เป็นความชอบตอนเด็ก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ทำต่อ”

ตอนเด็กเขาเรียนตามอาจารย์ แต่เป็นการแยกแยะและแกะสลักอัญมณีโบราณ ซึ่งนั้นถือเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง อัญมณีแบบไหนล้วนผ่านมือเขามาหมดแล้ว

“อ๋อ?” จางฉีโม่ พูดต่อว่า “งั้นเดียวนายช่วยบอกให้ฉันฟังหน่อยล่ะกัน”

ความชอบเหมือนกันมักนำพาเรื่องราว จางฉีโม่ ดูมีท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย

หลังจากกินข้าวเสร็จ จางฉีโม่ ก็กลับห้องของตัวเอง แล้วหยิบแบบร่างออกแบบไม่กี่ชิ้นออกจากลิ้นชัก

“หลินอิ่ง นายมาที่ห้องฉันแปบหนึ่ง”

ลู่หย่าฮุ่ย และ จางซิ่วเฟิง หันหน้ามาสบตากัน นับตั้งแต่ หลินอิ่ง เข้ามาอยู่บ้านตั้งสองปี ไม่เคยเข้ามาในห้องลูกสาวของพวกเขาเลย

หลินอิ่ง ลุกขึ้น แล้วเดินเข้าห้อง จางฉีโม่

เขาส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าห้องของภรรยาตัวเองเป็นครั้งแรก

ภายในห้องจัดตกแต่งสวยงามมาก ผ้าปูนเตียงและตู้เสื้อผ้าเป็นสีชมพู บนหัวเตียงมีตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งวางไว้ และภายในห้องยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆด้วย

“นี่เป็นแบบร่างออกแบบไม่กี่ชิ้นที่ฉันออกแบบเมื่อก่อน ฉันจะลองทดสอบนายหน่อยว่า นายมีความรู้หรือเปล่า” จางฉีโม่ นั่งลง และวางเอกสารลงบนโต๊ะ จากนั้นก็จ้องมองที่ หลินอิ่ง

“ไหน ผมดูหน่อย”

หลินอิ่งหยิบแบบร่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้ววิเคราะห์อย่างละเอียด

“อืม สร้อยคอจี้ที่คุณออกแบบเป็นรูปแบบประเภทสัญลักษณ์ เป็นการเลียนแบบหัวใจแห่งมมหาสมุทรใช่ไหม?” หลินอิ่ง ยิ้มและพูดขึ้น

“หยกชิ้นนี้ออกแบบให้ห้อยลงมาเหมือนดั่งต้นไม้เผชิญหน้าพระอาทิตย์ เป็นรูปแบบประเภททิวทัศน์เสมือนจริง แต่ยังแฝงความเป็นเอกลักษณ์อยู่”

“แบบร่างสร้อยทองชิ้นนี้ เป็นการออกแบบรูปแบบประเภทศิลปะโบราณ ซึ่งต้องใช้ช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญสูงในการเลี่ยม ถึงจะแสดงถึงความสูงส่ง สง่างาม”

หลินอิ่ง ค่อยๆพลิกแบบร่างออกแบบทีละม้วน พร้อมกับวิเคราะห์แบบร่างออกแบบของ จางฉีโม่ อย่างคล่องแคล่ว

จางฉีโม่เผยสายตาประหลาดใจ เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย พร้อมจ้องมอง หลินอิ่ง

เธอคิดไม่ถึงเลยว่า หลินอิ่ง จะมีความรู้เรื่องอัญมณีมากถึงขนาดนี้! จนสามารถเข้าใจแบบร่างออกแบบของตัวเองได้ด้วย!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท